บริหารพลังงาน ดีกว่าบริหารเวลา

กวีวุฒิ เต็มภูวภัทรfacebook.com/eightandahalfsentences

ธุรกิจพอดีคำ | กวีวุฒิ เต็มภูวภัทร

 

บริหารพลังงาน

ดีกว่าบริหารเวลา

 

เคยสงสัยไหมว่า… ทำไมบางวันเราทำงานได้เพียง 2 ชั่วโมงแต่รู้สึกว่าได้ผลลัพธ์มากกว่าวันที่นั่งทำงานเต็ม 8 ชั่วโมง?

ทำไมเวลาเท่ากันแต่ประสิทธิภาพกลับต่างกันราวฟ้ากับเหว?

คำตอบอาจไม่ได้อยู่ที่การบริหารเวลา แต่อยู่ที่การบริหาร “พลังงาน” ต่างหาก

โลกทุนนิยมสอนให้เราทำงานยาวนานที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะเวลาคือเงิน เวลาคือทรัพยากรที่มีค่า เราถูกปลูกฝังให้บริหารเวลาให้เป็น แต่สุดท้ายหลายคนกลับทำงานหนักจนหมดเรี่ยวแรง ป่วยกาย ป่วยใจ จนบางคนถึงขั้นเผาไหม้ตัวเอง (Burnout) ล้มป่วย แม้กระทั่งจากโลกนี้ไปก่อนวัยอันควร

พูดตรงๆ ผมเองก็เคยเป็นทาสของการบริหารเวลา ตั้งเป้าตารางงานแน่นๆ จัดสรรเวลาทุกนาทีอย่างมีประสิทธิภาพ

จนวันหนึ่งร่างกายเริ่มส่งสัญญาณเตือน และผมได้พบว่าสิ่งที่ควรบริหารจริงๆ ไม่ใช่เวลา

แต่เป็น “พลังงาน”

 

หนังสือ “The Power of Full Engagement” ของ Jim Loehr และ Tony Schwartz ที่ตีพิมพ์มากว่า 20 ปี เปลี่ยนกระบวนทัศน์ทางการบริหารไปอย่างสิ้นเชิง

พวกเขาพบว่า นักกีฬาที่ประสบความสำเร็จไม่ได้แตกต่างกันที่เวลาฝึกซ้อม แต่อยู่ที่วิธีการฟื้นฟูพลังงานและการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพต่างหาก

ลองคิดดู… นักเทนนิสระดับโลกอย่าง Rafael Nadal ไม่ได้เล่นเทนนิสทั้งวัน เขาฝึกซ้อมอย่างเข้มข้น แต่ก็มีช่วงพักฟื้นฟูร่างกายที่สำคัญไม่แพ้กัน

Alex Pang ผู้เขียนหนังสือ “Rest : Why You Get More Done When You Work Less” ยังพบว่า คนที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ เช่น Charles Darwin, Henri Poincar? และ Ernest Hemingway ทำงานเพียงวันละ 4-5 ชั่วโมงเท่านั้น แต่เป็นชั่วโมงที่มีคุณภาพสูง และใส่ใจกับการพักผ่อนอย่างมาก

สิ่งที่น่าตกใจคือ… การศึกษาจาก Anders Ericsson ซึ่งเป็นผู้บุกเบิกทฤษฎี “Deliberate Practice” พบว่า แม้แต่มือเปียโนระดับโลกก็ไม่ได้ซ้อมเกิน 4 ชั่วโมงต่อวัน เพราะร่างกายและจิตใจไม่สามารถรักษาสมาธิและคุณภาพในการฝึกได้เกินกว่านั้น

เทคนิคการบริหารพลังงานของผู้นำระดับโลก

 

1. Jeff Bezos : การตัดสินใจตามระดับพลังงาน

Jeff Bezos ผู้ก่อตั้ง Amazon มีเทคนิคที่เรียกว่า “High-IQ Decisions” โดยเขาจะทำการตัดสินใจสำคัญเฉพาะช่วงเช้าเท่านั้น เพราะเป็นช่วงที่มีพลังงานสมองสูงสุด เขาจะไม่นัดประชุมสำคัญหลังเวลา 17.00 น. และจะหลีกเลี่ยงการตัดสินใจใหญ่ๆ ในช่วงบ่ายหรือเย็น

“ผมพยายามจัดการวันของผม เพื่อให้มีการตัดสินใจที่มีคุณภาพสูงเพียง 3 เรื่องต่อวัน ไม่มากไปกว่านั้น” Bezos กล่าว

