กรรมกรขุนนาง หรือ Fat Cat : กลุ่มที่ทำให้ขบวนการแรงงานล้าหลังและไม่ไปไหน

ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี

ฝนไม่ถึงดิน | ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี

 

กรรมกรขุนนาง หรือ Fat Cat

: กลุ่มที่ทำให้ขบวนการแรงงานล้าหลังและไม่ไปไหน

 

ในประวัติศาสตร์ขบวนการแรงงานทั่วโลก มักจะมีปรากฏการณ์ที่น่าสนใจเกิดขึ้น นั่นคือการเกิดขึ้นของชนชั้นพิเศษในหมู่คนงาน ที่เรียกว่า “กรรมกรขุนนาง” (Labor Aristocracy) หรือ “Fat Cat”

อันหมายถึงผู้นำสหภาพแรงงานหรือตัวแทนแรงงานที่มีอภิสิทธิ์ มีอำนาจ และมีผลประโยชน์ทับซ้อนกับนายทุน จนทำให้ขบวนการแรงงานไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ

บทความนี้จะอธิบายถึงคุณลักษณะของ “กรรมกรขุนนาง” และยกตัวอย่างกรณีศึกษาจากต่างประเทศ

 

คุณลักษณะของกรรมกรขุนนางหรือ Fat Cat

กรรมกรขุนนางมักจะแยกตัวออกจากฐานสมาชิกของตน พวกเขามีวิถีชีวิต รายได้ และผลประโยชน์ที่แตกต่างจากคนงานทั่วไป ทำให้ไม่เข้าใจปัญหาที่แท้จริงของสมาชิก การตัดสินใจต่างๆ จึงไม่สะท้อนความต้องการของคนส่วนใหญ่ในสหภาพ

นอกจากนี้ พวกเขามักมีผลประโยชน์ทับซ้อนกับฝ่ายนายจ้างหรือรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นการได้รับตำแหน่งในคณะกรรมการบริษัท การได้รับสิทธิพิเศษต่างๆ

หรือแม้กระทั่งการได้รับเงินใต้โต๊ะ ทำให้การต่อรองเพื่อผลประโยชน์ของสมาชิกถูกบิดเบือนไป

ผู้นำสหภาพแรงงานเหล่านี้มักจะอยู่ในตำแหน่งเป็นเวลานาน มีการสร้างระบบอุปถัมภ์ภายในองค์กร และไม่เปิดโอกาสให้มีการเปลี่ยนแปลงผู้นำหรือแนวทางการทำงาน พวกเขากลัวการสูญเสียอำนาจและสถานะพิเศษที่ได้รับ

อีกทั้งยังมักจะเลือกวิธีการประนีประนอมกับนายจ้าง แทนที่จะต่อสู้เพื่อผลประโยชน์สูงสุดของสมาชิก

พวกเขาหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าหรือการนัดหยุดงาน และยอมรับข้อเสนอที่ไม่ได้ประโยชน์สูงสุดต่อสมาชิกส่วนใหญ่

ที่น่าสังเกตคือ เมื่อมีความเคลื่อนไหวแบบรากหญ้าเกิดขึ้นในหมู่สมาชิก กรรมกรขุนนางมักจะพยายามควบคุมหรือสกัดกั้น เพราะกลัวว่าจะทำให้พวกเขาสูญเสียอำนาจหรือกระทบต่อความสัมพันธ์กับนายจ้าง

การกระทำเช่นนี้ยิ่งทำให้เกิดช่องว่างระหว่างผู้นำกับสมาชิกสหภาพแรงงานมากขึ้น

 

กรณีศึกษาจากต่างประเทศ

ในประวัติศาสตร์สหภาพแรงงานอเมริกัน มีตัวอย่างชัดเจนของกรรมกรขุนนาง โดยเฉพาะในยุคของ American Federation of Labor (AFL) ภายใต้การนำของ Samuel Gompers และ George Meany ที่มุ่งเน้นนโยบายประนีประนอมกับนายจ้าง และปฏิเสธแนวคิดสังคมนิยมในขบวนการแรงงาน

