มองกลยุทธ์ ‘นายกฯ อิ๊งค์’ ยึด ‘ดีล’ หลังอิงกองทัพ ผนึก ผบ.เหล่าทัพ

รายงานพิเศษ

 

มองกลยุทธ์ ‘นายกฯ อิ๊งค์’

ยึด ‘ดีล’

หลังอิงกองทัพ

ผนึก ผบ.เหล่าทัพ

 

ด้วยเพราะเป็นรัฐบาล “ดีล” ผสมข้ามขั้ว ทั้งนาย ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ และ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรึ จึงต้องเปลี่ยนความคิด ทัศนคติ ที่มีต่อกองทัพ ต่อทหาร จากที่ตัวนายทักษิณเอง และน้องสาว เคยโดนรัฐประหาร ต่อเนื่องกัน 2 ครั้ง ทั้งรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 และ 22 พฤษภาคม 2557

ด้วยเพราะความจำเป็นในการจับมือกันเพื่อเดินหน้าประเทศ และสกัดกั้นพรรคอนาคตใหม่ในการเป็นรัฐบาล และเพื่อปกป้องสถาบัน แลกกับนายทักษิณกลับประเทศ มานำทัพพรรคเพื่อไทยในการต่อสู้ทางการเมือง จากนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกฯ จนมาถึง น.ส.แพทองธาร ที่ขึ้นมาเป็นนายกฯ ก่อนไทม์ไลน์ที่วางเอาไว้

กองทัพ ในฐานะเขี้ยวเล็บและอาวุธของฝ่ายอนุรักษนิยม ที่อยู่ในดีลนี้ด้วย จึงทำหน้าที่ในการเป็นฝ่ายซัพพอร์ตรัฐบาลผสม และนายกรัฐมนตรี

จะเห็นได้ว่า เมื่อครั้งที่นายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี ก็เอนหลังอิงกองทัพ ในการนัดพูดคุย รับประทานอาหารกับผู้บัญชาการเหล่าทัพทันทีเป็นกลุ่มแรกๆ และจากนั้น ก็มีนัดหมายกันทุกๆ 2 เดือน อันเป็นการสะท้อนว่าให้ความสำคัญกับกองทัพ และพูดคุยโดยตรงกับ ผบ.เหล่าทัพ

จะเห็นได้ว่า ในระหว่างที่เป็นนายกรัฐมนตรี น.ส.แพทองธารได้ไปเรียนหลักสูตรวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรสำหรับผู้บริหารแห่งอนาคต หรือมินิ วปอ. เพื่อที่จะรู้เรื่องงานความมั่นคงและเปิดใจเข้าสู่แวดวงทหารมากขึ้น

เมื่อต้องมาเป็นนายกฯ หญิง แพทองธารก็มีการเปลี่ยน รมว.กลาโหม จากนายสุทิน คลังแสง มาเป็นนายภูมิธรรม เวชยชัย ที่ควบรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงด้วย เพื่อมาช่วยดูแลทหารแทนนายสุทิน เพราะนายทักษิณคงจะห่วงลูกสาวจึงต้องเอามือขวาอย่างนายภูมิธรรมมานั่งเก้าอี้สนามไชย 1 ด้วยตนเอง

และอาศัยคอนเน็กชั่นของนายเศรษฐา ที่มีกับผู้บัญชาการเหล่าทัพโดยเฉพาะ ผบ.อ๊อบ พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และบิ๊กไก่ พล.อ.อ.พันธ์ภักดี พัฒนกุล ผบ.ทอ. จึงทำให้นายภูมิธรรม และ น.ส.แพทองธาร ได้ปรึกษาหารือ โดยเฉพาะกับ พล.อ.ทรงวิทย์มากที่สุด

ถึงขั้นที่ไว้วางใจแต่งตั้งให้ พล.อ.ทรงวิทย์เป็นประธานคณะกรรมการอำนวยการขับเคลื่อนการป้องกันและแก้ไขปัญหาคุกคามที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงในพื้นที่ชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน (ปชด.) ช่วยดูแลแก้ไขปัญหาชายแดน คอลเซ็นเตอร์ ค้ามนุษย์ อาชญากรรมข้ามชาติ และยาเสพติดต่างๆ

นอกจากนี้ น.ส.แพทองธารให้เกียรติผู้บัญชาการเหล่าทัพทุกครั้งที่พบหน้า ไม่ว่าจะการประชุมหรือการลงพื้นที่ ก็จะสวัสดีไหว้อย่างอ่อนน้อมทุกครั้ง

นั่งเก้าอี้นายกฯ มามากกว่าหกเดือน ทำให้ น.ส.แพทองธารเริ่มคุ้นกับฝ่ายทหารและผู้บัญชาการเหล่าทัพมากขึ้น รวมถึงกับ ผบ.ปู พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผบ.ทบ. ที่ประชุมและลงพื้นที่ด้วยกันหลายครั้ง

