มนุษย์มีสมองที่ก่อความทุกข์

นิ้วกลมfacebook.com/Roundfinger.BOOK

นัยความเป็นคน | นิ้วกลม

 

มนุษย์มีสมองที่ก่อความทุกข์

 

พื้นที่หนึ่งที่ก่อร่างความทุกข์ให้เกิดขึ้น ปล่อยให้ความทุกข์เติบโตและดำเนินไป รวมถึงเก็บสะสมความทุกข์ไว้ ก็คือสมองของเรา

ผู้เชี่ยวชาญทางสมองมีวิธีการแบ่งการทำงานของสมองหลากหลาย นักประสาทวิทยายุคใหม่เชื่อว่าสมองส่วนต่างๆ ทำงานเชื่อมโยงกับเป็นเครือข่าย ไม่ได้แบ่งงานกันทำแบบแผนกใครแผนกมัน

กระนั้น คำอธิบายที่แบ่งสมองออกเป็นสามชั้นตามฟังก์ชั่นของมันก็ยังสามารถทำให้เราเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นในสมองของเราได้อย่างเรียบง่าย

หนึ่งในผู้ที่ใช้อธิบายนี้ก็คือ ดร.ริค แฮนสัน นักประสาทวิทยาผู้ฝึกภาวนาและอ่านคำสอนของหลวงพ่อชา สุภัทโท ซึ่งเมื่อครั้งได้พบเจอกันในรายการพื้นที่ชีวิต ผมสัมผัสได้ถึงความสงบนิ่งและมีสติกับลมหายใจของเขา

ริคแบ่งการทำงานของสมองออกเป็นสามส่วน ได้แก่

 

สมองที่ทำงานเกี่ยวกับสัญชาตญาณการเอาตัวรอด

มีหน้าที่ควบคุมสัญชาตญาณดิบ เช่น การเอาตัวรอด การแย่งชิง การตอบสนองแบบสู้หรือหนี (fight / flight) ซึ่งมีความจำเป็นในโลกที่เต็มไปด้วยอันตราย เราต้องตอบสนองอย่างฉับพลันจึงรอด เสือมาก็เผ่นไว้ก่อน มัวแต่นั่งคิดคำนวณเสืออาจคาบไปแดกก่อนไตร่ตรองเสร็จ (ฮา)

ปัญหาคือทุกวันนี้สัญชาตญาณนี้ในตัวมนุษย์เราถูกใช้กับโลกที่ไม่ได้อันตรายขนาดนั้น ทว่า เรากลับวิตกหวาดกลัวกับคอมเมนต์ในโซเชียลมีเดียเท่ากับเสียงคำรามของเสือเขี้ยวดาบ ทำให้ ‘สัญชาตญาณแห่งความกลัว’ ของเราถูกกระตุ้นเร้าถี่เกินไป นำไปสู่ความรู้สึก ‘ไม่สบายใจ’ ในรายวินาทีซึ่งไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพใจ เกิดวิภวตัณหาที่อยากเลี่ยงหลบสิ่งไม่พึงปรารถนาอยู่ทั้งวันและทุกวัน

ชีวิตเราทุกวันนี้เหมือนตื่นขึ้นมาเพื่อเจอจู่โจมจากสารพัดสิ่งตามช่องทางต่างๆ ที่เข้าถึงเราได้โดยสะดวก ทั้งสื่อหลัก สื่อส่วนตัว แต่ละคนจึงอยู่ในโหมดสู้หรือหนีกันตลอด เพราะสมองชั้นล่างของเราทำงานโดยอัตโนมัติตลอดเวลา สภาวะเช่นนี้ทำให้เครียด กังวล และหวาดกลัวโดยไม่รู้ตัว

