ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 18 - 24 เมษายน 2568 |
---|---|
คอลัมน์ | รายงานพิเศษ |
เผยแพร่ |
MatiTalk ไอซ์ รักชนก
วิกฤตครั้งนี้ชี้ชัดรัฐราชการตัวปัญหา
เวลางาน ‘เกี่ยง’ แต่งบฯ แย่ง แถม ‘ซ้ำซ้อน’
“มันถึงเวลาหรือยังที่เราต้องปฏิรูประบบราชการ พูดตรงๆ นะระบบราชการทุกวันนี้มันไม่ตอบสนองต่อวิกฤตใดเลย วิกฤตน้ำท่วมทุกคนก็เห็นแล้ว ภัยพิบัติแผ่นดินไหวครั้งนี้ก็ยิ่งชัดเจนเข้าไปใหญ่”
ไอซ์ รักชนก ศรีนอก ส.ส.กทม. พรรคประชาชน สนทนาผ่านรายการ MatiTalk ของมติชนสุดสัปดาห์
รักชนกมองว่า รัฐราชการไทยถ้าเป็นเรื่องงานที่ต้องตัดสินใจ เขาจะเกี่ยงกัน แต่ถ้าเป็นเรื่องงบประมาณเขาจะแย่งกัน นี่คือวิธีการทำงานของรัฐราชการไทย
เราถึงต้องมีรัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรีที่คุณต้องมาดูไส้ใน
มาดูรายละเอียดสิ่งนี้ว่าถ้ามันเป็นเรื่องที่ต้องตัดสินใจแล้วราชการไม่ยอมตัดสินใจ คุณต้องชี้ให้เขาตัดสินใจ
หรือถ้าเป็นเรื่องงบประมาณที่เขาแย่งกันเอา แย่งกันกอบโกย คุณต้องตัดสินใจว่าใครจะเป็นคนทำ ไม่งั้นงานที่ต้องตัดสินใจ คุณก็รอไปเถอะ นึกออกไหม
ชัดเจนที่สุดคือเรื่องเกี่ยงกันตัดไฟ (ที่ส่งไปเมียนมา) หลายคนอาจจะได้เห็นแล้วว่าเถียงกันมาเป็นเดือนๆ กว่าจะได้ตัด
แล้วก็มาเรื่องเซลล์บรอดคาสต์ หรือการส่งข้อความสั้นๆ แจ้งเตือนภัยไปยังผู้ใช้โทรศัพท์มือถือในพื้นที่ที่กำหนดพร้อมกัน ไปดูไส้ในงบประมาณจะเห็นเลยว่าคุณก็แย่งงบฯ กัน
นี่มันสะท้อนสิ่งที่ชัดเจนในการทำงานของระบบราชการ ทุกวันนี้วิธีการทำงานของระบบราชการมีปัญหา การที่คุณจะส่ง SMS ได้ ถามว่ามีกี่หน่วยงานที่เชื่อมโยงเกี่ยวเนื่องกัน คุณมี DE กรมอุตุฯ ปภ. กสทช. แล้วทางราชการเวลาเขาคุยกันคือเขาต้องส่งเป็นหนังสือราชการ ถ้าเป็นเรื่องด่วน เขาใช้ EMS ค่ะ
มันสามารถที่จะทำเป็นระเบียบได้นะ หรือ MOU ตกลงกันว่าคุณจะใช้ช่องทางไหนที่มันรวดเร็ว
เช่น เขียนไว้เลยว่าคุณจะใช้อีเมลในการติดต่อสื่อสารกันผ่านเมลนี้
ก่อนหน้านี้เรามีปัญหาน้ำท่วมก็เหมือนกัน ต้องมีหน่วยงานที่เกี่ยวกับน้ำ ทั้ง สทนช. กรมชลประทาน กรมอุตุฯ ปภ. มันควรที่จะคิดได้หรือยังว่าการรวมกระทรวงหรือว่าการรวมกรม เพื่อให้ประสิทธิภาพในการทำงานในการแก้ไขปัญหาให้ประชาชนมันดีขึ้น
ควรจะมาคิดเรื่องนี้ได้หรือยัง หน่วยงานมีความซ้ำซ้อนยังจำเป็นอยู่หรือไม่ ต้องยุบกระทรวงไหนไปรวมกับกระทรวงไหน หรือยุบกรมไหนไปรวมกับกรมไหน
แต่พูดตรงๆ นะรัฐบาลนี้ไม่กล้าแตะเรื่องแบบนี้หรอก เพราะว่าเขากลัวแรงต้านจากราชการ
อยากจะบอกนายกฯ ว่าสิ่งที่นายกฯ เจอ มันสะท้อนความความแข็งตัวของระบบราชการ
มันเป็นราชการรวมศูนย์ มันไม่กระจายอำนาจ แล้วมันก็เชื่องช้า
ถ้าเราเจอภัยพิบัติที่มันใหญ่กว่านี้มากๆ คนไทยตายก่อน ไม่เหลืออ่ะ เพราะว่ากว่าคุณจะเชื่อมต่อกันระหว่างหน่วยงาน กว่าคุณจะเอาอุปกรณ์ออกมา กว่าคุณจะเบิกจ่าย มันไม่ทันการณ์ไปหมด
