หายนะของ ‘เซาธ์แฮมป์ตัน’ การตกชั้นที่เต็มไปด้วยความผิดพลาด

Soccer Football - Premier League - Tottenham Hotspur v Southampton - Tottenham Hotspur Stadium, London, Britain - April 6, 2025 Tottenham Hotspur's Brennan Johnson scores their first goal REUTERS/David Klein Purchase Licensing Rights

เซาธ์แฮมป์ตันเป็นทีมแรกที่ตกชั้นจากพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ฤดูกาลนี้ไปแล้ว และเป็นทีมที่ตกชั้นเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ของลีกสูงสุดเมืองผู้ดี ด้วยการร่วงไปลีกรองก่อนปิดฤดูกาลถึง 7 นัด ทำลายสถิติเก่าที่อิปสวิช ตกชั้นในฤดูกาล 1994-1995 และดาร์บี้ เคาน์ตี้ ในฤดูกาล 2007-2008 ซึ่งทั้งสองทีมตกชั้นหลังจบเกมที่ 32 ของฤดูกาลไปแล้ว

ย้อนกลับไปเกือบ 1 ปีที่แล้ว ทีมนักบุญยังเป็นทีมสุดอันตรายในลีกแชมเปี้ยนชิพ และเลื่อนชั้นขึ้นมาด้วยการชนะเพลย์ออฟ ทุ่มเงิน 100 ล้านปอนด์ ให้ รัสเซลล์ มาร์ติน กุนซือของทีมในตอนนั้นเสริมทีม เพื่อทำผลงานที่ดีในพรีเมียร์ลีกให้ได้

ในระยะห่าง 316 วัน เซาธ์แฮมป์ตันทำผลงานจากหน้ามือเป็นหลังมือ ชนะแทบไม่เป็น โดนยิงไปยับเยิน และสัญญาณที่บอกว่าพวกเขาต้องกลับไปเล่นในลีกแชมเปี้ยนชิพ ก็มีให้เห็นมาตั้งแต่ช่วงครึ่งแรกของซีซั่นนี้แล้ว

ในวันที่เซาธ์แฮมป์ตันบุกแพ้ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ 1-3 และร่วงตกชั้นไปนั้น พวกเขาชนะแค่ 2 จาก 31 เกม โดนยิงไป 74 ตุง และยิงได้แค่ 23 ลูก

 

หลังจากตกชั้นแน่นอนแล้ว สโมสรได้ประกาศแยกทางกับ อีวาน ยูริช กุนซือที่เข้ามาพาทีมหนีตายแค่ไม่กี่เดือน ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องน่าเซอร์ไพรส์อะไร

คนในสโมสรเซาธ์แฮมป์ตันบอกเล่าถึงบรรยากาศของสโมสรว่า ทุกคนต่างรู้ดีว่าทีมจะตกชั้นมานานแล้ว เหมือนกับรถที่พุ่งชนอย่างช้าๆ ก่อนที่มันจะเกิดขึ้นให้เห็นหลังจบเกมกับสเปอร์ส

สาเหตุหลักที่มองกันว่าเซาธ์แฮมป์ตันย่ำแย่ขนาดนี้ เพราะการโบกมือลาไปของ เจสัน วิลคอกซ์ ผู้อำนวยการสโมสร ที่ไปรับตำแหน่งผู้อำนวยการเทคนิคของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา

วิลคอกซ์ถือเป็นคนสำคัญในการมองนักเตะที่จะมาเสริมทีม รวมไปถึงการเจรจาซื้อขายย้ายทีม เมื่อไม่มีเขาอยู่ในถิ่นเซ้นต์ แมรี่แล้ว มาร์ก บิตคอน หัวหน้าฝ่ายฟุตบอล ฟิล พาร์สันส์ ซีอีโอของสโมสร ก็ต้องเป็นคนทำหน้าที่แทน ราสมุส อันเคอร์เซ่น หนึ่งในผู้ก่อตั้งสปอร์ต รีพับลิก และเป็นประธานสโมสร ได้มาร่วมตัดสินใจในการเสริมทีมด้วย

การเสริมทีมถูกวิจารณ์อย่างมาก แม้ว่าจะมีการทุ่มทุนในระดับหนึ่งก็ตาม เพราะมาร์ติน กุนซือของทีม ไม่ได้นักเตะที่อย่างที่เขาต้องการ พาร์สันส์ที่เป็นตัวหลักในการเสริมทีม ไม่ได้ซื้อตัวตามไอเดียของมาร์ติน แต่กลับเลือกคนอื่นมาแทน ซึ่งเขาให้เหตุผลว่า เพื่อเป็นการปกป้องผลประโยชน์ของสโมสร เพราะไม่ต้องการจ่ายค่าตัวและค่าเหนื่อยที่สูงเกินไป

ก่อนเปิดฤดูกาล 10 วัน การเสริมทีมยังไม่เป็นรูปเป็นร่างอย่างที่หวัง นักเตะเป้าหมายย้ายไปซบทีมอื่นแล้ว ทำให้กังวลกันว่า คุณภาพนักเตะที่มีอยู่จะดีพอพาทีมหนีตกชั้นได้หรือไม่

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ก็น่ากังวลมากขึ้น เพราะสโมสรมีนโยบายว่า จะให้โอกาสนักเตะดาวรุ่งของทีมขึ้นมาโชว์ผลงาน เพื่อเพิ่มมูลค่าให้พวกเขา ไทเลอร์ ดิบลิ่ง และ มาเตอุส แฟร์นันเดส เป็นหนึ่งสองสมบัติล้ำค่าของสโมสร

