ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 18 - 24 เมษายน 2568 |
---|---|
คอลัมน์ | รายงานพิเศษ |
เผยแพร่ |
รายงานพิเศษ
มองกลยุทธ์ ‘นายกฯ อิ๊งค์’
ยึด ‘ดีล’
หลังอิงกองทัพ
ผนึก ผบ.เหล่าทัพ
ด้วยเพราะเป็นรัฐบาล “ดีล” ผสมข้ามขั้ว ทั้งนาย ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ และ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรึ จึงต้องเปลี่ยนความคิด ทัศนคติ ที่มีต่อกองทัพ ต่อทหาร จากที่ตัวนายทักษิณเอง และน้องสาว เคยโดนรัฐประหาร ต่อเนื่องกัน 2 ครั้ง ทั้งรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 และ 22 พฤษภาคม 2557
ด้วยเพราะความจำเป็นในการจับมือกันเพื่อเดินหน้าประเทศ และสกัดกั้นพรรคอนาคตใหม่ในการเป็นรัฐบาล และเพื่อปกป้องสถาบัน แลกกับนายทักษิณกลับประเทศ มานำทัพพรรคเพื่อไทยในการต่อสู้ทางการเมือง จากนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกฯ จนมาถึง น.ส.แพทองธาร ที่ขึ้นมาเป็นนายกฯ ก่อนไทม์ไลน์ที่วางเอาไว้
กองทัพ ในฐานะเขี้ยวเล็บและอาวุธของฝ่ายอนุรักษนิยม ที่อยู่ในดีลนี้ด้วย จึงทำหน้าที่ในการเป็นฝ่ายซัพพอร์ตรัฐบาลผสม และนายกรัฐมนตรี
จะเห็นได้ว่า เมื่อครั้งที่นายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี ก็เอนหลังอิงกองทัพ ในการนัดพูดคุย รับประทานอาหารกับผู้บัญชาการเหล่าทัพทันทีเป็นกลุ่มแรกๆ และจากนั้น ก็มีนัดหมายกันทุกๆ 2 เดือน อันเป็นการสะท้อนว่าให้ความสำคัญกับกองทัพ และพูดคุยโดยตรงกับ ผบ.เหล่าทัพ
จะเห็นได้ว่า ในระหว่างที่เป็นนายกรัฐมนตรี น.ส.แพทองธารได้ไปเรียนหลักสูตรวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรสำหรับผู้บริหารแห่งอนาคต หรือมินิ วปอ. เพื่อที่จะรู้เรื่องงานความมั่นคงและเปิดใจเข้าสู่แวดวงทหารมากขึ้น
เมื่อต้องมาเป็นนายกฯ หญิง แพทองธารก็มีการเปลี่ยน รมว.กลาโหม จากนายสุทิน คลังแสง มาเป็นนายภูมิธรรม เวชยชัย ที่ควบรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงด้วย เพื่อมาช่วยดูแลทหารแทนนายสุทิน เพราะนายทักษิณคงจะห่วงลูกสาวจึงต้องเอามือขวาอย่างนายภูมิธรรมมานั่งเก้าอี้สนามไชย 1 ด้วยตนเอง
และอาศัยคอนเน็กชั่นของนายเศรษฐา ที่มีกับผู้บัญชาการเหล่าทัพโดยเฉพาะ ผบ.อ๊อบ พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และบิ๊กไก่ พล.อ.อ.พันธ์ภักดี พัฒนกุล ผบ.ทอ. จึงทำให้นายภูมิธรรม และ น.ส.แพทองธาร ได้ปรึกษาหารือ โดยเฉพาะกับ พล.อ.ทรงวิทย์มากที่สุด
ถึงขั้นที่ไว้วางใจแต่งตั้งให้ พล.อ.ทรงวิทย์เป็นประธานคณะกรรมการอำนวยการขับเคลื่อนการป้องกันและแก้ไขปัญหาคุกคามที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงในพื้นที่ชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน (ปชด.) ช่วยดูแลแก้ไขปัญหาชายแดน คอลเซ็นเตอร์ ค้ามนุษย์ อาชญากรรมข้ามชาติ และยาเสพติดต่างๆ
นอกจากนี้ น.ส.แพทองธารให้เกียรติผู้บัญชาการเหล่าทัพทุกครั้งที่พบหน้า ไม่ว่าจะการประชุมหรือการลงพื้นที่ ก็จะสวัสดีไหว้อย่างอ่อนน้อมทุกครั้ง
