ทำไม ‘ภาษีทรัมป์’ คงอยู่ได้ไม่นานนัก

บทความต่างประเทศ

 

ทำไม ‘ภาษีทรัมป์’

คงอยู่ได้ไม่นานนัก

 

นักวิชาการและบรรดาผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์จำนวนไม่น้อย พากันคาดหมายว่า กำแพงภาษีที่ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศเมื่อ 2 เมษายนที่ผ่านมา และเดิมกำหนดจะมีผลบังคับใช้กันในวันที่ 9 เมษายนนี้ และต่อมาประกาศเลื่อนการบังคับใช้ไปอีก 90 วันนั้น อาจคงอยู่ได้ไม่นานนัก ด้วยเหตุผลที่ว่า มาตรการทางภาษีที่ทรัมป์ประกาศใช้ ก่อให้เกิดผลในทางลบต่อคนอเมริกันและเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา มากเกินกว่าที่ประธานาธิบดีทรัมป์ และพวกประเมินเอาไว้มากมายนัก

ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่ชี้ว่า มาตรการทางภาษีที่ทรัมป์ประกาศใช้ จะส่งผลให้ราคาสินค้าในสหรัฐอเมริกาพุ่งสูงขึ้น พร้อมๆ กับที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศก็ชะลอตัวลง

บรรดาผู้บริโภคอเมริกันพากันคาดการณ์ถึงสถานการณ์ย่ำแย่ที่รอคอยอยู่เบื้องหน้า และจะยิ่งรู้สึกแย่มากยิ่งขึ้นเมื่อผลกระทบจากการปรับขึ้นภาษีนำเข้าครั้งมโหฬารนี้มาถึงตัวเข้าจริงๆ โดยเฉพาะเมื่อราคาสินค้าอุปโภคและบริโภค อาทิ อาหารและเสื้อผ้า ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 30 เปอร์เซ็นต์ของรายจ่ายครัวเรือนอเมริกันสูงขึ้นโดยฉับพลัน ซึ่งจะส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อในสหรัฐอเมริกากลับมาพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วและสูงกว่าที่ทุกฝ่ายเคยคาดการณ์กันไว้ก่อนหน้านี้

สถานการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในขณะที่ผลกระทบจากการดำเนินการด้านอื่นๆ ผสมโรงเข้ามา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปลดเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานรัฐพ้นตำแหน่ง ซึ่งในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องว่างงานฉับพลันไปแล้วมากกว่า 280,000 คน

ในเวลาเดียวกับที่มาตรการทางภาษีของทรัมป์กับความไม่แน่นอนที่รัฐบาลอเมริกันสร้างขึ้น ทำให้บรรดาบริษัทเอกชนไม่เพียงระงับหรือเลื่อนแผนการลงทุน ยังระงับการจ้างงานเพิ่มขึ้นตามมาอีกด้วย

 

มาตรการตอบโต้ของประเทศคู่ค้าของสหรัฐอเมริกา ที่โต้ตอบการขึ้นภาษีนำเข้าของทรัมป์แบบเจาะจงเป้าหมาย จะยิ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อคนอเมริกันมากยิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น สหภาพยุโรป (อียู) ที่ประกาศตอบโต้การขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมจากอียูของทรัมป์ ด้วยการขึ้นภาษีนำเข้าถั่วเหลืองจาก ลุยเซียนา และเนื้อวัวจากแคนซัส และแอละแบมา ซึ่งล้วนเป็นรัฐฐานเสียงของรีพับลิกันด้วยกันทั้งสิ้น ส่งผลโดยตรงต่อคะแนนนิยมในตัวประธานาธิบดี และพรรครีพับลิกันโดยตรง

ไฟแนนเชียล ไทม์ส รายงานผลการสำรวจล่าสุดระบุว่า ความนิยมในตัวทรัมป์ในกลุ่มผู้มีสิทธิออกเสียงที่ไม่ใช่สาวกโดยตรงของทรัมป์ลดลงอย่างฮวบฮาบ โดยเฉพาะในทางด้านนโยบายเศรษฐกิจ พร้อมกันนั้นก็ส่งผลให้เกิดความแตกแยกในหมู่นักการเมืองระดับสูงของพรรครีพับลิกัน ที่เริ่มเป็นกังวลกับการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภากลางวาระ ซึ่งจะมีขึ้นในตอนปลายปีหน้านี้กันแล้วอีกด้วย