นายกฯ ควรจะหยิบฉวยโอกาสหรือเอาวิกฤตอันนี้ไปทำอะไรสักอย่าง คือทำเรื่องใหญ่ๆ เลย
อย่างเรื่องการคุยกันว่าระบบราชการที่มันเชื่องช้าและมันแข็งตัวแล้วมันรวมศูนย์ ทำยังไงให้ให้มันกระจายอำนาจ กระจายการตัดสินใจไปเพื่อให้การทำงานมันรวดเร็วมากขึ้น
ยังไม่รวมถึงว่าเรื่องงบประมาณที่อยู่ในหลายๆ กระทรวง
ยกตัวอย่าง เช่น กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรฯ หลายๆ กระทรวงที่ถืองบฯ เอาไว้ แต่จริงๆ แล้วเงินตรงนี้คุณควรจะเอาไปให้ท้องถิ่นตัดสินใจว่าเค้าจะทำบริการสาธารณะอะไรหรือดูแลคนในท้องถิ่นยังไง
มันยังไปไม่ถึงตรงนั้น ประเทศไทยน่าเศร้าที่จริงๆ ที่เราต้องรอให้เราเจอวิกฤตก่อน เราถึงจะไปแก้บางเรื่อง
ที่มันน่าเศร้ากว่านั้นก็คือว่าพอเราเจอวิกฤตแล้ว เรากลับไม่ฉวยโอกาสในการที่จะไปแก้ไขอะไรเลย
ยกตัวอย่าง เหตุการณ์น้ำท่วม ก่อนจะมีแผ่นดินไหว เราท่วมกันมากี่ครั้ง เรื่องของการเตือนภัย เรื่องเซลล์บรอดคาสต์ เรื่องการแจ้งเหตุ หรือว่าเรื่องการเยียวยาผู้เสียหาย ก็เชื่องช้า
ระบบราชการคุณทำงานตามวิกฤตอะไรไม่ทันหรอก ถ้าคุณยังไม่ปฏิรูปรัฐราชการ
แล้วคุณก็จะใช้งบประมาณไปอย่างไม่มีประสิทธิภาพ ถ้าคุณยังไม่ปฏิรูปเรื่องกระบวนการงบประมาณ หรือว่าการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ
มองเชื่อมไปถึงเรื่องตึก สตง.เลยก็ได้ มันสะท้อนอะไร คือหลายคนพอตึกถล่มแล้วคุณก็มาสนใจเรื่องเหล็กเป็นยังไง เก้าอี้ราคาแพงมาก ทุกอย่างมันสะท้อนว่า กระบวนการต่างๆ ที่อยู่ในเงามืด อยู่ในหลุมดำมันไม่โปร่งใส คุณจะเห็นปัญหาก็ต่อเมื่อ “ฝีมันแตกออกมา” จนคนฉิบหายกันหมด ได้รับผลกระทบกันหมดนั่นแหละคุณถึงจะเห็นว่ามันเป็นปัญหา
แต่ว่าพอเห็นเป็นปัญหาแล้วก็ยังไม่สามารถเข้าไปแก้ไขอะไรได้อีก
เรื่องการจัดซื้อจัดจ้าง หลายๆ คนจะเห็นปัญหา คือว่ามันสะท้อนกระบวนการทางงบประมาณที่มันไม่มีประสิทธิภาพ คือเป็นการที่บริษัทหนึ่งรับงานไปแล้วก็ไปจ้างช่วงต่ออีก แล้วก็ควบคุมคุณภาพไม่ได้
ลองคิดดูว่าถ้ามันถล่มวันที่ทุกคนเข้าไปอยู่ในตึกหมดแล้ว ความเสียหายมันจะเกิดเยอะกว่านี้อีก
เราอยากจะสื่อสารกับนายกฯ เราเข้าใจดีว่า ตอนเราเป็น ส.ส.แรกๆ เราก็ทำตัวไม่ถูก มีหลายๆ สิ่งหลายๆ อย่างที่เราต้องเรียนรู้เหมือนกัน
แต่สิ่งที่อยากจะแนะนำในฐานะคนที่อายุอาจจะไม่ได้ไกลกันมาก คือคุณต้องพยายามทำให้ Learning Curve ของคุณ มันพุ่งทะยาน มากกว่าคนทั่วไป เพราะคุณนั่งอยู่ในตำแหน่งที่มีอำนาจสูงสุดของประเทศนี้
คุณต้องทุ่มเท เทให้ตำแหน่งหน้าที่นี้ โดยการที่อาจจะต้องละทิ้งเวลาส่วนตัว ยก Work Life Balance มันคือความตระหนักในหน้าที่ว่าคุณจะต้องมี Learning Curve ที่มันเร็วกว่าคนอื่น สูงกว่าคนอื่น กราฟมันชันกว่าคนอื่น แล้วมันจะต้องแบบรู้ทุกเรื่อง