Jimmy Hoffa อดีตประธานสหภาพ Teamsters เป็นตัวอย่างที่โด่งดังของ “Fat Cat” ในขบวนการแรงงานอเมริกัน เขามีความเชื่อมโยงกับองค์กรอาชญากรรม มีรายได้และวิถีชีวิตหรูหรา และใช้อำนาจในการควบคุมสหภาพเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว

แม้ว่าเขาจะประสบความสำเร็จในการยกระดับค่าแรงให้กับสมาชิก แต่วิธีการของเขาก็ทำให้สหภาพ Teamsters มีภาพลักษณ์ด่างพร้อยเป็นเวลานาน

นอกจากนี้ ในช่วงทศวรรษ 1950-1960 สหภาพแรงงานใหญ่ๆ ในสหรัฐมักจะร่วมมือกับนายจ้างและรัฐบาลในการกำจัดสมาชิกที่มีแนวคิดซ้าย ซึ่งเป็นการทำลายพลังต่อรองของขบวนการแรงงานในระยะยาว

ในสหราชอาณาจักร มีการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจในขบวนการแรงงาน หลังจากยุครุ่งเรืองของการนัดหยุดงานครั้งใหญ่ในช่วงทศวรรษ 1970 และการต่อสู้กับรัฐบาลมาร์กาเร็ต แทตเชอร์ ผู้นำสหภาพแรงงานหลายคนได้กลายเป็นกรรมกรขุนนาง ได้รับตำแหน่งในคณะกรรมการองค์กรต่างๆ ทำให้พวกเขามีชีวิตความเป็นอยู่ที่ห่างไกลจากสมาชิกทั่วไป

ในยุค “นิวเลเบอร์” ของโทนี แบลร์ ความสัมพันธ์ระหว่างพรรคแรงงานและสหภาพแรงงานเปลี่ยนไป ผู้นำสหภาพหลายคนยอมรับนโยบายเศรษฐกิจเสรีนิยมใหม่ และลดบทบาทการเป็นตัวแทนเพื่อต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ของสมาชิก แลกกับการรักษาความสัมพันธ์อันดีกับรัฐบาลและการได้รับตำแหน่งในคณะกรรมการที่ปรึกษาต่างๆ

ในออสเตรเลีย มีกรณีที่น่าสนใจของข้อตกลงที่เรียกว่า “The Accord” ระหว่างสภาสหภาพแรงงานออสเตรเลีย (ACTU) และรัฐบาลพรรคแรงงานในช่วงปี 1983-1996 ซึ่งเป็นข้อตกลงที่สหภาพแรงงานยอมรับการจำกัดการเรียกร้องค่าแรง เพื่อแลกกับสวัสดิการสังคมและนโยบายเศรษฐกิจบางอย่าง

แม้ว่า The Accord จะมีเป้าหมายที่ดีในการสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ แต่ในทางปฏิบัติ ผู้นำสหภาพแรงงานกลายเป็นกรรมกรขุนนางที่มีอภิสิทธิ์ มีตำแหน่งในคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจและองค์กรต่างๆ

ขณะที่สมาชิกสหภาพได้รับผลกระทบจากการลดลงของค่าแรงที่แท้จริง (real wages) และการลดลงของอัตราการเป็นสมาชิกสหภาพแรงงานอย่างต่อเนื่อง

ผู้นำ ACTU ในยุคนั้น เช่น Bill Kelty ถูกวิจารณ์ว่ากลายเป็นส่วนหนึ่งของชนชั้นนำทางการเมือง มากกว่าจะเป็นตัวแทนที่แท้จริงของคนงาน

ในญี่ปุ่น มีรูปแบบพิเศษของสหภาพแรงงานที่เรียกว่า “สหภาพแรงงานบริษัท” ซึ่งเป็นสหภาพที่จัดตั้งขึ้นภายในบริษัทเดียว ไม่ได้รวมตัวกันตามประเภทอุตสาหกรรม ระบบนี้ทำให้ผู้นำสหภาพแรงงานมักจะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับฝ่ายบริหาร และหลายครั้งที่ผู้นำสหภาพได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้เป็นผู้บริหารบริษัทในภายหลัง

