บ่อแก้ว สมบัติพระจักรพรรดิราช ของรัชกาลที่ 3 ที่วัดนางนองฯ

ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ

วัดนางนองวรวิหาร ตั้งอยู่ริมคลองด่าน ย่านบางขุนเทียน ฝั่งธนบุรี กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นย่านเก่าของข้าหลวงเดิม ที่เกี่ยวข้องกับสายพระราชตระกูลในรัชกาลที่ 3 ก็มีวัดวางตัวอยู่ทั้งสองฟากข้างของลำคลอง โดยมีบางวัดที่เกี่ยวเนื่องกับพระราชประวัติในพระองค์อยู่ไม่มากก็น้อย รวมไปถึงวัดนางนองฯ ด้วย

มีข้อสันนิษฐานว่า ชื่อของวัดนางนองนี้ ได้มาจากการที่วัดตั้งอยู่ที่บริวเวณบางนอง หรือบางนางนอง (ส่วนจะเป็นชื่อไหนแน่นั้น ยังไม่เป็นที่ยุติ) อันเป็นบริเวณที่มีน้ำนอง ในบริเวณพื้นที่ย่านบางขุนเทียน ดังมีชื่อปรากฏอยู่ใน “กำสรวลสมุทร” (หรือที่มักเรียกกันอย่างเข้าใจผิดว่า กำสราลศรีปราชญ์) วรรณกรรมยุคกรุงศรีอยุธยา ที่แต่งขึ้นเมื่อราว พ.ศ.2000 ตามบทร้อยกรองที่ว่า

“มาดลบรรลุนอง ชลเนตร”

ความหมายของโคลงบาทข้างต้นนี้ก็คือ ผู้แต่งได้เดินทางมาถึงบางนอง หรือบางนางนอง โดยได้ใช้กวีโวหารเปรียบคำว่า “นอง” ในชื่อของสถานที่เข้ากับการน้ำตานองอยู่ที่นัยน์ตา โดยจะเห็นได้ว่าในโคลงไม่ได้กล่าวถึงวัดนางนอง

จึงทำให้เชื่อกันว่า ในสมัยนั้นยังไม่ได้มีการสร้างวัดแห่งนี้ขึ้นมา

 

ข้อสันนิษฐานดังกล่าวดูจะสอดคล้องกันดีกับโบราณวัตถุสถานที่ปรากฏอยู่ภายในบริเวณวัดในปัจจุบันนี้ ซึ่งแม้ว่าเกือบทั้งหมดจะถูกบูรณะปฏิสังขรณ์ ที่แทบจะเรียกได้ว่า เป็นการสร้างขึ้นใหม่โดยรัชกาลที่ 3

สิ่งที่น่าสนใจเป็นพิเศษเกี่ยวกับข้าวของต่างๆ ที่สร้างขึ้นโดยพระราชดำริของรัชกาลที่ 3 ภายในวัดนางนองฯ นี้ก็คือ ล้วนแต่เป็นเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับคติเรื่อง “พระจักรพรรดิราช” ซึ่งก็คือความเชื่อเรื่องราชาเหนือราชาทั้งหลายในสกลจักรวาล ตามปรัมปราคติในพุทธศาสนา

โดยจะเห็นได้ชัดเจนก็จากพระพุทธรูปประธานภายในพระอุโบสถของวัด อันเป็นสิ่งปลูกสร้างประธานภายในวัดนางนองฯ แห่งนี้ด้วยนะครับ

พระพุทธรูปประธานภายในพระอุโบสถ เป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องอย่าง “จักรพรรดิราช” ล้อมรอบด้วยภาพจิตรกรรมภายในอีกหลายๆ อย่าง ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเดียวกันกับคติจักรพรรดิราชทั้งหมด

เฉพาะภาพจิตรกรรมฝาผนังภายในแบ่งออกเป็นสองส่วน คือ ภาพเขียนระหว่างช่องหน้าต่าง และภาพเขียนที่ส่วนเหนือกรอบหน้าต่าง

