เรียนรู้ที่จะหวงแหนโลเกชั่น

จิตต์สุภา ฉินFacebook.com/JitsupaChin
www.ข่าวธุรกิจ888.cyberaitea.com

Cool Tech | จิตต์สุภา ฉิน

Instagram : @sueching

Facebook.com/JitsupaChin

 

เรียนรู้ที่จะหวงแหนโลเกชั่น

 

เทคโนโลยีสมัยใหม่ทำให้เราสามารถติดตามสถานที่อยู่ของคนในครอบครัวหรือคนที่เรารักได้ตลอดเวลาผ่านฟีเจอร์ที่เรียกว่า Location sharing หรือการแชร์โลเกชั่นแบบตามเวลาจริงซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่สร้างความอุ่นใจให้กับพ่อแม่ผู้ปกครองเพราะทำให้สามารถติดตามได้ว่าลูกของเราอยู่ที่ไหน อยู่ในสถานที่ที่ควรอยู่หรือเปล่า

อย่างไรก็ตาม หลังๆ มานี้ฟีเจอร์นี้ได้กลายเป็นฟีเจอร์ยอดฮิตในหมู่คนรุ่นใหม่เพราะถือว่านี่เป็นวิธีการแสดงความรักและความจริงใจในรูปแบบหนึ่ง

หารู้ไม่ว่านี่เป็นอีกหนึ่งฟีเจอร์ที่เป็นดาบสองคมที่อาจนำไปสู่โศกนาฏกรรมได้

 

ฟีเจอร์แชร์โลเกชั่นกลายเป็นเครื่องมือที่ถูกนำไปใช้เพื่อสะกดรอยตามหรือนำไปใช้เพื่อการควบคุมอีกฝ่ายในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง จนทำให้เกิดกลายเป็นคดีฆาตกรรมมาแล้ว

ในเดือนตุลาคม ปี 2023 โค้ชกีฬาโปโลน้ำวัย 21 ที่อาศัยอยู่ในประเทศออสเตรเลียถูกอดีตแฟนหนุ่มฆ่าในห้องน้ำโรงเรียน เธอกับแฟนคนนี้คบหากันเป็นระยะเวลาสั้นๆ ก่อนจะได้เห็นว่าฝ่ายชายเริ่มแสดงอาการหึงหวงจนถึงขั้นหมกมุ่น

เขามักจะตรวจสอบโลเกชั่นของเธอผ่านฟีเจอร์แผนที่บนแอพพลิเคชั่นโซเชียลมีเดีย Snapchat และยังบังคับให้เธอแชร์โลเกชั่นบน iPhone ด้วย โดยจะระเบิดอารมณ์ทันทีถ้าหากเธอปิดฟีเจอร์นี้

จนมาถึงวันที่เธอขอยุติความสัมพันธ์ทำให้เขาวางแผนฆ่าเธออย่างเลือดเย็นและกระโดดตึกฆ่าตัวตายตาม

ผู้เชี่ยวชาญด้านความรุนแรงในครอบครัวพูดถึงคดีในครั้งนี้ว่าเป็นเหตุการณ์ที่เตือนให้เราได้ตระหนักถึงภัยที่อาจเกิดขึ้นจากการแชร์โลเกชั่นและควรมีการสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับคนรุ่นใหม่ให้สามารถระบุได้ว่าตัวเองอยู่ในความสัมพันธ์ที่อีกฝ่ายมีพฤติกรรมหมกมุ่นที่อาจนำไปสู่การบังคับ ควบคุม และใช้ความรุนแรงหรือไม่

เพื่อนๆ ของคู่รักชาวออสเตรเลียคู่นี้ต่างก็เข้าใจผิดและมองว่าการที่เธอแชร์โลเกชั่นให้เขาและเขาก็คอยติดตามสถานที่อยู่ของเธอเสมอนั้นเป็นการแสดงออกถึงความรักและความเอาใจใส่ ซึ่งก็มีรายงานที่ระบุว่าวัยรุ่นสมัยนี้มีแนวโน้มที่จะทำผิดพลาดแบบเดียวกันนี้สูง

 

ผลการวิจัยโดยนักเขียนของเว็บไซต์ The Conversation ที่ศึกษาจากอาสาสมัครมากกว่า 1,000 คนและติดตามผลกับกลุ่มคนในวัย 16-25 ปีทั้งหมด 28 คนพบว่าทุกคนเคยใช้แอพพลิเคชั่นแชร์โลเกชั่นตามเวลาจริงกับคนที่ตัวเองคบหามาแล้ว

แสดงให้เห็นว่ากลุ่มคนในช่วงอายุนี้มองว่าการแชร์โลเกชั่นกับแฟนเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่ใครๆ ก็ทำกัน ไม่ว่าจะเป็นการแชร์ผ่านแอพพ์ Find My, Snapchat หรือ Life360 พวกเขามองว่าการกดแชร์โลเกชั่นกันเอาไว้เป็นการแสดงออกถึงความใส่ใจและเชื่อใจโดยไม่ได้มองเห็นภัยอันตรายที่อาจจะตามมาเลย

หรือหากจะมีคนที่พอจะมองเห็นภัยอยู่บ้างก็นึกไม่ออกว่าจะปฏิเสธหรือเลิกแชร์โลเกชั่นให้เพื่อนและคู่รักได้อย่างไรแบบที่จะไม่ทำร้ายจิตใจกัน เพราะทันทีที่กดเลิกแชร์ก็จะถูกอีกฝ่ายมองว่าไม่ไว้เนื้อเชื่อใจและอาจทำลายความสัมพันธ์ได้

