รื้อย้ายสุสานแต้จิ๋วกับทางเลือกที่สาม ของการอนุรักษ์และพัฒนา (1)

ชาตรี ประกิตนนทการ

พื้นที่ระหว่างบรรทัด | ชาตรี ประกิตนนทการ

 

รื้อย้ายสุสานแต้จิ๋วกับทางเลือกที่สาม

ของการอนุรักษ์และพัฒนา (1)

 

เมืองคือพื้นที่รวมของอำนาจและโอกาสทางเศรษฐกิจ ในขณะเดียวกันก็เป็นพื้นที่ที่มีทรัพยากรจำกัด ดังนั้น เมืองจึงเต็มไปด้วยเรื่องราวความขัดแย้งระหว่างการใช้ประโยชน์ที่หลากหลายของคนกลุ่มต่างๆ ที่ซ้อนทับกันและแทบไม่เคยเป็นไปในทิศทางเดียวกัน

ในด้านหนึ่งอาจกล่าวได้ว่า ประวัติศาสตร์เมืองคือประวัติศาสตร์ว่าด้วยความขัดแย้งและแย่งชิงการใช้พื้นที่ และเมื่อพื้นที่มีจำกัด ผู้ชนะย่อมมีเพียงหยิบมือเดียว ซึ่งตลอดประวัติศาสตร์ความเป็นเมืองทุกแห่งในโลก บอกความจริงแก่เราว่า ผู้ชนะส่วนใหญ่คือ “รัฐ” และ “ทุน”

ไม่เพียงแค่การแย่งชิงพื้นที่กันระหว่างคนหลากหลายกลุ่ม บ่อยครั้งการแย่งชิงยังเกิดขึ้นระหว่าง “คนเป็น” กับ “คนตาย” ผ่านพื้นที่ “สุสาน” เป็นความไม่ลงรอยระหว่างความต้องการพัฒนาพื้นที่เมืองเพื่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของคนเป็น (ส่วนใหญ่คือนายทุน) กับความต้องการพื้นที่ในการระลึกถึงคนตายอันเป็นวัฒนธรรมที่สำคัญอย่างหนึ่งของสังคมมนุษย์

แน่นอน แทบทุกกรณีของความขัดแย้งนี้ ฝ่ายที่พ่ายแพ้คือพื้นที่คนตาย

พื้นที่สุสาน ภายใต้การขยายตัวของเมืองออกไปเรื่อยๆ มักทำให้สุสานซึ่งเคยตั้งอยู่ชานเมืองเปลี่ยนมาสู่การเป็นสุสานกลางเมือง และไม่นานหลังจากนั้น ราคาที่ดินโดยรอบก็มักถีบตัวขึ้นสูงอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นแรงจูงใจอันเย้ายวนให้เจ้าของพื้นที่อยากรื้อย้ายสุสานออกไปเพื่อเปิดพื้นที่ให้เกิดการพัฒนาเชิงพาณิชย์

“สุสานแต้จิ๋ว” บริเวณทุ่งวัดดอน เขตสาทร คือกรณีล่าสุดของความขัดแย้งนี้

ป้ายประกาศให้ย้ายฮวงซุ้ยในสุสานแต้จิ๋วออกทั้งหมดภายในปี พ.ศ.2568 ติดตั้งอยู่ภายในสุสานแต้จิ๋วปัจจุบัน

ราว พ.ศ.2565 สมาคมแต้จิ๋วแห่งประเทศไทย ในฐานะเจ้าของพื้นที่สุสานแต้จิ๋วได้ประกาศแจ้งย้ายสุสานผ่านสื่อต่างๆ พร้อมติดป้ายขนาดใหญ่ภายในสุสาน มีใจความสื่อสารถึงลูกหลานที่มีฮวงซุ้ยบรรพชนฝังอยู่ในพื้นที่ให้ดำเนินการย้ายบรรพชนไปบรรจุที่อาคารเก็บอัฐิ หรือย้ายไปฝังที่สุสานสิงห์ทอง อ.ศรีราชา โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น ภายในปี พ.ศ.2568