ภาพเขียนส่วนเหนือกรอบหน้าต่างเขียนเรื่อง พระพุทธเจ้าเนรมิตพระองค์เป็นพระจักรพรรดิราชทรมานท้าวชมพูบดี ตามเรื่องราวในชมพูบดีวัตถุ (หรือที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า มหาชมพูบดีสูตร) ที่เล่าถึงท้าวมหาชมพู ผู้ครองมหานครใหญ่ที่ชื่อ นครปัญจาละ พรั่งพร้อมไปด้วยอิสริยยศและบริวารยศ หาผู้ได้ในชมพูทวีปเสมอเหมือนไม่ได้ จึงสำคัญพระองค์ผิดว่าไม่มีใครสามารถสู้รบกับพระองค์ อยู่มาวันหนึ่งพระองค์ทอดพระเนตรเห็นกรุงราชคฤห์เจริญรุ่งเรืองยิ่ง ก็หมายจะสำแดงอิทธิฤทธิ์บังคับให้พระเจ้าพิมพิสารตกอยู่ใต้อำนาจของพระองค์

แต่ก็ไม่สำเร็จด้วยพุทธานุภาพของพระพุทธเจ้าคุ้มครองไว้

 

พระพุทธเจ้าทรงเห็นเหตุดังนั้นก็หมายจะทรมานท้าวชมพูบดีให้สิ้นฤทธิ์ จึงเนรมิตพระองค์เป็น “พระจักรพรรดิราช” คือราชาเหนือราชาทั้งปวง เนรมิตวัดเวฬุวันวิหารให้เป็นพระนครหลวง ให้พระอินทร์จำแลงกายเป็นราชทูตไปทูลเชิญแกมบังคับให้ท้าวชมพูบดีมาเข้าเฝ้า

เมื่อท้าวชมพูบดีได้ทอดพระเนตรเห็นนครของพระจักรพรรดิราชมั่งคั่งสมบูรณ์กว่าพระองค์ ได้เข้าเฝ้าและทรงสดับพระราชบริหารต่างๆ ก็ละมิจฉาทิฐิยอมแพ้แก่ฤทธิ์ของพระจักรพรรดิราช พระพุทธองค์จึงคลายฤทธิ์ให้ท้าวชมพูบดีเห็นพระสรีระที่แท้จริง และแสดงธรรมเทศนาจนท้าวชมพูบดีบรรลุเป็นพระอรหันต์

ที่สำคัญก็คือเรื่องเล่าของท้าวมหาชมพูที่ว่านี้ ก็ถูกวาดไว้บนฝาผนังส่วนเหนือกรอบบานประตูและบ้านหน้าต่างทั้ง 4 ด้านภายในพระอุโบสถ ที่วัดนางนองฯ แถมที่ผนังด้านหลังของพระพุทธรูปองค์นี้ ยังเขียนเป็นรูปท้าวหาชมพูบดีเข้าเฝ้าพระจักรพรรดิราชที่มีสีทอง ราวกับจะฉายภาพขยายออกมาจากงานจิตรกรรมว่า

ผู้ที่เข้ามาสักการะพระพุทธรูปองค์นี้ เปรียบได้กับท้าวมหาชมพูบดี ที่เข้ามากราบกรานศิโรราบต่อพระจักรพรรดิราชนั่นเอง

ลายลงรักปิดทองรูป “บ่อแก้ว” แก้วมณีโชติของพระจักรพรรดิราช ที่พระอุโบสถวัดนางนองฯ

นอกจากนี้แล้ว ลวดลายประดับส่วนอื่นๆ ภายในพระอุโบสถหลังนี้ก็ล้วนแล้วแต่เกี่ยวของกับเรื่องราวของความเป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ ดังจะเห็นได้จากลวดลายที่ประดับอยู่ตรงพื้นที่ส่วนระหว่างกรอบหน้าต่างซึ่งเป็นภาพกำมะลอ (ลายลงรักประดับสี) เล่าเรื่อง “สามก๊ก” ที่ตัดตอนมาเฉพาะตั้งแต่ที่เล่าปี่เริ่มมีบทบาทสำคัญพอจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุคสมัย เรื่อยไปจนกระทั่งจบลงที่ชัยชนะเหนือโจโฉ

