
ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 25 เมษายน - 1 พฤษภาคม 2568 |
---|---|
คอลัมน์ | สิ่งแวดล้อม |
ผู้เขียน | ทวีศักดิ์ บุตรตัน |
เผยแพร่ |
การศึกษาว่าด้วยการพลิกกรุงเทพฯ ให้เย็นสบาย (Shaping A Cooler Bangkok) จัดทำโดยธนาคารโลก องค์กรเพื่อการลดและฟื้นฟูภัยพิบัติ (the Global Facility for Disaster Reduction) ร่วมกับกรุงเทพมหานครเพื่อรวบรวมข้อมูลสภาวะอากาศร้อนสุดขั้วและนำเสนอแนวทางป้องกันในอนาคต
การศึกษาชิ้นนี้จัดแยกหัวข้อเป็น 5 บทด้วยกัน
แต่ละบทมีประเด็นน่าสนใจ
จึงขอนำรายละเอียดมาเรียบเรียงต่อจากบทความในฉบับที่แล้ว
ในบทที่ 1 เป็นเชิงการตั้งคำถามว่า “ทำไมความร้อนสุดขั้วในเมืองนั้นจึงมีความสำคัญ” และนำสถิติภูมิอากาศของโลกในปี 2567 มาตั้งเป็นประเด็นให้สอดรับกับคำถาม
ปีที่แล้วเป็นปีที่อากาศร้อนที่สุดเท่าที่ชาวโลกได้บันทึกเอาไว้ เฉพาะเดือนกรกฎาคมเพียงเดือนเดียว ทำลายสถิติร้อนที่สุดในโลกถึง 2 ครั้งใน 1 สัปดาห์
“อันโตนิโอ กูเตอร์เรส” เลขาธิการสหประชาชาติเคยเตือนว่า ชาวโลกนับพันล้านคนที่มีชีวิตอยู่ในวันนี้ตกอยู่ในความเสี่ยง เป็นความเสี่ยงที่มากับการแพร่ระบาดของอากาศร้อนสุดขั้น (extreme heat epidemic)
อากาศร้อนมีผลโดยตรงต่อเศรษฐกิจ ประเมินภายในปี 2593 ว่า แรงงาน 80 ล้านคนทั่วโลกไม่สามารถออกไปทำงานในที่โล่งกลางแจ้งได้เพราะอากาศร้อนสุดขั้ว
อากาศร้อนสุดขั้วมีผลต่อผู้สูงวัยตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป
มีผลกับผู้อาศัยในชุมชนแออัดรายได้ต่ำ
ยังมีผลกับหญิงตั้งครรภ์และเด็กๆ
คนกรุงเทพฯ ที่อยู่ในกลุ่มเปราะบางเหล่านี้เผชิญกับผลกระทบจากอากาศร้อนสุดขั้วเช่นกัน เนื่องจาก กทม.อยู่ในบริเวณเส้นศูนย์สูตร ความชื้นสูงและรังสีของดวงอาทิตย์ที่แผ่ลงมานั้นร้อนนานขึ้น ยาวขึ้น และเพิ่มความรุนแรงขึ้น
แต่โครงสร้างพื้นฐานของ กทม. เช่น บริการขนส่งสาธารณะ ระบบพลังงาน ไม่ได้ออกแบบรองรับกับภาวะโลกเดือด มิหนำซ้ำ กทม.ยังอนุญาตให้ก่อสร้างอาคารสูงๆ ในพื้นที่ใจกลางเมือง แต่ไม่ได้ขยายพื้นที่สีเขียวให้มากขึ้น ทำให้ความร้อนระอุสะสมในพื้นที่ที่ตึกสูง
จึงเกิดความเสี่ยงจากภาวะที่เรียกว่า “เกาะความร้อนในเมือง” (Urban Heat Island – UHI)
การศึกษาของธนาคารโลกแสดงให้เห็นว่า อากาศร้อนสุดขั้วใน กทม.มีอัตราเพิ่มสูงขึ้น มีผลกระทบกับสุขภาพของชาว กทม. มีผลลบต่อเศรษฐกิจและเกิดผลกระทบต่อโครงสร้างพื้นฐาน
เพราะฉะนั้น กทม.จะต้องวางกลยุทธ์หรือแผนปฏิบัติการเพื่อบรรเทาผลกระทบจากความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น โดยเฉพาะชีวิตความเป็นอยู่ของชาว กทม.