หากเลยเวลาที่กำหนด สมาคมฯ จะดำเนินการย้ายให้เองโดยนำไปบรรจุไว้ในสุสานรวมต่อไป

เมื่อรื้อย้ายแล้ว พื้นที่นี้จะทำอะไรต่อไป แม้ยังไม่มีรายละเอียดที่แน่ชัดจากทางสมาคมฯ แต่จากข่าวที่ถูกเผยแพร่ในสื่อต่างๆ และการให้ความเห็นต่อคณะกรรมาธิการการศาสนาฯ สภาผู้แทนราษฎรเมื่อ 2 เมษายน 2568 พอสรุปแนวคิดได้ว่า จะมีการปรับพื้นที่เป็นสวนสาธารณะ และจัดสรรพื้นที่ส่วนหนึ่งในการพัฒนาเชิงพาณิชย์เพื่อหารายได้

(ดูรายละเอียดเพิ่มใน https://www.matichon.co.th/economy/news_3784572 และ https://www.facebook.com/photo/?fbid=9850049861684453)

สุสานแต้จิ๋วกับฉากหลังแห่งความเจริญของกรุงเทพฯ ความย้อนแย้งทางสายตาและบรรยากาศเช่นนี้คือเหตุผลที่ทำให้สุสานต้องถูกรื้อออกไปเพื่อเปิดพื้นที่ให้กับการพัฒนาสมัยใหม่

เมื่อข่าวรื้อย้ายเผยแพร่ไป หลายกลุ่มได้ออกมาคัดค้าน มีการนำเรื่องเข้าพูดคุยในคณะกรรมาธิการการศาสนาฯ สภาผู้แทนราษฎร

และล่าสุดได้มีการจัดตั้งกลุ่ม “คัดค้านการรื้อสุสานแต้จิ๋ว สาทร (สุสานวัดดอน)” ขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์ในการรวบรวมทายาทที่มีบรรพชนฝังอยู่ที่สุสานแต้จิ๋วในการคัดค้านการรื้อฮวงซุ้ย

เหตุผลของการคัดค้านมีหลายข้อ ทั้งในแง่คุณค่าทางประวัติศาสตร์ของสุสานแต้จิ๋วที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ พ.ศ.2442 หรือกว่า 126 ปีมาแล้ว ซึ่งเป็นหลักฐานสำคัญที่สะท้อนความสัมพันธ์ทางสังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมระหว่างจีนและไทย

คุณค่าของป้ายหลุมศพที่บางชิ้นมีอายุมากกว่า 100 ปี และมีการจารึกตัวอักษรจีนแสดงชื่อแซ่และถิ่นฐานบ้านเกิดในเมืองจีน

ซึ่งข้อมูลเหล่านี้เป็นหลักฐานชั้นเยี่ยมในการเติมเต็มประวัติศาสตร์ชาวจีนโพ้นทะเลให้สมบูรณ์ขึ้น

เพราะหลุมศพเหล่านี้ที่มีมากถึงประมาณ 9,900 หลุม ส่วนใหญ่คือชาวจีนโพ้นทะเลคนเล็กคนน้อยที่ไม่เคยถูกพูดถึงมากนักในประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ไทยจีนกระแสหลัก ซึ่งมักให้พื้นที่เฉพาะแต่ตระกูลสำคัญๆ ที่ก้าวมาเป็นชนชั้นนำในสังคมไทยเท่านั้น

นอกจากนี้ สุสานแต้จิ๋วยังเป็นพื้นที่แห่งความทรงจำและส่งต่อพิธีกรรมของครอบครัวคนจีนโพ้นทะเลที่ยังถูกใช้สืบทอดต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน

ในขณะที่การให้เหตุผลของทางสมาคมฯ ที่บอกว่าจะปรับพื้นที่ให้เป็นสวนสาธารณะ ก็ชวนถูกตั้งคำถามไม่น้อย

เพราะปัจจุบันสุสานแต้จิ๋วก็ทำหน้าที่เป็นสวนสาธารณะที่ดีอยู่แล้ว

โดยมีการริเริ่มทำมาตั้งแต่ พ.ศ.2539 ในชื่อโครงการสวนสวยในป่าช้า (เป็นที่รับรู้ทั่วไปในชื่อ “สวนสุขภาพสมาคมแต้จิ๋ว”) ซึ่งเปิดพื้นที่ให้คนทั่วไปเข้ามาออกกำลังกายและพักผ่อนหย่อนใจ ภายใต้บรรยากาศที่รายล้อมไปด้วยหลุมศพและฉากหลังที่เต็มไปด้วยตึกระฟ้ากลางเมืองกรุงเทพฯ

เอาเข้าจริงแล้ว สวนสาธารณะในสุสานแต้จิ๋ว คือสวนสาธารณะที่มีลักษณะเฉพาะตัวที่สามารถผสานความต้องการพื้นที่สีเขียวในโลกสมัยใหม่เข้ากับการรักษาวัฒนธรรมและคุณค่าทางประวัติศาสตร์เอาไว้ได้อย่างลงตัว โดยที่ไม่จำเป็นต้องทำอะไรเลย

บรรยากาศภายในสุสานแต้จิ๋ว ณ ปัจจุบัน ที่เปิดพื้นที่ให้เป็นสวนสาธารณะสำหรับคนทั่วไปมาออกกำลังกาย

ผมคิดว่าประเด็นสำคัญที่ซ่อนอยู่ของโครงการรื้อย้ายครั้งนี้ (สอดคล้องกับข้อกังวลของหลายคนที่ผมได้มีโอกาสพูดคุยด้วย) คือการที่สมาคมฯ แจ้งว่า จะมีการจัดสรรพื้นที่ส่วนหนึ่งเพื่อใช้พัฒนาเชิงพาณิชย์เพื่อหารายได้

หลายคนตั้งข้อสังเกตว่า เหตุผลนี้อาจจะเป็นเหตุผลหลัก (มิใช่การทำสวนสาธารณะ) ที่ต้องการรื้อย้ายฮวงซุ้ยทั้งหมดออกไป

เราทุกคนย่อมทราบดีอยู่แล้วว่า ณ ปัจจุบัน พื้นที่สุสานมีมูลค่าทางเศรษฐกิจที่สูงมาก ตั้งอยู่กลางเมืองในย่านสาทร ศูนย์กลางทางเศรษฐกิจสำคัญที่สุดย่านหนึ่งของกรุงเทพฯ รายล้อมด้วยอาคารสูงและระบบขนส่งอันหลากหลาย แม้จะไม่ติดถนนใหญ่โดยตรง แต่ก็ไม่ไกลจากรถไฟฟ้าสถานีสุรศักดิ์มากนัก

ที่สำคัญคือ พื้นที่สุสานเป็นที่ดินผืนใหญ่ขนาดประมาณ 85 ไร่ (จากในอดีตมีขนาดราว 120 ไร่) ซึ่งมีศักยภาพสูงมากในการพัฒนาเชิงพาณิชย์ ไม่ว่าจะเป็นห้างสรรพสินค้า คอนโดมิเนียม อาคารสำนักงาน ฯลฯ

ด้วยศักยภาพและมูลค่าที่ดินดังกล่าว ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า เป็นปัจจัยที่ทั้งเรียกร้องและยั่วยวนใจให้ทำการรื้อย้ายสุสาน