จนเป็นครั้งแรกที่ น.ส.แพทองธารไปประชุม ปชด. ที่กองบัญชาการกองทัพบก โดยมี พล.อ.พนานำตั้งแถวตะเบ๊ะต้อนรับ และมีการพูดคุยอย่างเป็นกันเอง แม้ว่าปกติแล้ว พล.อ.พนาจะเป็นคนพูดน้อยไม่ค่อยคุย จะยิ้มอย่างเดียวก็ตาม

นอกจากนั้น ยังเป็นครั้งแรกที่ น.ส.แพทองธารมาร่วมงานเลี้ยงรับรองวันกองทัพอากาศครบ 88 ปีเมื่อค่ำวันที่ 8 เมษายน 2568 ที่ผ่านมาที่โรงเรียนนายเรืออากาศฯ ดอนเมือง เพราะก่อนหน้านี้ งานเลี้ยงรับรองวันกองทัพเรือ พฤศจิกายน 2567 และงานเลี้ยงรับรองวันกองทัพบก มกราคม 2568 นายกรัฐมนตรีก็ไม่ได้ไปร่วมงาน แต่มอบหมาย รมว.กลาโหมไปแทน

ทั้งนี้ อาจเป็นเพราะ น.ส.แพทองธารมีความเกรงใจ พล.อ.อ.พันธ์ภักดี ผบ.ทอ. ซึ่งเป็นผู้บัญชาการเหล่าทัพที่คอยช่วยงานสนับสนุนรัฐบาลมา อีกทั้งก่อนหน้านี้กองทัพอากาศเคยเชิญ น.ส.แพทองธาร มาร่วมงานสัมมนาทางวิชาการ และงานสาธิตการใช้อาวุธทางอากาศที่ลพบุรี แต่ น.ส.แพทองธารก็ไม่ได้ไป มอบหมายให้นายภูมิธรรม และบิ๊กเล็ก พล.อ.ณัฐพล นาคพานิชย์ รมช.กลาโหม ไปแทน จนเริ่มเป็นที่ตั้งข้อสังเกตว่านายกรัฐมนตรีไม่ค่อยไปร่วมงานของกองทัพ

นอกจากมาร่วมงานเลี้ยงรับรองวันกองทัพอากาศ และได้พูดคุยกับ ผบ.ทอ.อย่างเป็นกันเองแล้ว

นายภูมิธรรมยังเปิดเผยว่ามีแนวคิดที่จะเชิญนายกรัฐมนตรีร่วมพบปะรับประทานอาหารกับผู้บัญชาการเหล่าทัพ เพื่อพูดคุยงานความมั่นคงแบบนอกรอบ และจะได้รู้จักกันมากขึ้น

เพราะในยุคของนายเศรษฐาก็มีการรับประทานอาหารกับผู้บัญชาการเหล่าทัพเป็นระยะๆ เช่นกัน

ตัวนายภูมิธรรมเอง ก่อนหน้านี้ก็เคยนัดผู้บัญชาการเหล่าทัพรับประทานอาหารพูดคุยแบบสบายๆ บ้านของ พล.อ.อ.พันธ์ภักดีมาแล้ว และมีกำหนดว่าจะมีการนัดรับประทานอาหารด้วยกันอีก 1-2 เดือนครั้ง เพื่อที่จะได้รู้จักผู้บัญชาการเหล่าทัพแต่ละคนให้มากขึ้น

สําหรับนายภูมิธรรมและรวมทั้ง น.ส.แพทองธารแล้ว ดูจะสนิทสนมไว้วางใจ พล.อ.ทรงวิทย์มากที่สุด เพราะมีรายงานว่ามีการโทรศัพท์พูดคุยสอบถามในเรื่องต่างๆ แบบที่เรียกว่าสายตรงเสมอๆ

อีกทั้ง น.ส.แพทองธารได้รู้จักและคุ้นเคยกับ พล.อ.ทรงวิทย์ตั้งแต่เมื่อครั้งที่เรียน วปอ.บอ. แล้ว เพราะเป็นหลักสูตรของสถาบันวิชาการป้องกันประเทศ กองบัญชาการกองทัพไทย ที่มี พล.อ.ทรงวิทย์เป็นผู้บังคับบัญชา และก็มักจะมาร่วมกิจกรรมพบปะและบรรยายพิเศษเสมอๆ

จึงไม่แปลกที่ในงานเลี้ยงรับรองวันกองทัพอากาศเมื่อมีการถ่ายภาพหมู่นายกรัฐมนตรี นายภูมิธรรม กับผู้บัญชาการเหล่าทัพ น.ส.แพทองธาร จะพยายามเชิญ พล.อ.ทรงวิทย์ที่ยืนอยู่ริมไกลๆ มายืนใกล้ๆ แต่ พล.อ.ทรงวิทย์ก็ขอที่จะยืนอยู่จุดเดิม เพราะเกรงจะไปยืนแทรกระหว่างผู้ใหญ่