ทุกข์จากสมองชั้นล่างคือ เราไม่เท่าทันสัญชาตญาณที่สั่งให้เราสู้หรือหนีอยู่ตลอด (เหมือนมีชีวิตอยู่กับสัญญาณเตือนภัยที่ร้องดังตลอดวัน) ทั้งที่หลายเรื่องไม่จำเป็นต้องสู้ ไม่จำเป็นต้องหนี หรือสามารถหลีกเลี่ยงได้

นี่คือทุกข์จากสัญชาตญาณ

 

สมองที่ทำงานเกี่ยวกับอารมณ์และความทรงจำ

มีหน้าที่จัดการอารมณ์ ความสัมพันธ์ ความรัก ความเกลียด และการจดจำทางอารมณ์ มันเรียนรู้จากอดีตเพื่อเลี่ยงความเจ็บปวดในอนาคต

แต่ด้วยความที่ชอบสะสมอดีตและตีความอดีตนี่เองทำให้บางทีมันแปรเรื่องราวในอดีตเป็น ‘ความเชื่อฝังลึก’

เช่น “ฉันไม่มีคุณค่า” หรือ “โลกนี้อันตราย”

เช่น ถ้าเราเคยถูกใครทำร้ายจิตใจเรื่องความรัก เราอาจหวาดระแวงต่อความสัมพันธ์ไปตลอดชีวิต

การที่สมองจดจำเรื่องร้ายแบบนี้ทำให้ขอบเขตของชีวิตหดแคบลง เราไม่สามารถเปิดใจให้กับความสัมพันธ์ครั้งใหม่ได้อีก

เท่ากับเราใช้อดีตมาตีความปัจจุบันและอนาคต ทำให้เราตกเป็นทาสแห่งประสบการณ์ด้านลบ เหมือนน้องหมาสักตัวที่เคยถูกรถเฉี่ยวชนแล้วฝังใจกลัวรถทุกคันในโลก ทั้งที่เราสามารถตอบสนองได้ดีกว่านั้น

นี่คือทุกข์จากการจดจำอารมณ์

 

สมองที่ทำหน้าที่วิเคราะห์และวางแผน

มีหน้าที่คิดวิเคราะห์ วางแผน วาดอนาคตด้วยเหตุผล ซึ่งทำให้มนุษย์คิดซับซ้อนจนเป็นทุกข์ การคิดในลักษณะนี้ทำให้เรารู้จักเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น วางแผนเพื่อเอาชนะเขา สร้างเรื่องเล่าขึ้นมาบอกตัวเองว่า “ฉันต้องทำให้สำเร็จ” “ฉันยังตามเพื่อนอยู่อีกเยอะ” “ฉันยังไม่ดีพอ” ซึ่งไม่มีแมวตัวไหนคิดเปรียบเทียบเช่นนี้ ไม่มีแมวอ้วนตัวไหนทุกข์ใจที่เห็นเส้นรอบพุงของมันขยายใหญ่กว่าเพื่อนร่างเพรียวลม ไม่มีแมวตัวไหนวางแผนเพื่อติดอันดับแมวที่มีปลาทูมากที่สุดในโลก

ทุกข์จากการทำงานของสมองที่ชอบวางแผนเป็นไปได้ตั้งแต่ความกังวลว่าทุกอย่างจะไม่เป๊ะตามที่วางไว้ กลัวอนาคตที่ยังไม่เกิดขึ้น คือทุกข์ล่วงหน้าก่อนเหตุการณ์เกิด ความคาดหวังเกินจริง แต่ความจริงไม่ดีขนาดนั้น ทุกข์จากการพยายามควบคุมให้ทุกสิ่งเป็นตามแผน ทุกข์จากการเคี่ยวเข็ญตัวเองให้เป็นอย่างที่ตั้งเป้าไว้

เมื่อสมองทำงานโดยมองไปข้างหน้าและวางแผนซับซ้อน ทำให้เราเอาอนาคตมากังวล มาตัดสินและโบยตีตัวเอง กดดันตัวเอง หลายเรื่องยังไม่เกิดขึ้น แต่เราก็ทุกข์ล่วงหน้าไปแล้ว เพียงคิดก็ทุกข์ได้

