ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 18 - 24 เมษายน 2568 |
---|---|
คอลัมน์ | โล่เงิน |
เผยแพร่ |
บทความโล่เงิน
คั้นจากใจผู้บังคับบัญชา
ถึง ‘นายสิบ-รอง สว.’
เมื่อเหตุผลส่วนตัวสวนทางหน้าที่ของแผ่นดิน
วอนผู้ใหญ่เลิกกดดัน ‘แค่เด็กทำไมให้ไม่ได้’
คำสั่งแต่งตั้งโยกย้าย “รองสารวัตร และ ผบ.หมู่” คลอดเรียบร้อยแล้ว โดยจะมีผล 21 เมษายน 2568
ปรากฏว่ามีบรรดาผู้บังคับบัญชาอัดอั้นตันใจ และได้สะท้อนถึงการทำบัญชีระดับนี้
เพื่อตอกย้ำให้เห็นว่าตำรวจเป็นเสาหลัก ทำหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อยทั้งในพื้นที่กรุงเทพฯ และภูธร
ไม่จะเป็นนครบาล หรือที่ยิ่งห่าง ยิ่งเงียบ ยิ่งไกล องค์กรสีกากีก็ยิ่งมีความต้องการคนที่มีใจและมีแรง
แต่ปัญหาใหญ่ของการบริหารงานตำรวจในพื้นที่ภาคกลางและภาคตะวันออก ซึ่งรวมถึงจังหวัดชายแดนและพื้นที่ใกล้เมืองหลวงนั้น ไม่ได้อยู่ที่ “อาชญากรรม” หรือ “ภัยความมั่นคง”
หากแต่อยู่ที่ “จำนวนคน” หรือให้พูดตรงไปตรงมาก็คือ “การขาดแคลนกำลังพล”
ในฐานะผู้บังคับบัญชาระดับสูง ที่มีหน้าที่ในการแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจชั้นประทวนและระดับรองสารวัตร ได้เปิดใจว่า
“นี่ไม่ใช่หน้าที่ที่เบาสบายเหมือนอย่างที่คนภายนอกมอง เพราะภายใต้คำสั่งแต่งตั้งแต่ละฉบับ ล้วนแฝงไปด้วยความคาดหวัง เสียงร้องขอ น้ำตา และแรงกดดันมากมาย”
จากนั้นเข้าสู่ประเด็นว่า เมื่อไม่นานมานี้ ได้นั่งทบทวนปัญหาที่ถาโถมเข้ามาในห้วงเวลาการแต่งตั้งโยกย้ายอย่างเข้มข้น รวบรวมไว้เป็น 10 ประเด็น อาจเป็นสิ่งที่สาธารณชนทั่วไปไม่ค่อยได้รับรู้
จึงอยากถ่ายทอดออกมาให้สังคมได้รับฟังอย่างตรงไปตรงมา
1.ต้นตอปัญหา เริ่มตั้งแต่ก่อนเป็นตำรวจ ในแต่ละปี นักเรียนนายสิบตำรวจจากทั่วประเทศจะเลือกสนามสอบที่ตนคิดว่ามีโอกาสสอบผ่านได้มากที่สุด
ข้อมูลที่ได้รับพบว่า ในเขตศูนย์ฝึกอบรมตำรวจภูธรในภาคกลางตอนล่าง มีผู้สมัครสอบกว่า 75-80% มาจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
เหตุผลนั้นเข้าใจได้ง่าย การแข่งขันที่ต่ำกว่าทำให้มีโอกาสสอบติดสูงกว่าการสอบในภูมิลำเนาเดิม
แปลว่า เด็กจากอีสานจำนวนมากได้เข้ามาเป็นตำรวจในพื้นที่ภาคกลาง
2. เมื่อติดแล้ว… ก็ต้องอยู่ตามระบบ
ตามหลักเกณฑ์ปกติ เมื่อสอบได้ที่ใด ก็ต้องปฏิบัติงานในเขตพื้นที่นั้นอย่างน้อยตามช่วงระยะเวลาหนึ่ง เพื่อรองรับความต้องการของแต่ละภูมิภาคอย่างสมดุล ยิ่งพื้นที่ที่ขาดแคลน ก็ยิ่งต้องรักษากำลังพลไว้ให้มั่นคง
3. แต่ชีวิตจริงมีเหตุผลส่วนตัวเสมอ
ปัญหาที่เกิดขึ้นคือ หลังจากจบการศึกษาจากศูนย์ฝึก หลายคนก็เริ่มมีเหตุผลส่วนตัวในการ “ขอย้ายกลับบ้าน” บ้างอ้างว่า “พ่อป่วย”, “แม่ชรา”, “เมียท้อง”, “ลูกยังเล็ก” หรือสารพัดเหตุผล ที่หากฟังด้วยใจของความเป็นมนุษย์ ก็ต้องสะเทือนใจ
และเมื่อมีคนหนึ่งได้ คนอื่นก็ย่อมขอตาม ถ้าให้ทุกคนกลับได้หมด พื้นที่เหล่านี้คงเหลือตำรวจไว้รักษากฎหมายเพียงหยิบมือ
4. ความเห็นใจ ที่อาจย้อนแย้งกับหน้าที่
การบริหารกำลังพลในเขตนครบาล พื้นที่ห่างไกล หรือเมืองเล็ก ถือเป็นเรื่องท้าทาย เพราะหน่วยงานเหล่านี้ขาดแคลนตำรวจในระดับหัวใจหลักอย่างมาก โดยเฉพาะตำรวจชั้นประทวน และระดับรองสารวัตร ซึ่งเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนภารกิจจริงในพื้นที่
ขอยกตัวอย่างทั้งจังหวัดมีตำรวจชั้นประทวนและรองสารวัตรเพียง 40% ของอัตรากำลังที่ควรจะมี ลองถามตัวเองดูว่า หากเกิดเหตุฉุกเฉิน หรือคดีสำคัญขึ้น ใครจะออกไปไล่จับผู้ร้าย ใครจะทำเวรยาม ใครจะอยู่เวรกลางดึก?
