ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 18 - 24 เมษายน 2568 |
---|---|
คอลัมน์ | เมนูข้อมูล |
เผยแพร่ |
เมนูข้อมูล | นายดาต้า
‘ผิดคิว’ ชิงสุกก่อนห่าม
หลังคำอภิปรายในสภา ว่า “ผมขอประกาศในสภาทรงเกียรติแห่งนี้ ว่าผมนายไชยชนก ชิดชอบ ลูกชายคนโตของนายเนวิน และนางกรุณา ชิดชอบ เลขาธิการพรรคภูมิใจไทย จะไม่มีวันเห็นด้วยกับกาสิโน และไม่ใช่แค่ พ.ร.บ.ฉบับนี้ แต่ทุก พ.ร.บ.หลังจากนี้ แม้กระทั่ง พ.ร.บ.ของพรรคภูมิใจไทยที่เราคิดขึ้นมาและนำเสนอ เพื่อประโยชน์ของประเทศไทยบ้านเกิดเมืองนอน ผมก็จะไม่พิจารณา”
การเมืองที่คุกรุ่นเพราะความเคลื่อนไหวของมวลชนที่เป็น “ฐานเสียงของพรรคร่วมรัฐบาล” ทยอยกันออกมาต่อต้าน “กาสิโน” ใน “พ.ร.บ.สถานบันเทิงครบวงจร” มากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยท่าทีแข็งกร้าว โดยมี “พรรคเพื่อไทย” และ “ทักษิณ ชินวัตร” เป็นเป้าหมายในการกรูเข้าถล่ม ก็เหมือนได้ข้อสรุป
“รัฐบาลไปไม่ไหวแล้ว” คือเสียงที่มาจากการวิเคราะห์ของทุกกูรู และนักวิเคราะห์การเมือง ทุกคนต่างชี้ไปในจุดเดียวกัน ทำนองนั่นคือ “ประกาศิตของเนวิน ชิดชอบ ที่ควบคุมการแสดงของพรรคภูมิใจไทยได้เด็ดขาด”
เป็นการแสดงออกที่บังคับให้ “ทักษิณ ชินวัตร” ต้องตัดสินใจว่าจะรักษาบทบาทการเป็น “พรรคแกนนำรัฐบาล” ของ “เพื่อไทย” หรือยอมให้ “ภูมิใจไทย” กดข่ม ให้ทำได้เฉพาะเรื่องที่เคลียร์แล้วอนุญาตให้ทำได้เท่านั้น
ไม่เพียงแค่การวิเคราะห์ แต่ลามไปถึงความพยายามที่จะสร้างกระแสของมวลชนบางกลุ่มที่รุกเลยไปถึงการเปลี่ยนตัว “นายกรัฐมนตรี” แบบชัดเจนว่ามีชื่อของ “อนุทิน ชาญวีรกูล” แคนดิเดตนายกฯ จาก “พรรคภูมิใจไทย” ขึ้นมาเป็นแทน “แพทองธาร ชินวัตร” ของ “เพื่อไทย”
วิเคราะห์กันด้วยความเชื่อหนักแน่นถึงขั้นที่ว่า “ขบวนการอนุรักษ์อำนาจนิยม” ที่ควบคุมการสืบทอดการครอบครองการบริหารประเทศ สิ้นหวังกับการใช้งาน “ทักษิณ ชินวัตร” จนส่งสัญญาณให้เครือข่ายออกมาแสดงให้เห็นความต้องการเปลี่ยนแปลงเป็นระยะๆ ในช่วงหลัง
เป็นความจริงตามข่าวที่พยายามปล่อยออกมา หรือเป็นแค่เอฟเฟ็กต์จากความเกลียดชังต่อ “ทักษิณ” ที่ถูกปลูกสร้างไว้ในใจคนบางกลุ่มอย่างซึมลึก ไม่มีทางจางคลายหมดสิ้น ยากที่จะสรุปได้
แต่นั่นก็เรื่องหนึ่ง เรื่องที่ดูจะเป็นสาระควรหยิบมาพินิจคือ “สถานะของอนุทิน และพรรคภูมิใจไทย” ในฉันทานุมัติของกลไกอันควรจะเป็นของระบอบประชาธิปไตย เหมาะสมกับการพลิกมาเป็น “ผู้นำและพรรคแกนนำรัฐบาล” หรือ หลักการประชาธิปไตยที่ให้การตัดสินใจอยู่ที่การโหวตให้ของประชาชนส่วนใหญ่
ความนิยมที่สะท้อนจากคะแนนปาร์ตี้ลิสต์หรือ “เลือกพรรค” จากการเลือกตั้งครั้งล่าสุด 14 พฤษภาคม 2566 จากผู้มาใช้สิทธิ 39,514,964 คน เลือกก้าวไกล 14,438,851 เสียง, เพื่อไทย 10,962,522 เสียง, รวมไทยสร้างชาติ 4,766,408 เสียง ขณะภูมิใจไทยอยู่ในอันดับ 4 ได้มา 1,138,202 เสียง
เมื่อยังมีคนเลือกก็ยังต้องถือว่ากฎหมายให้สิทธิ แต่เสียง 1 ล้านกว่านิดๆ ของพรรคภูมิใจไทยเหมาะสมหรือไม่ เป็นคำถามต่อความสง่างามที่ล้อเล่นไม่ได้เช่นกัน
