ว่าด้วยเรื่องของโอกาส-รายได้ และโลกในชีวิตจริง ของ “บี้ เดอะ สตาร์”

นับจากเข้าร่วมแข่งขันในรายการเดอะ สตาร์ ซีซั่นที่ 3 ในช่วงปลายปี พ.ศ.2549 และประสบความสำเร็จได้รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1

ถึงวันนี้ บี้ สุกฤษฏิ์ วิเศษแก้ว ก็ว่าเผลอแป๊บเดียวเขาก็อยู่วงการบันเทิงมาได้ 11 ปีแล้ว

และเป็น 11 ปีที่ได้ทำอะไรมากมายในชีวิต ที่ทำให้รู้สึกเหนื่อย สนุก มีความสุข ฯลฯ คละเคล้ากันไป

ล่าสุดบี้ก็เตรียมจะมีผลงานใหม่หลายอย่าง ทั้งงานเพลงที่ยังไงก็ไม่ทิ้ง

“เพลงใหม่มีแน่นอนครับ เพราะว่าเราชื่นชอบการร้องเพลง”

และก็มีที่ร้องๆ เก็บเองไว้ และ “ถ้ามีเพลงไหนที่เหมาะสมในช่วงของจังหวะและเวลา เราก็จะนำมาใช้งาน”

เล่าด้วยว่า บางเพลงที่ร้องเก็บๆ ไว้ ดังนั้น พอจะนำมาใช้หากพบว่าเนื้อหาเก่าไป หรือทำนองไม่แจ่มพอ เขาและทีมงานก็จะนำมาปรับใหม่ ให้เข้ากับยุคและสมัยปัจจุบันมากขึ้น

ที่ผ่านมาจึง “ทำเพลงอยู่ได้เรื่อยๆ ครับ ส่วนจะปล่อยตอนไหนก็ต้องแล้วแต่โอกาส ความพร้อม” ดังที่ว่า

ซึ่งเท่าที่ประมาณการคือ เขาน่าจะมีเพลงมาให้แฟนๆ ได้ฟังในช่วงประมาณกลางปีนี้ หรือถ้าจะฟันธงให้ชัดขึ้นก็น่าจะเป็นช่วงเดือนมิถุนายน-หากแผนไม่มีอะไรพลาด

และนอกจากเพลงใหม่ดังว่า ก็ยังน่าจะมีเพลงประกอบละคร

รวมถึงละคร “พรหมไม่ได้ลิขิต” ที่เพิ่งเปิดกล้องถ่ายทำ และช่องวันมีแผนจะนำออนแอร์ ออกอากาศในช่วงปลายปีนี้ โดยละครซึ่งสร้างจากบทประพันธ์ของศรีฟ้า ลดาวัลย์ ที่ถูกนำมารีเมกอีกครั้งโดยได้ กรัณย์ คุ้มอนุวงศ์ เป็นผู้กำกับการแสดง

เรื่องนี้ เขาได้รับบท “อรชุน” นักธุรกิจหนุ่มที่ความรักของเขากับ “การะเกด” พยาบาลสาวมีอุปสรรค อีกทั้งยังมีปัจจัยบางอย่างที่ทำให้เธอต้องตัดสินใจระหว่างความรักที่มีให้เขา กับความรับผิดชอบ และการทดแทนบุญคุณนั้น ควรต้องเลือกอะไร

โดยเรื่องนี้เขาต้องแสดงประกบกับเอสเธอร์ สุปรีย์ลีลา ซึ่งเคยเจอกันมา และแฟนๆ ก็ชื่นชอบนักจากละคร “เธอคือพรหมลิขิต”

กับการต้องมาเริ่มงานใหม่ๆ ในวันนี้ บี้บอกว่า แน่นอนว่าในเรื่องของความกระตือรือร้น และความตั้งใจอยากทำให้งานออกมาดี ยังมีเหมือนเดิม

แต่ที่เพิ่มเติมคือ ความกดดันนั้นหายไป

“ทุกวันนี้ไม่ได้กดดันนะครับ” บี้บอกยิ้มๆ

“เมื่อก่อนกดดันมาก เพราะอยากทำให้มันดี ทำให้มันได้ แต่ว่าปัจจุบันนี้เราอยู่วงการมา 11 ปี เริ่มเห็นทั้งข้อดีและข้อเสีย อันไหนได้ อันไหนไม่ได้ แล้วพอเริ่มเห็นเยอะ เราก็จะรู้แล้วว่าอันไหนมันคืออะไร แล้วมันควรจะเป็นแบบไหน เพราะฉะนั้น ความกดดันก็เลยลดลง จนแทบจะไม่มีเลย”

ด้วยที่คิดไว้คือ แค่ทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ในส่วนของตัวเอง เท่านั้นก็พอ