นี่คือทุกข์จากการวางแผน

 

เมื่อเห็นภาพการทำงานของสมองทั้งสามแบบนี้ ผมรู้สึกว่าเรากำลงเผชิญความทุกข์ในทุกมิติเวลา

ปัจจุบัน-เราทุกข์จากการตอบสนองตามสัญชาตญาณโดยไม่เท่าทัน

อดีต-ที่ตามมาหลอกหลอนทางอารมณ์ ทั้งที่มันจบไปแล้ว

อนาคต-สามารถสร้างความกังวล เครียด กดดัน ทั้งที่ยังไม่เกิด

นี่สินะมนุษย์-สิ่งมีชีวิตผู้หายใจเข้า-ออกเป็นความทุกข์

จะเห็นว่าโดยธรรมชาติแล้ว เป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะไม่ทุกข์ ที่สมองเป็นเช่นนี้ก็เพราะมันเป็นประโยชน์ต่อการรอดชีวิต สมองส่วนสัญชาตญาณทำให้เราตอบโต้อย่างว่องไวต่อภัยอันตราย

สมองส่วนจดจำอารมณ์ทำให้เราจดจำอันตรายเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เสี่ยงภัยอีก สมองส่วนวางแผนช่วยคาดการณ์สิ่งที่ยังไม่เกิดเพื่อเอาตัวรอดได้ดีขึ้นในอนาคต

เพียงแค่สิ่งเหล่านี้ถูกเคี่ยวกรำอย่างเข้มข้นขึ้นในโลกที่แตกต่างจากสมัยบรรพบุรุษของเรามาก

เสียงภัยอันตรายอาจกลายมาเป็นเสียงเตือนในช่องแชต ซึ่งดังถี่รัวหลายนาที, มีเรื่องราวที่ก่อเกิดอารมณ์เยอะเหลือเกิน ทำให้เราจดจำอารมณ์เสียจนอลหม่านไปหมด, รวมถึงการวางแผนที่ถูกให้ความสำคัญในโลกสมัยใหม่ ทั้งเรื่องงาน เงิน สุขภาพ ความสัมพันธ์ บวกรวมกับการเปรียบเทียบที่เราได้เห็นชีวิตผู้คนมากขึ้น ง่ายขึ้น บ่อยขึ้น ย่อมทำให้การตัดสินตัวเองเกิดขึ้นมากกว่าสมัยโบร่ำโบราณเยอะ

ทุกข์จึงเพิ่มพูนขึ้นมากจากธรรมชาติสมองแบบเดิม

เราสามารถนึกภาพความทุกข์ในชีวิตประจำวันได้มากมายหลายกรณี เช่น มีคนขับรถปาดหน้า สมองส่วนสัญชาตญาณ ก็ทำงานทันที รู้สึกเหมือนถูกคุกคาม ทั้งที่ถ้าปล่อยผ่าน แป๊บเดียวก็จบ มันสร้างความรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาฉับพลัน วันดีๆ ของฉันพังแล้ว ความหงุดหงิดเข้าครอบงำ

จากนั้น สมองส่วนอารมณ์ ก็สานต่อเป็นความโกรธ คราวนี้อารมณ์ลบจะดำเนินต่อเนื่องไปอีกชั่วขณะ

ทันใดนั้น สมองส่วนวิเคราะห์วางแผน ก็แต่งเรื่องขึ้นมาเลยว่า ทำไมเราเป็นคนที่โดนเอาเปรียบตลอด ในที่ทำงานก็มีเพื่อนที่ทำงานแย่แต่ได้ดีกว่าเรา ในครอบครัวพ่อก็รักน้องมากกว่า ชีวิตนี้มันห่วยแตกจริงๆ แล้วดูสิ ประเทศชาติบ้านเมืองก็ไร้ระเบียบ คนไร้มารยาทบนท้องถนนปาดไปปาดมาแบบนี้คงมีวันเจริญหรอก ทำไมต้องเกิดมาในประเทศแบบนี้ด้วย (วะ) – เป็นต้น