5. เมื่อผู้ใหญ่ฟังแต่เสียงอ้อนวอน
เคยได้ยินคำถามที่ฟังดูแสนเจ็บปวดจากผู้ใหญ่ที่มากดดันว่า “แค่เด็กตัวเล็กๆ ทำไมถึงให้ไม่ได้?” หรือ “ทำไมใจดำ ไม่เห็นใจเขาบ้างเลย?”
คำถามเหล่านี้แม้ดูเล็ก แต่กลับใหญ่หลวงยิ่งสำหรับคนที่ต้องบริหารทั้งระบบ หากเราเปิดประตูตามแรงกดดันเหล่านี้ หน่วยงานที่อยู่ในพื้นที่ไกลเมืองจะกลายเป็น “หน่วยงานไร้กำลัง” นายพลตำรวจเล่าพร้อมถอนหายใจ
สําหรับประเด็นที่ 6. ฝากให้คิดว่า ความสมดุลที่แท้จริงคืออะไร?
ในฐานะผู้บังคับบัญชา ไม่เคยคิดจะใจไม้ไส้ระกำ แต่หน้าที่ของผู้บังคับบัญชาคือการรักษาดุลยภาพระหว่าง “เหตุผลส่วนตัว” กับ “ความมั่นคงของพื้นที่” หากปล่อยให้แรงเหวี่ยงไปด้านใดด้านหนึ่งมากเกินไป สิ่งที่เสียหายไม่ใช่ตัวบุคคล หากแต่เป็นทั้งองค์กร และประชาชน
7. ใครอยากมา ยินดีต้อนรับ ใครอยากไป ต้องมีเหตุผล
นโยบายชัดเจน คือใครอยากเข้ามาในพื้นที่ที่รับผิดชอบ ไม่เคยปิดกั้น หากมีที่ว่าง ยินดีต้อนรับอย่างอบอุ่น แต่หากใครอยากจะออก ก็ขอให้เข้าใจว่าจำเป็นต้องดูความขาดแคลนในพื้นที่เป็นหลัก และต้องมีเหตุผลที่แท้จริง สมควรอย่างยิ่ง
8. โปรดอย่าคิดว่า การแต่งตั้งโยกย้ายคือการเลือกปฏิบัติ
คำสั่งโยกย้ายทุกฉบับ มีเหตุผลประกอบชัดเจน มีการพิจารณาเป็นรายกรณี ไม่สามารถใช้ความรู้สึกเพียงอย่างเดียวได้ เพราะทุกการตัดสินใจจะกระทบประชาชนจำนวนมากที่พวกเราต้องดูแล
9. โปรดให้โอกาสผมได้บริหารตามหน้าที่เถอะครับ
สิ่งที่ท่านขอให้ผมทำ ผมรับฟังเสมอครับ และผมไม่เคยเพิกเฉยต่อเสียงของความทุกข์ยากของตำรวจชั้นผู้น้อย แต่ขอเพียงให้ผมได้บริหารพื้นที่ด้วยหลักการและข้อมูลจริง
เพราะหน้าที่ของผมไม่ใช่เพียงดูแลลูกน้อง แต่ต้องดูแลชีวิตประชาชนนับแสนที่รอคอยการคุ้มครองด้วย
ประเด็นสุดท้าย บิ๊กตำรวจขมวดปมว่า “หากท่านยังนับว่าผมเป็น ‘พวกเดียวกัน’ ขอความกรุณา เมตตาผม ให้ได้ทำหน้าที่อย่างเต็มที่ และขอให้เมตตา ‘พี่น้องประชาชน’ ที่เขายังรอให้ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์อยู่ในพื้นที่เพื่อดูแลพวกเขาอย่างเข้มแข็ง แม้คำว่า ‘เมตตา’ จะฟังดูนุ่มนวล แต่มันคือคำที่เปี่ยมด้วยพลัง ขอเพียงให้เข้าใจความจริงที่อยู่ในสนาม และปล่อยให้คนในสนามได้ทำหน้าที่ของตนเถิด”
สำหรับทางออก สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ต้องกำหนดโรงเรียนนายสิบตำรวจ ให้คะแนนพิเศษกับผู้สมัครที่เป็นคนพื้นที่ เพื่อสร้างแรงจูงใจ และระบุทำงานกี่ปี ถึงย้ายกลับภูมิลำเนาได้
น่าจะเป็นแนวทางปลดล็อกปัญหานี้ได้
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022