แสดงให้เห็นถึงการคัดสรรเรื่องเล่าที่แสดงถึงเกียรติคุณของเล่าปี่เป็นการเฉพาะ ซึ่งยิ่งชวนให้นึกถึงพระราชนิยมในรัชกาลที่ 3 ที่มีต่อวัฒนธรรมจีน อย่างที่รู้ๆ กันดีอยู่แหละครับ

(มีเฉพาะที่ผนังหุ้มกลองทั้งสองด้านระหว่างบานประตู เขียนภาพลายมงคลอย่างจีน คือภาพนกกระเรียนที่ด้านหลังของพระประธาน และภาพฮก ลก ซิ่ว ที่ผนังหุ้มกลองด้านหน้าพระประธาน)

ส่วนที่บานหน้าต่าง บานประตู ภายในพระอุโบสถ ยังประดิษฐ์เป็นลวดลายลงรักปิดทอง รูปเครื่องราชูปโภคทั้งหลาย

แต่มีเฉพาะที่กรอบประตูทางเข้าด้านนอกของพระอุโบสถ มีลายลงรักปิดทองเรื่องกำเนิดรัตนชาติ ทั้งหมดล้วนสอดคล้องกับคติเรื่องพระจักรพรรดิราชอย่างน่าสนใจอย่างมากทีเดียวเลย

เพราะตามปรัมปราคติในพระพุทธศาสนาระบุเอาไว้ว่า “พระจักรพรรดิราช” มีแก้ววิเศษทั้งเจ็ดประการ อันได้แก่ จักรแก้ว, ช้างแก้ว, ม้าแก้ว, รัตนะ (หรือที่ในอุษาคเนย์เรียกอย่างจำเพาะเจาะจงลงไปว่า แก้วมณีโชติ), ขุนคลังแก้ว และขุนพลแก้ว โดยแก้วแต่ละประการก็มีคุณลักษณะวิเศษแตกต่างกันไป

เฉพาะในคติของไทย มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับกำเนิดของแก้วรัตนะ อันเป็นสมบัติของพระจักรพรรดิราช และรัตนชาติทั้งหลาย อยู่ใน “ตำรานพรัตน์” ดังมีใจความว่า

“อันว่า รัตนชาติทั้งหลายมีสีดำแลสีแดงแลมีสีต่างๆ ซึ่งวิเศษมากกว่า แก้วเก้าประการนี้มีเปนอันมาก ย่อมบังเกิดในที่แทบเชิงเขาพระเมรุบรรพต และเกิดในที่ท้องพระมหาสมุท และเกิดในที่เขาวิบูลบรรพต และเกิดในป่าหิมพานต์ และบังเกิดด้วยอำนาจเทวฤทธิ์ และบังเกิดในบ่อแก้วทั้งหลายในแดนมนุษย์ด้วยอำนาจบุญฤทธิ์แห่งกษัตริย์ทั้งหลาย มีสมเด็จพระบรมจักตราธิราช (คือพระจักรพรรดิราช=ผู้เขียน) เปนอาทิ รัตนชาติทั้งหลายก็มปรากฏมีมาคุ้มเท่าทุกวันนี้” (อักขรวิธีตามต้นฉบับ)

ลายลงรักปิดทองเรื่องกำเนิดรัตนชาติที่พระอุโบสถวัดนางนองฯ จึงเป็นเหมือนการจำลอง “บ่อแก้ว” อันเป็นที่กำเนิดของแก้วมณีโชติ สมบัติของพระจักรพรรดิราช นั่นแหละ

 

ที่สำคัญก็คือ มีหลักฐานด้วยว่า “รัชกาลที่ 3” เองนั้น ก็เชื่อว่าพระองค์เองเป็น “พระจักรพรรดิราช” ซ้ำยังทรงเชื่อว่าพระองค์ได้ครอบครองแก้วของพระจักรพรรดิราชไว้ถึง 5 ประการ ซึ่งก็รวมไปถึง “บ่อแก้ว” ด้วยนะครับ