นสายตาคนทั่วไป การรื้อย้ายสุสานอาจเต็มไปด้วยเหตุผลอันสมควร ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลเรื่องความไม่เหมาะสมอีกต่อไปที่ย่านศูนย์กลางเมืองจะมีสุสานขนาดใหญ่ซึ่งเป็นพื้นที่แห่งความตาย หลายคนอาจรู้สึกไม่สบายใจที่จะต้องอยู่ใกล้หรือเดินผ่าน

หรือเหตุผลเรื่องมูลค่าที่ดินที่สูงมากจนไม่เหมาะอีกต่อไปแล้วที่จะฉุดรั้งศักยภาพของที่ดินผืนนี้เอาไว้เพียงการเป็นสุสาน ตลอดจนเหตุผลเรื่องความเห็นใจเจ้าของพื้นที่ซึ่งมีพื้นที่ทำเลทองอยู่ในมือแต่ไม่สามารถทำอะไรได้เพราะต้องเก็บไว้เป็นสุสาน

อย่างไรก็ตาม ในความเห็นส่วนตัว ที่แม้จะไม่มีบรรพบุรุษฝังอยู่ในสุสานแต่จิ๋ว แต่ในฐานะคนคนหนึ่งที่สนใจศึกษาประวัติศาสตร์เมือง การอนุรักษ์และพัฒนาเมือง และติดตามโครงการรื้อย้ายสุสานมาพอสมควร ผมคิดว่าสังคมไทยไม่ควรเห็นด้วยกับโครงการรื้อย้ายครั้งนี้

และควรอย่างยิ่งที่จะต้องส่งเสียงให้ดังมากขึ้น

 

โลกปัจจุบัน สุสานในฐานะพื้นที่คนตายในเกือบทุกวัฒนธรรมบนโลกใบนี้ กำลังตกเป็นเหยื่อของการพัฒนาเมืองแบบสมัยใหม่อย่างรุนแรง ทั้งๆ ที่สุสานคือพื้นที่ที่บรรจุรักษาประวัติศาสตร์และความทรงจำของผู้คนในสังคมไว้ได้อย่างดีที่สุด ไม่แพ้จารึกและเอกสารพงศาวดารที่เก็บรักษาไว้ในหอจดหมายเหตุแห่งชาติ

น่าสังเกตว่า ขณะที่คนปัจจุบันต่างเรียกร้องให้มีการสร้างอนุสาวรีย์ อนุสรณ์สถาน ไปจนถึงพิพิธภัณฑ์ เพื่อรำลึกถึงอดีตของผู้คนและสังคมในเหตุการณ์ต่างๆ กันมากขึ้น แต่กลับละเลยไม่สนใจเรียกร้องให้มีการเก็บรักษาสุสานเก่าแก่ซึ่งโดยตัวของมันเองเป็นอนุสรณ์สถานแห่งความทรงจำที่ดีที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งความทรงจำของคนเล็กคนน้อยที่มักถูกละทิ้งไปจากประวัติศาสตร์กระแสหลัก

ในทัศนะผม สุสานแต้จิ๋วไม่จำเป็นเลยที่จะต้องเลือกทางเดินไปสู่อนาคตเพียงแค่สองทาง ระหว่างการเก็บรักษาสุสานไว้ในสภาพเดิมซึ่งไม่ก่อให้เกิดรายได้เข้าสู่สมาคมฯ อย่างเต็มประสิทธิภาพของที่ดิน กับการพัฒนาที่ดินให้ปล่อยไหลไปตามการพัฒนากระแสหลักที่ต้องแลกด้วยการรื้อทำลายประวัติศาสตร์และความทรงจำที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของชาวจีนโพ้นทะเลในสังคมไทยไป

ผมเชื่อว่า การอนุรักษ์และพัฒนาเมืองที่มีความสลับซับซ้อน เต็มไปด้วยความต้องการที่หลากหลาย และขัดแย้งกันตลอดเวลา หากเราพิจารณาเงื่อนไขและเหตุผลอย่างรอบด้านมากเพียงพอ

เราจะพบทางเลือกที่สามอยู่เสมอ