ส่วนเรื่องการโกอินเตอร์ไปต่างประเทศ ที่ระยะหลังมีนักแสดงชาวไทยหลายคนโกไป และได้รับการตอบรับดิบดี ไม่ว่าจะเป็นออม สุชาร์ มานะยิ่ง, ป้อง ณวัฒน์ กุลรัตนรักษ์, ไมค์ พิรัชต์ นิธิไพศาลกุล ฯลฯ ซึ่งเสียงตอบรับ ณ ประเทศจีนดีเหลือเกิน แถมรายหลังยังได้เซ็นสัญญากับเอเยนซี่ดังในฮอลลีวู้ดอีกต่างหากนั้น

บี้บอกว่า เขาเองก็ “อยากนะครับ” และเท่าที่ผ่านมาผลงานละครที่เขาแสดง ก็มีการถูกซื้อเพื่อนำไปออกอากาศที่นั่นส่วนแผนไปแสดงละครเวที “ข้างหลังภาพ เดอะ มิวสิคัล” เวอร์ชั่น “The Waterfal” ที่เคยตั้งเป้าจะไปแสดงที่อเมริกานั้น บี้บอกว่าถึงตอนนี้อยู่ในขั้นตอนของการคุยธุรกิจ

“ซึ่งยากมาก”

“ตอนนี้ไม่ใช่ขั้นตอนของนักแสดงแล้ว เป็นเรื่องของพี่บอย (ถกลเกียรติ วีรวรรณ) คุยกับทางอเมริกา ซึ่งใช้เวลาค่อนข้างที่จะนานมาก แต่ว่าทางตัวผมได้ทำหน้าที่นักแสดงเสร็จสมบูรณ์แล้ว เราก็เบรกไปก่อน เอาไว้ให้เขาคุยเรื่องธุรกิจกันให้เสร็จก่อน อาจจะเป็นวันนี้ พรุ่งนี้ ปีหน้าหรือหลายปีข้างหน้าก็เป็นเรื่องของเขา แล้วเดี๋ยวเขาก็คงจะมาเรียกเราเอง” บี้ซึ่งเคยไปแสดงละครเรื่องนี้ที่อเมริกามาแล้วพักหนึ่ง ซึ่งเป็นไปตามแผนดำเนินการที่จะมีการแสดงให้นักลงทุน นักวิจารณ์ และผู้ชมส่วนหนึ่งดูเล่า

บี้ยังแย้มด้วยว่า แม้ตอนนี้เขายังไม่มีแผนจะไปทำงานในต่างแดนที่ไหน แต่ที่ผ่านมาก็เคยได้รับการทาบทามให้ไปแสดงละครที่ประเทศจีนด้วยเหมือนกัน

“ที่จีนก็ติดต่อให้ไปเล่นนะครับ แต่มันต้องใช้เวลาไปประมาณ 3 เดือน แบบที่พี่ป้องไป แล้วเราก็ต้องไปใช้ชีวิตอยู่ตรงนั้น ซึ่งบางครั้งผมคิดว่าผมอาจจะยังไม่พร้อม”

“ถ้าไปร้องเพลงในจีนที่ใช้ระยะเวลา 1-2 วัน ผมว่าน่าสนใจมากกว่าที่จะไปอยู่ 3 เดือน”

นี่คนที่เคยจากบ้านไปอยู่อเมริกานาน ตอนเล่น The Waterfal เปิดอก

“ค่อนข้างที่จะลำบากในการห่างบ้าน” ว่าอย่างนั้น

และหากจะถามว่าไม่เสียดายโอกาสที่เข้ามาหาหรือ?

บี้ตอบทันที “เรื่องการกอบโกยรายได้ของผม มันก็เหมือนการอยู่คนละโลกกันนิดนึงนะ”

หัวเราะเบาๆ ก่อนอธิบายต่อ บอก “เราไม่ได้รวยหรอก เพียงแต่วันนี้เราใส่เสื้อสูทมาให้สัมภาษณ์ เสร็จแล้วก็ใส่เสื้อยืด กางเกงยีนส์กลับบ้าน นั่งกินข้าวกับไข่เจียว”

“เราใช้ชีวิตอยู่อย่างนั้นมากกว่า”

ที่เห็นแต่งตัวมาหล่อ ใส่เสื้อผ้าอย่างดี ก็แค่ชุดมาทำงาน ขณะที่ตอนอยู่บ้านก็สวมชุดธรรมดา กินอยู่ก็สามัญ

เพราะเพียงแค่นั้น เขาก็มีความสุขมากพอ จนไม่คิดว่าจะต้องคว้าทุกโอกาส กอบโกยทุกรายได้

และใช้ชีวิตในโลกแบบพอเพียงอย่างแฮปปี้แล้ว