หลักฐานอยู่ในพระราชปุจฉาของรัชกาลที่ 3 ฉบับหนึ่ง ที่ ก.ศ.ร. กุหลาบ ได้บันทึกเก็บความเอาไว้ โดยมีใจความว่า เมื่อครั้งที่พระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าวิลาส กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ เสียชีวิตนั้น รัชกาลที่ 3 ก็เสียใจโทมนัสเป็นอย่างยิ่ง จนถึงกับตั้งพระบรมราชปุจฉาในที่ประชุมพระสงฆ์ราชาคณะ เถรานุเถระ 60 รูป โดยมีใจความตอนหนึ่งว่า

“โยมมีเบญจพละ 5 ประการ คือ 1.มีบ่อแก้ว 2.มีช้างแก้ว 3.มีนางแก้ว 4.มีขุนพลแก้ว 5.มีขุนคลังแก้ว

1. ที่โยมว่ามีบ่อแก้วนั้นคืออ้ายภู่ (หมายถึง พระยาราชมนตรี ซึ่งมีชื่อเดิมว่า “ภู่” เป็นข้าหลวงเดิมในรัชกาลที่ 3 และเป็นต้นสกุล ภมรมนตรี-ผู้เขียน)

2. ที่โยมว่ามีช้างแก้วนั้นคือ พระยาช้างเผือกของปู่และบิดาของโยมเอง

3. ที่โยมว่ามีนางแก้วนั้นคือ โยมมีพระราชธิดาพระองค์ 1 ทรงนามว่า พระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าวิลาส กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ เป็นพระราชธิดาเสน่หาอเนกผลของพระราชบิดา

4. ที่โยมว่ามีขุนพลแก้วนั้นคือ พี่บดินทรเดชา (หมายถึง เจ้าพระยาบดินทรเดชา [สิงห์ สิงหเสนี])

5. ที่โยมว่าขุนคลังแก้วนั้นคือ เจ้าศรีทองเพ็ง (หมายถึง พระยาศรีสหเทพ ต้นตระกูล ทองเพ็ง)

 

แก้ว 5 ประการ ที่รัชกาลที่ 3 เรียกว่า “เบญจพละ” นั้น ก็คือสิ่งที่มีที่มาจากสมบัติเฉพาะแห่งพระจักรพรรดิราชนั่นแหละครับ โดยจะเห็นได้ว่า ในจำนวนแก้ววิเศษนั้น มีอะไรที่เรียกว่า “บ่อแก้ว” รวมอยู่ด้วย

ถึงแม้ว่า ในพระราชปุจฉาจะระบุว่า “บ่อแก้ว” คือ “พระยาราชมนตรี (ภู่)” แต่ถ้าจะว่ากันตามรูปศัพท์ที่ระบุอยู่ในตำรานพรัตน์ ซึ่งกล่าวถึงแก้วรัตนชาติ และพระจักรพรรดิราช ดังนั้น บ่อแก้วในพระราชปุจฉานี้ จึงน่าจะหมายถึง แก้วมณีโชติ อันเป็นสมบัติของพระจักรพรรกิราช ซึ่งมีการจำลองเอาไว้อยู่ในลายลงรักปิดทองที่พระอุโบสถวัดนางนองฯ นี้เอง

ส่วนเรื่องของพระยาราชมนตรี (ภู่) นั้น อาจเป็นความเปรียบหรืออย่างไร ผมก็ยังนึกหาคำตอบไม่ได้ในขณะนี้

รู้ก็แค่ว่า พระอุโบสถวัดนางนองฯ นี้ มีความเกี่ยวข้องกับคติเรื่องความเป็นพระจักรพรรดิราชอย่างลึกซึ้ง แถมยังมีการจำลองสมบัติเฉพาะตนของพระจักรพรรดิราชอย่าง “บ่อแก้ว” อันเป็นหนึ่งใน “เบญจพละ” ที่รัชกาลที่ 3 ทรงครอบครองเอาไว้เท่านั้นแหละครับ •

 

On History | ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