นี่แหละครับ ความทุกข์มันก่อตัวแบบนี้

 

มีข้อเสนอว่าเราอาจต้องฝึก ‘สมองชั้นที่สี่’ ขึ้นมา อันประกอบไปด้วยสติ+ปัญญา

โดย สติ จะทำงานกับกลไกส่วนสัญชาตญาณเพื่อเท่าทันการตอบสนองอย่างรวดเร็วเกินจำเป็น ทำให้กลัวกังวลล้นเกิน สติทำให้แยกแยะได้ว่าเรื่องใดควรกังวลและเรื่องใดปล่อยวางได้ (เช่น โดนขับรถปาดหน้า)

ส่วน ปัญญา คือการเห็นตามจริง จะช่วยทำให้สมองส่วนอารมณ์ไม่นำอารมณ์ที่เกิดจากการตีความเอาเองไปก่อทุกข์ในใจ (ฉันกำลังปั่นดราม่าอยู่นะ หยุดเถิดโยม) แยกแยะได้ว่าอันไหนคือ ‘ความจริง’ ที่เกิดขึ้น อันไหนคือ ‘อารมณ์’ ที่เราใส่เข้าไปผสมรวม (ความจริงคือมีรถปาดหน้า อารมณ์คือกูโกรธ มึงทำไมเลวแบบนี้)

โดยมีอีกหนึ่งสิ่งที่จะช่วยจัดการกับสมองส่วนวิเคราะห์และวางแผน นั่นคือเมตตา ที่จะช่วยเยียวยาความรู้สึกขาดแคลน ความรู้สึกไม่ดีพอ การโบยตีตัวเอง ให้เจือจางลง (นี่เรากำลังแต่งเรื่องในแง่ลบ ขยี้ให้เรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่ เปรอะไปถึงบาดแผลในใจอีกหลายเรื่อง ใจดีกับตัวเองเถิด ผ่อนคลายดราม่าจากเรื่องแต่งเหล่านี้ลงเสีย) ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่ต้องฝึกและใช้เวลา

ผมเองก็กำลังพยายามฝึกและทำความเข้าใจกระบวนการความทุกข์เหล่านี้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

 

คุณผู้อ่านล่ะครับ อ่านเรื่องการทำงานของสมองสามแบบไปแล้วส่องสะท้อนตัวเองกันอย่างไรบ้าง

คิดว่าตัวเองโดนสมองส่วนไหน ‘เล่นงาน’ บ่อยที่สุด

ทุกข์จากการตอบโต้ด้วยสัญชาตญาณ

หรือทุกข์จากร่องอารมณ์เดิม ขี้โมโห ขี้กังวล เศร้าซึม

หรือทุกข์จากการแต่งเรื่องแล้วรู้สึกไม่พอใจกับตัวเอง รู้สึกว่าตัวเองไม่ดีพอ เกรงกลัวความล้มเหลว ชอบเปรียบเทียบกับคนอื่น ไปจนถึงฟูมฟายต่อโลกและชีวิต โดนผลกระทบจากการทำงานแบบไหนบ่อยสุด?

ไม่ว่าคำตอบคืออะไร ไม่ว่าทุกข์แบบใด ผมเชื่อว่าพอได้ฟังเรื่องราวที่เล่ามา เราน่าจะรู้สึกคล้ายกันคือ ให้อภัยตัวเองได้ เพราะธรรมชาติของเราเป็นแบบนั้น

เรามีสมองที่ก่อความทุกข์ แต่ในอีกด้าน เรามีก็สมองที่มีศักยภาพที่จะเท่าทันการก่อทุกข์ด้วย