เมื่อติดกระดุมเม็ดแรกผิด ความผิดพลาดอื่นๆ ก็ตามมา เซาธ์แฮมป์ตันแพ้ 8 จาก 10 เกมแรกของฤดูกาล มีแค่ 4 แต้ม ทำให้ชื่อของเซาธ์แฮมป์ตันเป็นทีมเต็งที่จะตกชั้นไปตั้งแต่ตอนนั้น

 

ถึงแม้ว่ามาร์ตินจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับนักเตะในทีม เพราะเขาพาทีมเลื่อนชั้นขึ้นมาได้ แต่เมื่อผลงานแย่ต่อเนื่อง ข้อผิดพลาดในสนามมีให้เห็นเต็มไปหมด การสร้างเกมมาจากแดนหลัง และเน้นการครองบอล ที่มาร์ตินนำมาใช้ ไม่เวิร์กในลีกสูงสุดเอาเสียเลย และดูเหมือนว่าเขาเองจะพลิกสถานการณ์ไม่ได้เสียที แถมไม่มีแผนสำรอง แต่สโมสรก็ไม่ได้มีความคิดจะปลดเขาออกจากตำแหน่งไป

แฟนบอลสร้างแรงกดดันให้ทั้งสโมสรและผู้จัดการทีม ในเกมที่เซาธ์แฮมป์ตันพ่ายเชลซียับเยิน 1-5 คาบ้าน ในช่วงเดือนธันวาคม ปีที่แล้ว ดราแกน โซลัก เจ้าของสโมสรที่อยู่ในสนามวันนั้น ออกอาการไม่พอใจอย่างมาก ต่อด้วยการแพ้แอสตัน วิลล่า 0-1 และโดนสเปอร์สถลุงคาบ้าน 0-5

จากผลงานและการต่อต้านมาร์ตินของแฟนบอล ทำให้ต้องมีการเปลี่ยนแปลง มาร์ตินจากไป อีวาน ยูริช เข้ามารับเผือกร้อนแทน

ยูริชยอมรับตั้งแต่เซ็นสัญญาว่า ทีมนักบุญอยู่ในสถานการณ์ที่ย่ำแย่มากๆ แต่จะพยายามพัฒนาให้ทีมดุดันขึ้น และมองในแง่ดีทีมนี้ยังพัฒนาได้

โซลักได้มีการเปลี่ยนแปลงการบริหาร เขามาเป็นประธานด้วยตัวเอง หลังจากที่คราฟต์ลาออกไป แต่ก็ยังเป็นผู้ถือหุ้นอยู่

โซลักยอมรับว่า การจากไปของวิลคอกซ์เป็นเรื่องใหญ่ สโมสรยังไม่สามารถหาคนที่เหมาะมาทดแทนเขาได้เลย

 

ยูริชไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความย่ำแย่ให้ดีขึ้นได้ ความสัมพันธ์กับนักเตะก็เรียกได้ว่าพังพินาศ เพราะเขาบอกกับลูกทีมว่า นักเตะที่มีอยู่ไม่ดีพอจะลงเล่นในพรีเมียร์ลีก มาตรฐานของพวกเขา คือ ลีกแชมเปี้ยนชิพ

กุนซือชาวโครแอตออกมาเปิดใจหลังจบเกมสุดท้ายที่เขาคุมทีมนักบุญว่า การเสริมทีมเป็นเรื่องสำคัญที่สุดของฟุตบอล เราต้องหานักเตะที่เหมาะกับลีก สภาพร่างกายต้องดี แต่นักเตะที่มีอยู่ของเซาธ์แฮมป์ตัน สภาพร่างกายต่างจากทีมอื่นในพรีเมียร์ลีกอย่างเห็นได้ชัด

สโมสรออกแถลงการณ์แยกทางกับยูริชในวันรุ่งขึ้นทันที “การทำงานของยูริชไม่ได้แสดงให้เห็นถึงการพัฒนาของทีมอย่างที่เราหวังไว้”

หลังจากนี้คงเป็นการเตรียมตัวเพื่อลุ้นเลื่อนชั้นอีกครั้ง ซึ่งทีมนักบุญมีประสบการณ์เรื่องนี้ดีอยู่แล้ว แต่น่าสนใจว่าจะรักษา “สมบัติของสโมสร” อย่างดิบลิงหรือแฟร์นานเดสได้หรือไม่ นักเตะชั้นดีอย่าง อารอน รัมสเดล นายทวารดีกรีทีมชาติอังกฤษ หรือ ไคล์ วอล์กเกอร์-ปีเตอร์ และบางคนที่ยังได้มาตรฐานพรีเมียร์ลีก ก็น่าจะโยกย้ายไปอยู่กับทีมอื่นในลีกสูงสุดต่อไป

น่าคิดว่าอีก 316 วันข้างหน้า เซาธ์แฮมป์ตันจะเป็นอย่างไร

แต่เชื่อว่าจะดีกว่าช่วงเวลาที่ผ่านมาในรอบขวบปีแน่นอน

ถ้าเป็นไปอย่างที่ยูริชบอกว่า มาตรฐานของนักเตะเหล่านี้ ได้แค่ลีกแชมเปี้ยนชิพเท่านั้น •

 

Technical Time-Out | จริงตนาการ

[email protected]