2. Arianna Huffington : ปฏิวัติด้วยการนอน

Arianna Huffington ผู้ก่อตั้ง Huffington Post หลังจากที่เธอล้มป่วยจากการทำงานหนักเกินไป ได้เปลี่ยนมาให้ความสำคัญกับการนอนหลับ จนเขียนหนังสือ “The Sleep Revolution” และก่อตั้งบริษัท Thrive Global เพื่อส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดี

เธอมีเทคนิคที่เรียกว่า “Sleep Ritual” โดยจะปิดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมดก่อนนอน 1 ชั่วโมง อาบน้ำอุ่น และอ่านหนังสือที่ไม่เกี่ยวกับงาน เพื่อให้สมองได้พัก และนอนหลับได้ลึก ส่งผลให้เธอมีพลังงานเต็มเปี่ยมในวันรุ่งขึ้น

3. Jack Dorsey : การจัดการพลังงานผ่านการอดอาหารเป็นช่วง

Jack Dorsey อดีต CEO ของ Twitter และ Square ใช้เทคนิคการอดอาหารเป็นช่วง (Intermittent Fasting) โดยรับประทานอาหารเพียงวันละ 1 มื้อในช่วงเย็น เขาอ้างว่าวิธีนี้ช่วยให้เขามีพลังงานสม่ำเสมอตลอดวัน ลดอาการง่วงหลังอาหาร และมีความชัดเจนในการคิด

นอกจากนี้ เขายังใช้เทคนิคกำหนดวันให้เป็นธีม เช่น วันจันทร์เป็นวันประชุมผู้บริหาร วันอังคารเป็นวันพัฒนาผลิตภัณฑ์ ช่วยให้สมองได้โฟกัสกับงานประเภทเดียวกัน ไม่ต้องสลับไปมาซึ่งกินพลังงานมาก

4. สตีฟ จ็อบส์ : พลังของการเดิน

สตีฟ จ็อบส์ ผู้ก่อตั้ง Apple มีนิสัยชอบประชุมเดิน (Walking Meeting) เพราะการเคลื่อนไหวร่างกายช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด เพิ่มออกซิเจนสู่สมอง ส่งผลให้ความคิดสร้างสรรค์ดีขึ้น วอลเตอร์ ไอแซ็กสัน ผู้เขียนประวัติของจ็อบส์ เล่าว่า ไอเดียสำคัญหลายอย่างของ Apple เกิดขึ้นระหว่างการเดินสนทนากลางแจ้ง

การศึกษาที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดยืนยันว่า การเดินช่วยเพิ่มความคิดสร้างสรรค์ได้ถึง 60% เมื่อเทียบกับการนั่ง

5. แดน วาสเซอร์แมน: จากไทเก็กสู่การเป็นผู้นำ

Dan Wasserman ซีอีโอของ JP Morgan หนึ่งในสถาบันการเงินใหญ่ที่สุดของโลก เริ่มต้นวันด้วยการฝึกไทเก๊ก (Tai Chi) เป็นเวลา 30 นาที ก่อนจะเริ่มงาน

เขาบอกว่า การฝึกสมาธิและการเคลื่อนไหวช้าๆ ช่วยให้เขามีความสงบ สามารถรับมือกับความกดดันและการตัดสินใจสำคัญได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

จากประสบการณ์ของผู้นำเหล่านี้ เราสามารถสรุปเทคนิคการบริหารพลังงานที่ใช้ได้จริงได้ดังนี้

1. จับจังหวะคลื่นพลังงาน

สังเกตตัวเองว่า ช่วงไหนของวันที่มีพลังงานสูงสุด และจัดสรรงานสำคัญที่ต้องใช้สมาธิและความคิดสร้างสรรค์ในช่วงนั้น หลายคนมีพลังงานสูงสุดในช่วง 1-3 ชั่วโมงแรกหลังตื่นนอน แต่บางคนอาจเป็นช่วงกลางวันหรือกลางคืน

ลองทำแบบทดสอบง่ายๆ โดยจดบันทึกระดับพลังงานของตัวเองทุก 2 ชั่วโมงเป็นเวลา 1 สัปดาห์ (1 = ต่ำมาก, 10 = สูงมาก) แล้วหาแพตเทิร์น จากนั้นจัดตารางงานให้สอดคล้องกับจังหวะนี้

2. ใช้เทคนิค 90/20

ทำงานที่ต้องใช้สมาธิสูงไม่เกิน 90 นาที แล้วพัก 20-30 นาที วิธีนี้สอดคล้องกับ Ultradian Rhythm ของร่างกาย ช่วยให้สามารถรักษาประสิทธิภาพได้ตลอดวัน