ปรากฏการณ์นี้ทำให้เกิด “กรรมกรขุนนาง” ที่มีวิถีชีวิตและผลประโยชน์สอดคล้องกับฝ่ายบริหาร มากกว่าที่จะเป็นตัวแทนต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ของพนักงานทั่วไป

ส่งผลให้สหภาพแรงงานญี่ปุ่นมักจะเลือกวิธีการประนีประนอมมากกว่าการเผชิญหน้า และมีบทบาทจำกัดในการปกป้องสิทธิของคนงานในภาพรวม

 

สําหรับประเทศไทย ปรากฏการณ์กรรมกรขุนนางมีลักษณะเฉพาะที่น่าสนใจ

โดยเฉพาะในช่วงหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 เมื่อขบวนการแรงงานเริ่มมีการขยายตัวอย่างมาก

แต่กลับพบว่ามีการแทรกแซงจากกลุ่มผลประโยชน์ทางการเมืองและธุรกิจ

ผู้นำสหภาพแรงงานหลายคนได้รับตำแหน่งในคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจ

โดยเฉพาะในช่วง 2543 ถึงปัจจุบัน ที่รัฐบาลหลายชุดได้ดึงผู้นำแรงงานเข้าร่วมในคณะกรรมการไตรภาคี และหน่วยงานด้านแรงงานต่างๆ

เกิดเป็น “กรรมกรขุนนาง” ที่มีเครือข่ายอุปถัมภ์กับนักการเมืองและข้าราชการระดับสูง

สหภาพแรงงานใหญ่ในรัฐวิสาหกิจหลายแห่งมีผู้นำที่ดำรงตำแหน่งยาวนาน และมีชีวิตความเป็นอยู่ที่แตกต่างจากสมาชิกทั่วไปอย่างชัดเจน

ทำให้การเรียกร้องต่อสู้เพื่อสิทธิแรงงานในภาพรวมถูกละเลย เน้นเพียงการรักษาผลประโยชน์เฉพาะกลุ่ม

การขาดเอกภาพและการแบ่งแยกในขบวนการแรงงานไทยเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการพัฒนาขบวนการแรงงานให้เข้มแข็งในระยะยาว

 

กรรมกรขุนนางมีบทบาทต่อการลดทอนพลังต่อรอง – เมื่อผู้นำเลือกวิธีการประนีประนอมมากกว่าการเผชิญหน้า พลังต่อรองของขบวนการแรงงานก็ลดลง ทำให้ไม่สามารถบรรลุผลประโยชน์สูงสุดให้กับสมาชิก

สร้างความแตกแยกในขบวนการแรงงาน บ่อยครั้งที่กรรมกรทั่วไปไม่พอใจกับการนำของกรรมกรขุนนาง และแยกตัวออกไปตั้งกลุ่มใหม่ ทำให้ขบวนการแรงงานแตกแยกและอ่อนแอลง

ปรากฏการณ์กรรมกรขุนนางเป็นปัญหาสำคัญที่ทำให้ขบวนการแรงงานล้าหลังและไร้ประสิทธิภาพ การศึกษาคุณลักษณะและกรณีศึกษาจากต่างประเทศจะช่วยให้เข้าใจปัญหาและพัฒนาทางออกที่เหมาะสม

ขบวนการแรงงานที่แท้จริงต้องเป็นองค์กรที่เป็นตัวแทนผลประโยชน์ของคนงานทุกคน ไม่ใช่เพียงกลุ่มผู้นำที่มีอภิสิทธิ์ การปฏิรูปเพื่อสร้างโครงสร้างที่เป็นประชาธิปไตย โปร่งใส และกระจายอำนาจ จะทำให้ขบวนการแรงงานกลับมาเป็นพลังสำคัญในการต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมในสังคมได้อีกครั้ง

ซึ่งไม่เพียงแต่จะเป็นประโยชน์ต่อสมาชิกสหภาพเท่านั้น แต่ยังช่วยสร้างสังคมที่เป็นธรรมและยั่งยืนสำหรับทุกคน เมื่อขบวนการแรงงานเข้มแข็งและเป็นประชาธิปไตย ย่อมเป็นกลไกถ่วงดุลอำนาจทางเศรษฐกิจและการเมืองในสังคม

นำไปสู่การพัฒนาที่เป็นธรรมและทั่วถึงมากขึ้น