มีอีกบางสถิติที่น่าสนใจ
ตั้งแต่เริ่มปี 2567 เป็นต้นมา “นิด้าโพล” ได้ทำ “การสำรวจคะแนนนิยมทางการเมืองรายไตรมาส” โดยชี้ให้เห็นความนิยมทั้งของหัวหน้าพรรค และพรรคต่างๆ ทุก 3 เดือน
โฟกัสเฉพาะเปอร์เซ็นต์ประชาชนที่ให้ความนิยมต่อ “อนุทิน ชาญวีรกูล” และ “พรรคภูมิใจไทย”
ปี 2567 ความนิยมของ “อนุทิน” ไตรมาส 1 ร้อยละ 1.45, ไตรมาส 2 ร้อยละ 2.05, ไตรมาส 3 ร้อยละ 4.00, ไตรมาส 4 ร้อยละ 6.45
ปี 2568 ร้อยละ 2.85
ส่วนคะแนนนิยมพรรคภูมิใจไทย
ปี 2567 ไตรมาส 1 ร้อยละ 1.70, ไตรมาส 2 ร้อยละ 2.20, ไตรมาส 3 ร้อยละ 3.55, ไตรมาส 4 ร้อยละ 5.15
ปี 2568 ไตรมาส 1 ร้อยละ 3.35
ว่าไปเมื่อเทียบปีนี้กับปีที่แล้ว แนวโน้มคะแนนนิยมเสื่อมทรุดไปเสียด้วยซ้ำ
จากที่ประชาชนให้ราคากับ “พรรค และหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย” ดังกล่าว เมื่อ “กูรู-นักวิเคราะห์-และนักปลุกกระแสมวลชน” ส่งเสียงกระหึ่มเชิดชูขึ้นมา “นำประเทศ”
คำถามที่ต้องหาคำคอบอย่างพิเคราะห์ถึงความชอบธรรมในการคิดถึงการตัดสินของประชาชนซึ่งเป็นหัวใจของระบอบประชาธิปไตยคือ “จะให้เสียงที่ดังกว่าของคนเหล่านั้น” มากำหนดความเป็นไปของประเทศแทนเสียงที่แท้จริงของประชาชน ในระดับที่ไม่คิดจะมองหน้ามองหลังกันจริงหรือ
ยังไม่พอกันอีกหรือที่รวบรัดตีความบางเรื่องบางราวกันตามอำเภอใจ โดยละเลยที่จะตั้งหลักอยู่ที่ความคิดของคนส่วนใหญ่ ซึ่งเสียงอาจจะไม่ดังเท่า แต่หนักแน่นกว่าในการตัดสินใจที่สะท้อนผ่านผลการเลือกตั้ง
เลิกที่จะฟังอย่างจับความในความหมายที่ต้องการสื่อสารกันจริง หรือ
แม้กระทั่งที่ “ลูกชายคนโตนายเนวิน นางกรุณา ชิดชอบ” ประกาศในสภาว่า “จะไม่มีวันเห็นด้วยกับกาสิโน” หากฟังโดยใจเย็นที่จะจับความหมาย ในคำเหล่านั้นมีต่อท้ายว่า “และไม่ใช่แค่ พ.ร.บ.ฉบับนี้ แต่ทุก พ.ร.บ.หลังจากนี้ แม้กระทั่ง พ.ร.บ.ของพรรคภูมิใจไทยที่เราคิดขึ้นมาและนำเสนอ เพื่อประโยชน์ของประเทศไทยบ้านเกิดเมืองนอน ผมก็จะไม่พิจารณา”
หากฟังให้ดี และตีค่าว่าเป็นการอภิปรายว่าเป็นของผู้ไม่เชี่ยวชาญการสื่อสาร ด้วยบริบทของการอภิปรายในครั้งนั้น หากฟังอย่างละเอียดย่อมสัมผัสได้ถึงการพูดแบบไปเรื่อย จับต้นชนปลายอะไรแทบไม่ได้ อย่าว่าแต่อยู่ในประเด็นของญัตติ แต่พาหลุดไปไกลถึงนอกโลก
คำว่า “จะไม่มีวันเห็นด้วยกับกาสิโน” อาจจะตีความได้แค่ “ไม่เห็นด้วยกับการยกญัตติ พ.ร.บ.นี้ขึ้นมาพิจารณาก่อน” เพราะเห็นว่า “ประเทศมีเรื่องเดือดร้อนเฉพาะหน้าที่สำคัญและเร่งด่วนที่จะต้องพูดกันมากกว่า”
ก็น่าจะเป็นการตีความคำอภิปรายของ “เลขาธิการพรรคที่ยังละอ่อนในการอภิปรายในสภา” ที่ถือว่าเป็นไปได้ ไม่ใช่หรือ
ไม่สงสัยหรือว่าท่ามกลางการตีความที่โกลาหลนั้น ทำไม “อนุทิน ชาญวีรกูล” ซึ่งทุกคนรับรู้ถึง “ความพลิ้วทางการเมือง” ซึ่งแทรกเข้ามาด้วยพยายามบอกว่า “ผิดคิว”
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022