แต่ก็เป็นการสะท้อนว่า น.ส.แพทองธารดูจะคุ้นเคยกับ พล.อ.ทรงวิทย์มากที่สุด

โดยในงานนี้นายกรัฐมนตรี น.ส.แพทองธารได้กล่าวขอบคุณกองทัพอากาศที่เชิญมาร่วมงานและถือเป็นครั้งแรกที่ได้มาร่วมงานของกองทัพ ขอบคุณที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของกองทัพอากาศ

ขณะที่นายภูมิธรรมก็ยืนยันว่ารัฐบาลจะไม่กดดันให้กองทัพอากาศเปลี่ยนการตัดสินใจจากการจัดซื้อเครื่องบิน Gripen จากสวีเดน ไปซื้อ F16 block 70 เพื่อเอาใจสหรัฐ และใช้ในการต่อรองเพื่อลดกำแพงภาษี

“เราเป็นมิตรประเทศกัน ผมเชื่อว่าสหรัฐคงไม่กดดันเราถึงขนาดนั้น” นายภูมิธรรมระบุ

สําหรับ น.ส.แพทองธารแล้ว การได้เข้ามาใกล้ชิดทหาร รู้จักผู้บัญชาการเหล่าทัพมากขึ้น และได้เคยเข้ามาในกองทัพบก รวมถึงเวลาเดินทางไปต่างประเทศหรือต่างจังหวัด ก็จะไปขึ้นเครื่องที่ท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 ดอนเมืองของกองทัพอากาศ และนั่งเครื่องบินกองทัพอากาศอยู่เสมอ จึงทำให้ น.ส.แพทองธารคุ้นเคยกับทหารมากขึ้น

แม้ว่า น.ส.แพทองธารจะนั่งแต่เฮลิคอปเตอร์ของตำรวจเวลาลงพื้นที่ต่างจังหวัด และไม่เคยนั่งเฮลิคอปเตอร์ของทหารเลยก็ตาม

อีกทั้งตัว น.ส.แพทองธารเองก็รู้ดีว่ากองทัพในยุคปัจจุบันแตกต่างจากกองทัพในยุคที่มีการรัฐประหารนายทักษิณ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เพราะคนที่ทำรัฐประหารได้เกษียณราชการไปแล้ว และอำนาจในกองทัพก็ค่อยๆ ลดลง จนเข้าสู่ยุคของผู้บัญชาการเหล่าทัพชุดปัจจุบันที่ดูเป็นทหารยุคใหม่ มีความเป็นทหารอาชีพ

ที่สำคัญคือโครงสร้างอำนาจของขั้วอนุรักษนิยม เปลี่ยนแปลงไปแล้วจากอำนาจของบ้านสี่เสาเทเวศร์ ที่อัสดงไปพร้อมการจากไปของป๋าเปรม พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อดีตประธานองคมนตรี ที่รู้กันดีว่ายืนคนละข้างละขั้วกับนายทักษิณมาตลอด

โครงสร้างอำนาจในกองทัพปัจจุบัน แม้ยังอยู่ในเครือข่ายของ 3 ป. แต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของดีล จึงทำให้ภาพของกองทัพในปัจจุบันไม่น่ากลัวเหมือนสมัยของนายทักษิณและ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เพราะยืนคนละขั้วกับฝ่ายอนุรักษนิยม

จึงไม่แปลกที่ในยุคนี้นายทักษิณจึงกล้าพูดหลายครั้งว่าจะไม่มีการปฏิวัติรัฐประหารเกิดขึ้นอีกแล้ว เช่นเดียวกับในกองทัพก็รับรู้สัญญาณบางประการในการทำหน้าที่ของการเป็นทหารอาชีพที่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองเท่านั้น

ที่สำคัญคือเป็นรัฐบาลดีล ซึ่งในนั้นมีบิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อครั้งเป็นนายกรัฐมนตรี อยู่ในดีลนี้ด้วย ก็ย่อมพอจะอุ่นใจได้ว่าในยุคนี้การปฏิวัติรัฐประหาร น่าจะเกิดขึ้นได้ยาก หรือโอกาสเป็นศูนย์ เพราะเป็นที่รู้กันดีว่า น.ส.แพทองธารเป็นนายกรัฐมนตรีที่มีภูมิคุ้มกันดี

เช่นเดียวกับฝ่ายกองทัพผู้บัญชาการเหล่าทัพเองก็รู้ที่มาที่ไปของการจัดตั้งรัฐบาลผสมข้ามขั้วนี้เป็นอย่างดี กองทัพจึงมีหน้าที่เป็นผู้สนับสนุนและเป็นกลไกของรัฐบาลในการช่วยแก้ไขปัญหาต่างๆ

กลยุทธ์ในการประคับประคองรัฐบาลผสมให้แข็งแกร่งท่ามกลางเกมการเมืองและการต่อสู้ทางการเมืองไปสู่การเลือกตั้งในปี 2570

อาจทำให้ น.ส.แพทองธารต้องพึ่งกองทัพมากขึ้น และอาจจะได้เห็นความใกล้ชิดที่มากขึ้นด้วย