แน่นอนว่าในภาวะที่จำกัดมันมีความกดดัน แต่คุณมีทรัพยากรมากมายอยู่รายล้อมคุณ คุณมีที่ปรึกษาเป็น 10 คน แล้วคุณสามารถสั่งราชการได้อยู่แล้ว
พูดตรงๆ นะคุณมีฝ่ายค้านที่คอยแนะนำในมาตรการต่างๆ ที่คุณคิดไม่ออก คุณจะหยิบสิ่งเหล่านี้ไปทำก็ได้ นึกออกไหม เราแค่ขอให้ประเทศมันดีขึ้น ขอให้ทุกคนได้ประโยชน์ เราไม่ได้ติดเลยนะ ถ้าจะหยิบอะไรไปทำ
แต่ปัญหาก็คือนายกฯ ไม่ได้ตระหนักรู้ว่าสิ่งที่ตัวเองยืนวันนี้ มันคือการกำหนดอนาคตของคนทั้งประเทศ
คนอายุ 20 กว่าๆ วันนี้ จะมีอนาคตยังไง ลูกหลานเขาจะเป็นยังไง ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของนายกรัฐมนตรี ณ วันนี้เลย คนอายุ 60 ที่แก่ไปแล้วเกษียณจะได้เบี้ยเท่าไหร่ หรือว่าในบั้นปลายรัฐจะดูแลเขาในรูปแบบไหน ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของนายกฯ วันนี้
เอาง่ายๆ ทุกชีวิตในประเทศนี้ ตั้งแต่เกิด ตั้งแต่คุณเข้าไปสู่ระบบการศึกษา คุณเข้าสู่วัยทำงานจนคุณเกษียณแล้วคุณตาย นายกรัฐมนตรีคือคนที่ต้องรู้ทุกอย่างและบริหารจัดการประเทศนี้เพื่อให้ทุกคนมีอนาคต แล้วก็อยู่ได้ ไม่ติดอยู่ในความเหลื่อมล้ำ
นายกฯ ต้องตระหนักสิ่งนี้ก่อน ดังนั้น การดีลแลกประเทศตามที่พรรคประชาชนได้อภิปรายไป การที่คุณเอาอนาคตของคนทั้งชาติไปแลกมา เรายืนยันนะว่าปมปัญหามันใหญ่ขนาดนั้นจริงๆ จะจับไปตรงไหนเดี๋ยวก็เจอปัญหา เรื่องทุน เรื่องพ่อ เรื่องเพื่อนพ่อกู ลูกน้องพ่อ ระบบราชการมันตัดสินใจไม่ถูกอีก
ฉะนั้น อันดับแรกนายกฯ ต้องตระหนักก่อนว่าตำแหน่งของคุณมันส่งผลกับทุกๆ ชีวิตในประเทศนี้จริงๆ
แล้วถ้าคุณอยากจะเป็นตำนานของประเทศนี้ หรือว่าอยากจะฝากอะไรเอาไว้ให้คนรุ่นหลังในอีก 10-20 ปี กลับมามอง คือวันนี้คุณต้องมีเจตจำนงที่จะแก้ไขปัญหาให้ประชาชนได้สักเรื่องในบรรดา 100 เรื่องที่เป็นปัญหาของประเทศเราอยู่
คุณหยิบมาสักเรื่องที่คุณถนัดแล้วคุณก็ทำให้ได้ คุณต้องทำอย่างถึงลูกถึงคน ต้องทำอย่างเข้าใจ ต้องทำอย่างมีแพสชั่น สุดท้ายมันต้องกลับมาวัดผลว่าประเทศได้อะไร นายกฯ ต้องเอาจริงเอาจังสักเรื่องได้แล้ว
เอาจริงๆ ระบบราชการนี้มันซับซ้อนและยิ่งใหญ่เกินกว่าที่ใครคนหนึ่งจะเข้าใจ-จัดการได้ แต่คุณยังมีคณะรัฐมนตรีที่จะคอยมาช่วยกลั่นกรองดูแลกำกับกระทรวงต่างๆ
วันนี้แปลว่ามันสะท้อนอะไร มันแปลได้ว่ารัฐบาลที่ฟอร์มกันมาแบบนี้แน่นอนว่าคุณไม่ได้เลือกรัฐมนตรีจากความรู้ความสามารถ คุณเลือกมาจากระบบโควต้า รวมให้ได้กี่คน ได้กี่กระทรวง
คุณจะมีคนที่มีความรู้ความสามารถมาช่วยคุณทำงานได้อย่างไร คือเราก็เชื่อว่าเขาไม่ได้หยิบใช้คนที่มีความรู้ความสามารถตรงประเด็น หรือคนที่มีแพสชั่นกับเรื่องนั้นจริงๆ มาทำงานหรอก
มันสะท้อนว่าการฟอร์มรัฐบาลมาแบบนี้ สุดท้ายคุณติดขัดไปหมด
ชมคลิป
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022