แก้กฎหมาย อุ้มครูล้มละลาย ทางออกแก้ปัญหาหนี้ครู ??

หนี้สินครูและบุคลากรทางการศึกษา ยังคงเป็นปัญหาที่แก้ไม่ตก ล่าสุด ที่ประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายการแก้ไขปัญหาหนี้สินครูและบุคลากรทางการศึกษา ของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ที่มี นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการ ศธ. เป็นประธาน ได้มีการหารือ และมีมติที่น่าสนใจหลายเรื่อง…

ทั้งการแก้ไขระเบียบ ศธ.ว่าด้วยการพิจารณาความสามารถในการชำระหนี้ของข้าราชการครูและบุคลากรในสังกัด ที่ประสงค์ใช้สิทธิในการกู้เงินหรือขอสินเชื่อจากสหกรณ์หรือสถาบันการเงิน พ.ศ.2551 ซึ่งแม้ว่าระเบียบฉบับนี้จะเป็นระเบียบที่ดี แต่ศาลปกครองสูงสุดมีคำตัดสินระบุว่าระเบียบดังกล่าว มีข้อขัดแย้งกับ พ.ร.บ.สหกรณ์ (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2562

ดังนั้น ที่ประชุมจึงมีมติปรับแก้ไขระเบียบดังกล่าวใหม่ให้เป็นปัจจุบัน และสอดคล้องกับ พ.ร.บ.สหกรณ์ฯ โดยต่อไปผู้ที่ต้องการจะกู้เงินจากสถาบันการเงินต่างๆ จะต้องไปเช็กเครดิตก่อนว่ามีการกู้เงินซ้ำซ้อนจากแหล่งเงินกู้ใดหรือไม่ เพราะเรื่องเครดิตเป็นสิทธิส่วนบุคคล เพื่อให้ผู้บังคับบัญชาได้พิจารณาอนุมัติปล่อยกู้ เพื่อให้รู้ศักยภาพของตัวเองว่ามีกำลังชำระหนี้ได้มากน้อยแค่ไหน

ไม่ใช่กู้จนเป็นหนี้สินเกินตัว ที่สำคัญจะได้มีเงินเดือนเหลือใช้เพียงพอ!!

 

นอกจากนี้ ติดตามประเด็นกฎหมายล้มละลาย เพื่อหาช่องทาง เปิดโอกาสให้กลุ่มข้าราชการและบุคลากรทางการศึกษาที่เมื่อถูกฟ้องล้มละลาย ไม่ต้องถูกให้ออกจากราชการ เนื่องจากเป็นคดีแพ่ง ไม่ใช่คดีทุจริต สามารถมีหลักค้ำประกันได้ ซึ่งประเด็นนี้อยู่ระหว่างการจัดทำประชาพิจารณ์และรับฟังความเห็นอยู่ เมื่อได้ข้อสรุปที่ชัดเจนแล้ว จะเสนอให้ พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการ ศธ. นำเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)

นายสุรศักดิ์ระบุถึงความจำเป็นที่ต้องแก้ไขเรื่องนี้ว่า เพราะมีครูส่วนหนึ่งกำลังจะถูกฟ้องล้มละลายจากธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ดังนั้น ที่ประชุมจะทำหนังสือไปถึง ธอส.ขอให้ชะลอการฟ้องล้มละลายออกไปก่อน เพื่อกันครูให้ได้รับสิทธิ ไม่ต้องถูกให้ออกจากราชการ…

คำถามที่ตามมาคือ หากเปิดช่องให้ครูที่ถูกฟ้องล้มละลายไม่ต้องออกจากราชการแล้ว จะส่งผลไปถึงข้าราชการส่วนอื่นๆ ด้วยหรือไม่

ที่สำคัญอาจทำให้ครูไม่กังวลที่จะก่อหนี้เพิ่ม เพราะเมื่อถึงที่สุดแล้ว ก็จะมีหน่วยงานเข้ามาโอบอุ้ม!!