พื้นที่ กทม.แตกต่างจากพื้นที่ชนบทเพราะปล่อยให้สร้างตึกสูงๆ เต็มพื้นที่ ถนนหนทางก็ปูด้วยปูนซีเมนต์ ยางมะตอย เป็นวัสดุดูดซับความร้อนได้ดี
ขณะที่การจราจรหนาแน่นติดขัด ควันที่ปล่อยออกมาจากท่อไอเสียรถ อุณหภูมิที่ร้อนจัด ระบบไหลเวียนอากาศภายในเมืองไม่ดีพอเพราะตึกสูงกีดขวางกักเก็บความร้อนเอาไว้ในเมืองตลอดทั้งวัน
ถ้ากางสถิติการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิจะเห็นว่า กทม.กำลังเข้าสู่ขั้นเลวร้าย ค่าเฉลี่ยอุณหภูมิในช่วงระหว่างปี 2503-2543 อยู่ที่ 28-30 องศาเซลเซียส และในแต่ละปี กทม.มีอากาศร้อนจัด อุณหภูมิสูงเกิน 35 องศาเซลเซียส เฉลี่ยราว 60-100 วัน
จากการจำลองสถานการณ์โดยยึดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างที่เป็นอยู่ในขณะนี้ คาดว่าในปลายศตวรรษที่ 20 ชาวโลกจะเจออุณหภูมิเฉลี่ยที่ร้อนขึ้นอีก 2.5 องศาเซลเซียส และหากปริมาณก๊าซพิษปล่อยเพิ่มขึ้นในระดับสูงกว่าปัจจุบัน อุณหภูมิบนผิวโลกจะเพิ่มขึ้น 4.5 องศาเซลเซียส
นั่นหมายถึงว่า เมื่อสิ้นศตวรรษที่ 20 ค่าเฉลี่ยใน กทม.จะอยู่ที่ 30.5-32.5 องศาเซลเซียส จำนวนวันที่อากาศร้อนสุดขั้วจะมีมากกว่าเดิม เฉลี่ยเพิ่มอีกปีละ 153 วัน หรือเพิ่มมากขึ้นเป็น 246วัน/ปี
ขณะเดียวกันผู้เชี่ยวชาญธนาคารโลกใช้ข้อมูลการวิจัยวันที่อากาศร้อนด้วยวิธีที่เรียกว่า WBGT (Wet Bulb Globe Temperature) ซึ่งเป็นระบบคำนวณด้วยอุณหภูมิ ความชื้นและรังสีดวงอาทิตย์ พบว่า ช่วงที่กรุงเทพฯ มีอุณหภูมิสูงกว่า 30.5 องศาเซลเซียส จะมีวันที่ร้อนสุดขั้วมากขึ้นจากปัจจุบัน 250 วัน ทะลุเป็น 290 วัน ในปี 2593 หรือภายใน 25 ปีข้างหน้า
ภูมิภาคอื่นๆ ในกลุ่มประเทศอาเซียนด้วยกัน จะมีวันที่อากาศร้อนสุดขั้ว สูงกว่ากรุงเทพฯ มีเพียง 2 แห่งได้แก่ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย 337 วัน และประเทศสิงคโปร์ 326 วัน
ถ้าเอาไปเทียบกับกรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน ที่นั่นมีวันร้อนจัดๆ แค่ 45 วันต่อปี กรุงโซล เกาหลีใต้ 21 วัน และนครลอสแองเจลิส สหรัฐ ร้อนจัดๆ เพียงปีละ 3 วันเท่านั้น (ดูในตารางประกอบ)
ถ้าการจำลองสถานการณ์เกิดขึ้นจริงๆ คน กทม.เจอสภาพอากาศร้อนสุดขั้วกว่า 9 เดือน