ในช่วงพัก ให้ทำกิจกรรมที่แตกต่างจากงานที่ทำอยู่ เช่น ถ้านั่งทำงานหน้าจอมานาน ลองออกไปเดินสักรอบ หรือทำงานที่ใช้สมองคนละส่วน

3. สร้างพิธีกรรมเริ่มต้นและจบวัน (Morning & Evening Ritual)

เริ่มต้นวันด้วยพิธีกรรมที่ช่วยเตรียมร่างกายและจิตใจให้พร้อมสำหรับวันนั้น เช่น การออกกำลังกาย การนั่งสมาธิ การเขียนบันทึก หรือการทำกิจกรรมที่ให้พลังงานบวก

จบวันด้วยพิธีกรรมที่ช่วยให้ร่างกายและจิตใจผ่อนคลาย เช่น การอ่านหนังสือ การเขียนบันทึกสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นในวันนั้น หรือการยืดเส้นยืดสาย เพื่อให้หลับได้ลึก และฟื้นฟูพลังงานอย่างเต็มที่

4. วางแผนแต่ละวันไม่เกิน 3 เรื่องสำคัญ

แทนที่จะพยายามทำทุกอย่างในวันเดียว ให้เลือกทำเพียง 3 เรื่องที่สำคัญที่สุด (MIT : Most Important Tasks) ซึ่งจะช่วยให้มีโฟกัสและไม่สูญเสียพลังงานไปกับงานเล็กๆ น้อยๆ มากเกินไป

สิ่งที่น่าสนใจคือ เมื่อเราทำ 3 เรื่องสำคัญสำเร็จ เราจะรู้สึกมีพลังงานเพิ่มขึ้น เพราะความสำเร็จเป็นแหล่งพลังงานที่ดี

5. ใส่ใจกับ 4 แหล่งพลังงานหลัก

พลังงานของเรามาจาก 4 แหล่งหลัก :

– พลังงานกาย (Physical Energy) : อาหาร การนอน การออกกำลังกาย

– พลังงานอารมณ์ (Emotional Energy) : ความสัมพันธ์ที่ดี การทำกิจกรรมที่มีความสุข

– พลังงานจิตใจ (Mental Energy) : การพัก การสลับงาน การทำสมาธิ

– พลังงานจิตวิญญาณ (Spiritual Energy) : การเชื่อมโยงกับเป้าหมายที่ใหญ่กว่าตัวเอง การทำงานที่มีความหมาย

ให้ลองประเมินว่าแต่ละวันเราใส่ใจกับแหล่งพลังงานทั้ง 4 นี้สมดุลกันหรือไม่

หากขาดด้านไหนไป ก็อาจทำให้พลังงานโดยรวมลดลง

 

ลองนึกภาพว่า… เราแต่ละคนมีบัญชีพลังงาน เหมือนบัญชีธนาคาร การทำงานแต่ละอย่างคือการถอนพลังงาน ในขณะที่การพักผ่อน การทำสิ่งที่รัก การออกกำลังกาย คือการฝากพลังงาน

ปัญหาของคนส่วนใหญ่คือ พยายามถอนมากกว่าฝาก จนบัญชีติดลบ เกิดภาวะหมดไฟ (Burnout)

แต่ถ้าเราฝากและถอนอย่างสมดุล หรือฝากมากกว่าถอนเล็กน้อย เราจะมีพลังงานเหลือพอให้ใช้ในยามฉุกเฉิน และมีชีวิตที่มีประสิทธิภาพในระยะยาว

เวลาเป็นทรัพยากรที่จำกัด แต่พลังงานเป็นสิ่งที่เราสามารถเพิ่มพูนได้ เวลาเดินไปข้างหน้าเสมอ แต่พลังงานสามารถเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ตามการบริหารจัดการของเรา

ถึงเวลาแล้วที่เราจะเปลี่ยนจากการบริหารเวลา มาเป็นการบริหารพลังงาน หยุดบีบตัวเองให้ทำงานนานขึ้น แต่เริ่มฉลาดขึ้นในการรักษา ฟื้นฟู และใช้พลังงานที่มีอยู่อย่างมีประสิทธิภาพ

นั่นคือหนทางสู่ชีวิตที่มีทั้งผลงาน ความสุข และความยั่งยืน ไม่ใช่แค่ในโลกการทำงาน แต่ในทุกมิติของชีวิต