เช่นเดียวกับความคิดเห็นของ นายอดิศร เนาวนนท์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา และนักวิชาการทางการศึกษา ที่มองว่า หากมีการปรับแก้ให้ครูถูกฟ้องล้มละลาย ไม่ต้องออกจากราชการ อาจกระทบในภาพกว้าง เพราะข้าราชการไม่ได้มีแค่ครูเท่านั้น และการให้ข้าราชการที่ล้มละลาย ต้องออกจากราชการ เนื่องจากตามกฎหมายเห็นว่า บุคคลล้มละลายอาจมีภาระอื่นๆ ทำให้ไม่สามารถช่วยเหลือตนเอง จนกระทบต่อการปฏิบัติงาน

“แนวคิดที่ให้ครูล้มละลายไม่ต้องออกจากราชการ เพื่อไม่ให้กระทบการเรียนการสอนนั้น ก็ถือเป็นการเปิดโอกาส แต่แม้ให้ทำหน้าที่สอนต่อได้ แต่คนที่เป็นหนี้ถึงขั้นล้มละลาย ก็จะไม่มีสมาธิในการทำงาน เพราะต้องหาเงินเพื่อชำระหนี้ ทำให้มีเวลาเตรียมการสอนน้อยกว่าครูกลุ่มปกติ ซึ่งถ้ามองว่าเป็นการให้โอกาสก็สามารถทำได้ แต่ถ้าทำงานต่อไปแล้วมีผลกระทบจนทำให้ถูกร้องเรียน ก็อาจถูกให้ออกจากราชการได้เช่นกัน เพราะยังมีระเบียบและกฎหมายอื่นๆ กำกับดูแลการทำงาน”

“ที่สำคัญจะส่งผลกระทบต่อภาพกว้าง ทำให้ข้าราชการอื่นๆ ตั้งคำถามกลับมาว่าทำไมครูถึงได้สิทธิพิเศษ ส่งผลให้เกิดทัศนคติด้านลบต่อวิชาชีพครู ดังนั้น หาก ศธ.อยากขับเคลื่อนเรื่องนี้อย่างจริงจังควรจะมีการหารือกับสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) รวมถึงหารือกับข้าราชการส่วนอื่นๆ ด้วย อย่ามองเฉพาะในส่วนรับผิดชอบเท่านั้น” นายอดิศรกล่าว

ส่วนที่จะเข้าไปพูดคุยกับธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เพื่อชะลอการฟ้องล้มละลายของครูนั้น ถือเป็นเรื่องที่ดี แต่คงไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ เพราะต่อให้มีการชะลอการฟ้องล้มละลายออกไป แต่ครูยังไม่สามารถชำระหนี้ได้ สุดท้ายปัญหาก็จะวนกลับมาสู่การถูกฟ้องอยู่ดี

ซึ่งผู้ที่แก้ปัญหาหนี้ได้ดีที่สุดคือตัวของผู้กู้เอง

 

แนวทางทั้งหมดนี้ ในภาพรวมเข้าใจเจตนาดีของ ศธ. ที่ต้องการช่วยเหลือครูที่ได้รับความเดือดร้อนจากการเป็นหนี้สินล้นพ้นตัว ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี เพื่อให้มีสมาธิในการสอน

แต่คงต้องย้อนกลับไปดูที่ต้นเหตุ เพราะหนี้ที่เกิด ก่อขึ้นด้วยตัวครูเอง และที่สำคัญข้าราชการทั่วประเทศ และอาชีพที่ต้องการความช่วยเหลือเรื่องหนี้สินไม่ได้มีเฉพาะครูเท่านั้น!!

ดังนั้น การ “อุ้มครู” โดยให้สิทธิพิเศษใดมากกว่าคนอื่น นอกจากจะทำให้ครูเคยชินกับการได้รับความช่วยเหลือแล้ว ยังส่งผลถึงภาพลักษณ์ ซึ่งที่ตั้งใจยกให้ครูเป็นวิชาชีพชั้นสูง ถูกมองในแง่ลบ…

ทางออกที่ดีที่สุดของปัญหานี้ หนีไม่พ้นผู้ก่อ ต้องแก้ด้วยตัวเอง สร้างวินัยทางการเงินไม่ก่อหนี้จนล้นพ้นตัว เป็นดีที่สุด!! •

 

| การศึกษา