เหลือแค่ 75 วันเท่านั้น ที่อุณหภูมิไม่สูงมากและอากาศไม่ร้อนสุดขั้ว
ข้อมูลนี้เป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่า กรุงเทพฯ กำลังเข้าสู่สภาวะสุ่มเสี่ยง เพราะฉ.นั้น คน กทม.และผู้บริหาร กทม. ต้องเริ่มคิดตั้งแต่วันนี้ว่าจะหาวิธีการป้องกันหรือรับมือกับภาวะร้อนสุดขั้วอย่างไร
มิฉะนั้นแล้วจะเกิดผลกระทบกับคนสูงวัย เด็กๆ คนอยู่ในกลุ่มเปราะบาง เช่น ในชุมชนแออัด คนป่วย คนท้อง
ตามข้อมูลเมื่อปี 2562 คนงานที่ทำงานกลางแจ้งในพื้นที่ กทม. เช่น ก่อสร้างถนน คอนโดมิเนียม คนกวาดขยะ คนขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้าง คนขับแท็กซี่ ขับสามล้อ พ่อค้าแม่ค้าขายของริมทางเท้าหรือตลาดนัด มีอยู่ทั้งสิ้น 1.3 ล้านคน หรือราว 24.5 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนแรงงานทั้งหมด
คนงานเหล่านี้ต้องทำงานกลางแจ้งเฉลี่ยสัปดาห์ละ 1 วัน หากอากาศร้อนมากขึ้น ประสิทธิภาพการทำงานก็ลดลง
องค์การแรงงานระหว่างประเทศ หรือไอแอลโอ ประเมินว่า อากาศร้อนจัดทำให้คนงานในแถบอาเซียนมีชั่วโมงการทำงานลดลงเฉลี่ย 3.1% และอีก 5 ปีข้างหน้า แนวโน้มจะเพิ่มขึ้นเป็น 3.7%
ถ้าคิดคำนวณในมิติของการทำงานเต็มเวลา นั่นหมายความว่าอากาศร้อนจัดจะทำให้การจ้างงานลดลงถึง 13 ล้านตำแหน่ง
ประสิทธิภาพการทำงานไม่เพียงลดลงเท่านั้น หากเกิดผลกระทบกับสุขภาพร่างกาย ทั้งคนขี่มอเตอร์ไซด์รับส่งสินค้า คนงานที่ต้องตรากตรำกับงานในท่ามกลางอากาศร้อนจัดๆ และบ้านพักที่อยู่อาศัยไม่ได้ติดแอร์คอนดิชั่นเพราะรายได้ต่ำ
คนเหล่านี้โอกาสจะเกิดภาวะเครียดมีสุขภาพแย่ลง เสี่ยงต่อการเสียชีวิตมากขึ้น
ในบทที่ 2 เป็นการศึกษาเรื่องผลกระทบจาก “เกาะความร้อนในเมือง” เป็นการจำลองสถานการณ์สภาพภูมิอากาศในกรุงเทพมหานครโดยผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิอากาศใช้ข้อมูลอุณหภูมิในแต่ละวัน ในแต่ละปีมาคำนวณ เพิ่อเปรียบเทียบกับพื้นที่ชนบท
ผลการศึกษาพบว่า พื้นที่ในกรุงเทพมหานครที่มีอาคารสูงสร้างหนาแน่น มีประชากรคับคั่ง อากาศจะร้อนกว่าพื้นที่ชนบท ค่าเฉลี่ยในช่วงกลางคืนอุณหภูมิในกทม.สูงกว่าชานเมืองมากถึง 1.5-3.5 องศาเซลเซียส