บางคนก็กลัวว่าถ้ายกเลิกการแชร์ อีกฝ่ายจะไม่พอใจ นำไปสู่การลงไม้ลงมือ ใช้ความรุนแรงอย่างเช่นในกรณีของคู่รักชาวออสเตรเลียได้

 

หากย้อนกลับไปดูต้นเรื่องจริงๆ ก็จะพบว่าการที่วัยรุ่นสมัยใหม่รู้สึกว่าการแชร์โลเกชั่นให้เพื่อนหรือคนรักเป็นเรื่องปกติอาจจะเริ่มต้นมาจากที่บ้าน เพราะพ่อแม่ของตัวเองก็ใช้แอพพลิเคชั่นติดตามโลเกชั่นของลูกมาโดยตลอด ทำให้การใช้ฟีเจอร์แชร์โลเกชั่นกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่วัยรุ่นกลุ่มนี้นำติดตัวไปใช้นอกครอบครัวด้วย

ดังนั้น การแก้ปัญหาเรื่องนี้อาจจะต้องเริ่มจากการตัดไฟแต่ต้นลม พ่อแม่ที่ให้ลูกเปิดฟีเจอร์แชร์โลเกชั่นควรต้องจับเข่าคุยเรื่องนี้อย่างจริงจังเพื่อให้ลูกได้รู้ถึงความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นจากการแชร์โลเกชั่นกับคนอื่น

และควรจะสอนเรื่องการวางขอบเขตทางด้านดิจิทัลระหว่างตัวพวกเขาเองกับคน อื่นๆ รอบตัวให้ชัดเจนด้วยไปพร้อมๆ กัน

เด็กรุ่นใหม่ควรจะเรียนรู้ที่จะสังเกตพฤติกรรมว่าคนรอบตัวคนไหนเริ่มมีสัญญาณของพฤติกรรมทางดิจิทัลที่ไม่เหมาะสม และหากตกอยู่ในสถานการณ์ที่ถูกละเมิดความเป็นส่วนตัวทางดิจิทัล พวกเขาจะสามารถขอความช่วยเหลือด้วยวิธีไหนได้บ้าง

 

คําถามว่าเราควรจะแชร์โลเกชั่นตามเวลาจริงให้กับคู่รักของเราหรือไม่นั้นเป็นคำถามที่ถกเถียงกันได้แบบไม่มีข้อสรุปที่ตายตัวเพราะบริบทของคู่รักแต่ละคู่ก็ไม่เหมือนกัน

บางคนอาจจะมองว่าการแชร์โลเกชั่นเป็นการแสดงออกถึงความจริงใจ ในขณะที่บางคนก็อาจจะมองต่างมุมโดยสิ้นเชิงว่าการบังคับให้แชร์โลเกชั่นนี่แหละที่แสดงให้เห็นถึงความไม่จริงใจและไม่ไว้เนื้อเชื่อใจ

แม้ว่าสำหรับคู่รักบางคู่ การเห็นตรงกันและแชร์โลเกชั่นกันแบบเต็มใจจะทำให้การจัดการความสัมพันธ์ง่ายขึ้น แต่ผู้เชี่ยวชาญก็บอกว่าอย่าลืมว่านี่ไม่ใช่ฟีเจอร์ที่เป็นเรื่องจำเป็นชนิดคอขาดบาดตาย เพราะที่ผ่านมาทุกยุคทุกสมัยเราก็อยู่กันมาได้โดยไม่ต้องใช้ฟีเจอร์นี้ แน่นอนว่ามันอาจจะช่วยทำให้สื่อสารกันได้สะดวกขึ้น หรือวางแผนได้ง่ายขึ้นแต่ไม่ใช่เรื่องจำเป็นที่คู่รักทุกคนต้องทำ

ตัวฉันเองคิดว่าคู่รักคู่ไหนจะแชร์โลเกชั่นกันไหมก็ขึ้นอยู่กับการประเมินความสัมพันธ์ร่วมกัน ถ้าเห็นพ้องกันว่าเราอยู่ในความสัมพันธ์ที่เฮลธ์ตี้และพูดคุยกันได้ทุกเรื่องก็น่าจะได้ประโยชน์จากฟีเจอร์นี้

แต่ถ้ายังไม่ถึงจุดนั้น ฉันก็เชื่อว่าฟีเจอร์แชร์โลเกชั่นจะไม่ได้ช่วยทำให้อุ่นใจ ตรงกันข้าม ถ้าอีกฝ่ายไปอยู่ในสถานที่ที่เราคาดไม่ถึงและเรายังไม่ทันได้รู้บริบทก็จะเป็นตัวบ่อนทำลายความไว้ใจกันเปล่าๆ ควรจะให้เวลาบ่มเพาะความรักกันต่อไปอีกสักหน่อยก่อนจะเริ่มคุยกันเรื่องเปิดฟีเจอร์นี้อีกครั้ง

ย้ำอีกครั้งว่าทักษะที่สำคัญมากที่ต้องปลูกฝังไว้ให้กับตัวเราและลูกของเราก็คือความกล้าหาญที่จะบอกว่า “ไม่” ถ้าหากถูกเรียกร้องให้แชร์โลเกชั่นโดยไม่พร้อมและไม่จำเป็น

ถ้าไม่เริ่มตั้งแต่ต้นก็จะไม่มีปมปัญหาให้ต้องตามแก้ไข ซึ่งการแก้ไขนั้นอาจจะไม่ทันการก็ได้