แรงสนับสนุนและความนิยมต่อตัวทรัมป์ในแวดวงธุรกิจก็ทรุดลงอย่างฮวบฮาบเช่นเดียวกัน หลังจากเกิดเหตุการณ์ตลาดหุ้นทรุดตัวลงถล่มทลาย 2-3 วันติดต่อกัน มูลค่าตลาดหายไปรวมแล้วไม่น้อยกว่า 6 ล้านล้านดอลลาร์ นักสังเกตการณ์ส่วนหนึ่งเชื่อว่า แรงกดดันจากทั้งครัวเรือนอเมริกัน, กลุ่มธุรกิจ, ตลาดเงิน ตลาดทุน และบรรดาสมาชิกพรรครีพับลิกันต่อตัวทรัมป์ จะเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในช่วงที่มีการบังคับใช้กำแพงภาษีอย่างเต็มที่แล้ว จนอาจทำให้มีการตัดสินใจ ชะลอ, ยกเว้น หรือปรับลดภาษีของทรัมป์ออกมาก็เป็นได้

นักวิเคราะห์บางคนไม่เชื่อว่า การปรับลดภาษีเงินได้ของรัฐบาลจะช่วยบรรเทาผลกระทบเหล่านี้ลงได้ ด้วยเหตุที่ว่า ตามแผนของทรัมป์ เป็นเพียงแค่การขยายเวลาการปรับลดภาษีเดิมที่มีอยู่ก่อนแล้ว ซึ่งทำให้ครัวเรือนไม่ถือว่าเป็นการให้ผลประโยชน์ ทั้งยังไม่สามารถชดเชยรายได้ของครัวเรือนที่ลดลงจากกำแพงภาษีอีกด้วย

นักวิเคราะห์ชี้ว่า มาตรการกำแพงภาษีในครั้งที่ ครอบคลุมกว้างขวาง และเป็นการเรียกเก็บในระดับสูงเกินคาด ทำให้เป็นไปได้ที่ว่า จะเกิดการขาดแคลนสินค้าบางกลุ่มบางหมวด ที่ซัพพลายเออร์ที่นำเข้าไม่สามารถหาแหล่งนำเข้าทดแทนได้ สถานการณ์เช่นนี้อาจส่งผลให้มีการลดกำแพงภาษีแบบจำกัดขึ้นตามมาเพื่อดึงให้ราคาสินค้าดังกล่าวถูกลงและแก้ปัญหาขาดแคลน ซึ่งแทบเท่ากับเป็นการเปิดให้มีการนำเข้าอีกครั้งนั่นเอง

 

ผู้รู้ทุกคนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ความคาดหวังของทรัมป์ที่ว่า บรรดาบริษัทต่างชาติจะแห่แหนกันเข้ามาตั้งฐานการผลิตในสหรัฐอเมริกา เพื่อเลี่ยงการเผชิญหน้ากับกำแพงภาษีนั้น ไม่น่าจะเกิดขึ้นในความเป็นจริง ด้วยเหตุผลของปัจจัยด้านเวลาและต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการโยกย้ายเข้ามาตั้งฐานการผลิตดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเมื่อบริษัทต่างชาติเหล่านั้นไม่รู้ว่ากำแพงภาษีของทรัมป์จะอยู่ได้นานเท่าใด และการผลิตของตนจะมีวัตถุดิบและสินค้าในห่วงโซ่อุปทานอื่นๆ ที่จำเป็นต้องใช้แน่นอนหรือไม่ ส่วนใหญ่แล้วเชื่อว่า บริษัทผู้ผลิตเหล่านี้จะวางเฉย รอคอยเวลาให้ผ่าน 4 ปี ที่เป็นวาระการดำรงตำแหน่งของทรัมป์สิ้นสุดลง

นักวิชาการบางคนเชื่อว่า ทรัมป์และพรรครีพับลิกัน จะต้อง “ชดใช้ทางการเมือง” อย่างใหญ่หลวง ในกรณีที่สร้างความโกลาหลขึ้นในระดับโลกขึ้นแล้วไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาเลยในที่สุด และเขื่อด้วยว่า หลังการเลือกตั้งครั้งต่อไป ไม่ว่าใครก็ตามที่ขึ้นมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนใหม่ คงยากที่จะหาเหตุผลมาสนับสนุนและสร้างความชอบธรรมให้กับการคงกำแพงภาษีในระดับที่ทรัมป์ประกาศนี้ต่อไปได้

หมายความว่า ทั้งหมดต้องยกเลิกไปพร้อมๆ กับการพ้นจากตำแหน่งของทรัมป์นั่นเอง

คำถามสำคัญก็คือ เมื่อถึงตอนนั้น สภาวะเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ของโลกโดยรวมจะตกอยู่ในสภาพอย่างไรกันแน่ จากผลการกระทำของนักการเมืองอย่าง โดนัลด์ เจ. ทรัมป์ ครั้งนี้