นั่งเก้าอี้นายกฯ มามากกว่าหกเดือน ทำให้ น.ส.แพทองธารเริ่มคุ้นกับฝ่ายทหารและผู้บัญชาการเหล่าทัพมากขึ้น รวมถึงกับ ผบ.ปู พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผบ.ทบ. ที่ประชุมและลงพื้นที่ด้วยกันหลายครั้ง
จนเป็นครั้งแรกที่ น.ส.แพทองธารไปประชุม ปชด. ที่กองบัญชาการกองทัพบก โดยมี พล.อ.พนานำตั้งแถวตะเบ๊ะต้อนรับ และมีการพูดคุยอย่างเป็นกันเอง แม้ว่าปกติแล้ว พล.อ.พนาจะเป็นคนพูดน้อยไม่ค่อยคุย จะยิ้มอย่างเดียวก็ตาม
นอกจากนั้น ยังเป็นครั้งแรกที่ น.ส.แพทองธารมาร่วมงานเลี้ยงรับรองวันกองทัพอากาศครบ 88 ปีเมื่อค่ำวันที่ 8 เมษายน 2568 ที่ผ่านมาที่โรงเรียนนายเรืออากาศฯ ดอนเมือง เพราะก่อนหน้านี้ งานเลี้ยงรับรองวันกองทัพเรือ พฤศจิกายน 2567 และงานเลี้ยงรับรองวันกองทัพบก มกราคม 2568 นายกรัฐมนตรีก็ไม่ได้ไปร่วมงาน แต่มอบหมาย รมว.กลาโหมไปแทน
ทั้งนี้ อาจเป็นเพราะ น.ส.แพทองธารมีความเกรงใจ พล.อ.อ.พันธ์ภักดี ผบ.ทอ. ซึ่งเป็นผู้บัญชาการเหล่าทัพที่คอยช่วยงานสนับสนุนรัฐบาลมา อีกทั้งก่อนหน้านี้กองทัพอากาศเคยเชิญ น.ส.แพทองธาร มาร่วมงานสัมมนาทางวิชาการ และงานสาธิตการใช้อาวุธทางอากาศที่ลพบุรี แต่ น.ส.แพทองธารก็ไม่ได้ไป มอบหมายให้นายภูมิธรรม และบิ๊กเล็ก พล.อ.ณัฐพล นาคพานิชย์ รมช.กลาโหม ไปแทน จนเริ่มเป็นที่ตั้งข้อสังเกตว่านายกรัฐมนตรีไม่ค่อยไปร่วมงานของกองทัพ
นอกจากมาร่วมงานเลี้ยงรับรองวันกองทัพอากาศ และได้พูดคุยกับ ผบ.ทอ.อย่างเป็นกันเองแล้ว
นายภูมิธรรมยังเปิดเผยว่ามีแนวคิดที่จะเชิญนายกรัฐมนตรีร่วมพบปะรับประทานอาหารกับผู้บัญชาการเหล่าทัพ เพื่อพูดคุยงานความมั่นคงแบบนอกรอบ และจะได้รู้จักกันมากขึ้น
เพราะในยุคของนายเศรษฐาก็มีการรับประทานอาหารกับผู้บัญชาการเหล่าทัพเป็นระยะๆ เช่นกัน
ตัวนายภูมิธรรมเอง ก่อนหน้านี้ก็เคยนัดผู้บัญชาการเหล่าทัพรับประทานอาหารพูดคุยแบบสบายๆ บ้านของ พล.อ.อ.พันธ์ภักดีมาแล้ว และมีกำหนดว่าจะมีการนัดรับประทานอาหารด้วยกันอีก 1-2 เดือนครั้ง เพื่อที่จะได้รู้จักผู้บัญชาการเหล่าทัพแต่ละคนให้มากขึ้น
สําหรับนายภูมิธรรมและรวมทั้ง น.ส.แพทองธารแล้ว ดูจะสนิทสนมไว้วางใจ พล.อ.ทรงวิทย์มากที่สุด เพราะมีรายงานว่ามีการโทรศัพท์พูดคุยสอบถามในเรื่องต่างๆ แบบที่เรียกว่าสายตรงเสมอๆ
อีกทั้ง น.ส.แพทองธารได้รู้จักและคุ้นเคยกับ พล.อ.ทรงวิทย์ตั้งแต่เมื่อครั้งที่เรียน วปอ.บอ. แล้ว เพราะเป็นหลักสูตรของสถาบันวิชาการป้องกันประเทศ กองบัญชาการกองทัพไทย ที่มี พล.อ.ทรงวิทย์เป็นผู้บังคับบัญชา และก็มักจะมาร่วมกิจกรรมพบปะและบรรยายพิเศษเสมอๆ
จึงไม่แปลกที่ในงานเลี้ยงรับรองวันกองทัพอากาศเมื่อมีการถ่ายภาพหมู่นายกรัฐมนตรี นายภูมิธรรม กับผู้บัญชาการเหล่าทัพ น.ส.แพทองธาร จะพยายามเชิญ พล.อ.ทรงวิทย์ที่ยืนอยู่ริมไกลๆ มายืนใกล้ๆ แต่ พล.อ.ทรงวิทย์ก็ขอที่จะยืนอยู่จุดเดิม เพราะเกรงจะไปยืนแทรกระหว่างผู้ใหญ่
แต่ก็เป็นการสะท้อนว่า น.ส.แพทองธารดูจะคุ้นเคยกับ พล.อ.ทรงวิทย์มากที่สุด
โดยในงานนี้นายกรัฐมนตรี น.ส.แพทองธารได้กล่าวขอบคุณกองทัพอากาศที่เชิญมาร่วมงานและถือเป็นครั้งแรกที่ได้มาร่วมงานของกองทัพ ขอบคุณที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของกองทัพอากาศ
ขณะที่นายภูมิธรรมก็ยืนยันว่ารัฐบาลจะไม่กดดันให้กองทัพอากาศเปลี่ยนการตัดสินใจจากการจัดซื้อเครื่องบิน Gripen จากสวีเดน ไปซื้อ F16 block 70 เพื่อเอาใจสหรัฐ และใช้ในการต่อรองเพื่อลดกำแพงภาษี
“เราเป็นมิตรประเทศกัน ผมเชื่อว่าสหรัฐคงไม่กดดันเราถึงขนาดนั้น” นายภูมิธรรมระบุ
สําหรับ น.ส.แพทองธารแล้ว การได้เข้ามาใกล้ชิดทหาร รู้จักผู้บัญชาการเหล่าทัพมากขึ้น และได้เคยเข้ามาในกองทัพบก รวมถึงเวลาเดินทางไปต่างประเทศหรือต่างจังหวัด ก็จะไปขึ้นเครื่องที่ท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 ดอนเมืองของกองทัพอากาศ และนั่งเครื่องบินกองทัพอากาศอยู่เสมอ จึงทำให้ น.ส.แพทองธารคุ้นเคยกับทหารมากขึ้น
แม้ว่า น.ส.แพทองธารจะนั่งแต่เฮลิคอปเตอร์ของตำรวจเวลาลงพื้นที่ต่างจังหวัด และไม่เคยนั่งเฮลิคอปเตอร์ของทหารเลยก็ตาม
อีกทั้งตัว น.ส.แพทองธารเองก็รู้ดีว่ากองทัพในยุคปัจจุบันแตกต่างจากกองทัพในยุคที่มีการรัฐประหารนายทักษิณ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เพราะคนที่ทำรัฐประหารได้เกษียณราชการไปแล้ว และอำนาจในกองทัพก็ค่อยๆ ลดลง จนเข้าสู่ยุคของผู้บัญชาการเหล่าทัพชุดปัจจุบันที่ดูเป็นทหารยุคใหม่ มีความเป็นทหารอาชีพ
ที่สำคัญคือโครงสร้างอำนาจของขั้วอนุรักษนิยม เปลี่ยนแปลงไปแล้วจากอำนาจของบ้านสี่เสาเทเวศร์ ที่อัสดงไปพร้อมการจากไปของป๋าเปรม พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อดีตประธานองคมนตรี ที่รู้กันดีว่ายืนคนละข้างละขั้วกับนายทักษิณมาตลอด
โครงสร้างอำนาจในกองทัพปัจจุบัน แม้ยังอยู่ในเครือข่ายของ 3 ป. แต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของดีล จึงทำให้ภาพของกองทัพในปัจจุบันไม่น่ากลัวเหมือนสมัยของนายทักษิณและ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เพราะยืนคนละขั้วกับฝ่ายอนุรักษนิยม
จึงไม่แปลกที่ในยุคนี้นายทักษิณจึงกล้าพูดหลายครั้งว่าจะไม่มีการปฏิวัติรัฐประหารเกิดขึ้นอีกแล้ว เช่นเดียวกับในกองทัพก็รับรู้สัญญาณบางประการในการทำหน้าที่ของการเป็นทหารอาชีพที่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองเท่านั้น
ที่สำคัญคือเป็นรัฐบาลดีล ซึ่งในนั้นมีบิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อครั้งเป็นนายกรัฐมนตรี อยู่ในดีลนี้ด้วย ก็ย่อมพอจะอุ่นใจได้ว่าในยุคนี้การปฏิวัติรัฐประหาร น่าจะเกิดขึ้นได้ยาก หรือโอกาสเป็นศูนย์ เพราะเป็นที่รู้กันดีว่า น.ส.แพทองธารเป็นนายกรัฐมนตรีที่มีภูมิคุ้มกันดี
เช่นเดียวกับฝ่ายกองทัพผู้บัญชาการเหล่าทัพเองก็รู้ที่มาที่ไปของการจัดตั้งรัฐบาลผสมข้ามขั้วนี้เป็นอย่างดี กองทัพจึงมีหน้าที่เป็นผู้สนับสนุนและเป็นกลไกของรัฐบาลในการช่วยแก้ไขปัญหาต่างๆ
กลยุทธ์ในการประคับประคองรัฐบาลผสมให้แข็งแกร่งท่ามกลางเกมการเมืองและการต่อสู้ทางการเมืองไปสู่การเลือกตั้งในปี 2570
อาจทำให้ น.ส.แพทองธารต้องพึ่งกองทัพมากขึ้น และอาจจะได้เห็นความใกล้ชิดที่มากขึ้นด้วย
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022