เมื่อเจาะเข้าไปในแต่ละพื้นที่พบว่าเขตปทุมวัน บางรัก ราชเทวีและพญาไท มีอากาศร้อนกว่าพื้นที่นอกเมืองราว 2.8 องศาเซลเซียส
เป็นเพราะว่า ในเขตเมืองดังกล่าวนั้นมีตึกสูงมาก พื้นที่ผิวภายนอกเป็นปูนซีเมนต์ดูดซับความร้อนได้มากและสัดส่วนพื้นที่สีเขียวน้อยมาก
เขตบางเขน หนองจอก ดอนเมือง และสายไหม จะมีอากาศค่อนข้างเย็นกว่าเพราะเป็นพื้นที่โล่งกว่า มีพื้นที่สีเขียวมากกว่า
การนำข้อมูลที่ได้จากการศึกษาความหนาแน่นของประชากรโดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางในพื้นที่เสี่ยงเช่นปทุมวัน บางรัก ราชเทวีหรือพญาไทมาวิเคราะห์เพื่อวางนโยบายป้องกันกลุ่มเปราะบางจะช่วยลดผลกระทบความเสี่ยงที่มีสาเหตุจากอากาศร้อนสุดขั้ว
บทที่ 3 ว่าด้วยอากาศร้อนสุดขั้วมีผลต่อสุขภาพ โครงสร้างพื้นฐานและเศรษฐกิจ เป็นการเรียงร้อยเนื้อหาเชื่อมกับบทที่ 2 เพื่อชี้ให้เห็นว่า ความร้อนสุดขั้วในเมืองมีผลร้ายอย่างไรกับกลุ่มคนเปราะบาง มีผลกระทบกับโครงสร้างพื้นฐานและเศรษฐกิจอย่างไร
รายงานระบุผลจากอุณภูมิพุ่งสูง คลื่นความร้อนแผ่ปกคลุม นำไปสู่ความเสี่ยงอันตรายถึงชีวิต เสี่ยงต่อระบบการทำงานของร่างกาย อากาศร้อนทำให้คนหงุดหงิด เหงื่อออกมาก หัวใจเต้นแรง ความดันโลหิตพุ่ง คนที่ป่วยเป็นโรคเบาหวาน เป็นความดันโลหิตสูง มีโอกาสเสี่ยงเสียชีวิตมากขึ้น
หลายประเทศเผชิญกับคลื่นความร้อนนำไปสู่วิกฤตร้ายแรง อย่างเช่นในปี 2545 ชาวยุโรปเสียชีวิตมากกว่า 7 หมื่นคนเพราะคลื่นความร้อน หลายประเทศในสหภาพยุโรปเขียนแผนปฏิบัติการรับมือกับคลื่นความร้อนและติดตั้งระบบเตือนภัยล่วงหน้า
ในภาพรวม มีผู้เสียชีวิตปีละเฉลี่ย 5 แสนคนจากเหตุคลื่นความร้อน เมื่อเทียบกับอัตราเสียชีวิตจากพายุไซโคลน คลื่นความร้อนมีอัตราสูงกว่า 3 เท่าตัว
ภายใน 25 ปีข้างหน้าถ้ายังปล่อยให้สถานการณ์เป็นเช่นนี้โดยไม่คิดหาวิธีการป้องกันรับมือไว้ล่วงหน้า คนอายุ 65 ปีขึ้นไปเสี่ยงเสียชีวิตเพราะคลื่นความร้อนมากเป็น 3 เท่า
ย้อนกลับมาที่กรุงเทพมหานคร การวางแผนทางการแพทย์และสาธารณสุขเพื่อรับมือกับคลื่นความร้อนจึงเป็นสิ่งจำเป็น เพราะวันนี้เราได้เข้าสู่ยุคสังคมสูงอายุเรียบร้อยแล้ว •
สิ่งแวดล้อม | ทวีศักดิ์ บุตรตัน