สุวรรณภูมิ-ทวารวดี [24] วรรณกรรมไทยสมัยแรก

ภาษาไทย (ภาษาพูด) มีอำนาจทางการเมืองและการค้าในรัฐอโยธยาช่วงเวลาหนึ่ง จึงมีวรรณกรรมภาษาไทยเป็นลายลักษณ์อักษร แต่พบหลักฐานไม่มากเหลือตกทอดถึงปัจจุบัน ส่วนที่พบมากคือวรรณกรรมรัฐอยุธยา

วรรณกรรมไทยสมัยแรกยังไม่มีอักษรไทย ต้องเขียนเป็นภาษาไทยด้วยอักษรเขมร หรืออักษรขอม เรียก “ขอมไทย”

อักษรมิได้เกิดจากปาฏิหาริย์การประดิษฐ์คิดค้นของใครคนใดคนหนึ่งเพียงคนเดียว และเป็นไปไม่ได้ที่ตัวอักษรจะถูกประดิษฐ์ดังเนรมิตสำเร็จในปีหนึ่งปีใดเพียงปีเดียว แต่อักษรไทยต้องเกิดจากความจำเป็นอย่างใดอย่างหนึ่งในสังคม ด้วยพลังผลักดันของอำนาจการเมืองเป็นระยะเวลายาวนานมากก่อนเป็นอักษรไทย โดยวิธีดัดแปลงจากอักษรที่มีอยู่ก่อนและใช้กันมาก่อนอย่างคุ้นเคย

อักษรไทย คือ อักษรเขมร ที่ถูกทำให้ง่ายด้วยอักขรวิธีที่ง่ายที่สุดในบรรดาตัวอักษรที่ใช้กันอยู่ในภูมิภาคอุษาคเนย์ภาคพื้นทวีปทั้งในอดีตและปัจจุบัน เพราะถูกพัฒนาขึ้นสำหรับคนที่ไม่ได้พูดภาษาไทยเป็นภาษาแม่

สมัยแรกใช้เขียน (ตวัดหาง) บนสมุดข่อย หลังจากนั้นจึงมีผู้ปรับปรุงใช้สลักหินด้วยตัวเหลี่ยมมนในบ้านเมืองตอนบนของลุ่มน้ำเจ้าพระยา

“ขอมไทย” ถูกใช้อย่างคุ้นเคยอยู่นานมาก ซึ่งบอกไม่ได้ว่านานเท่าไร? อาจเป็นร้อยปี หรือมากกว่านั้น (ระหว่าง พ.ศ.1600-1900) ครั้นถึงช่วงเวลาหนึ่งเมื่ออำนาจของภาษาและวัฒนธรรมของคนพูดภาษาไทยมีมากขึ้น จึงปรับปรุงอักษรเขมร (และอาจมีอักษรมอญกับอักษรอื่นๆ ด้วย) เพื่อใช้ถ่ายเสียงภาษาไทยที่พูดในชีวิตประจำวัน แล้วเรียกต่อมาสมัยหลังว่า “อักษรไทย”

 

วรรณกรรมเก่าสุด

เก่าสุด (ขณะนี้) คือกฎหมายลักษณะเบ็ดเสร็จ เป็นวรรณกรรมไทยสำนวนเก่ามากสมัยอโยธยา ราว พ.ศ.1778 (ในต้นฉบับกฎหมายลงศักราช 1156 ปีมะแม) หรือ 115 ปีก่อนสถาปนากรุงศรีอยุธยา โดยได้จากการคำนวณของ จิตร ภูมิศักดิ์ ในหนังสือ สังคมไทยลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาก่อนสมัยศรีอยุธยา (สำนักพิมพ์ไม้งาม พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ.2526 หน้า 45-47)

คำว่า “เบ็ดเสร็จ” ในชื่อกฎหมายลักษณะเบ็ดเสร็จ ตรงกับคำปัจจุบันว่าเบ็ดเตล็ด หมายถึงกฎหมายหลายเรื่องต่างๆ กันที่นำมารวมไว้ด้วยกัน และไม่อาจให้ความสำคัญเรื่องใดเรื่องหนึ่งได้ถนัด เพราะเป็นเรื่องย่อยๆ ทั้งนั้น

โองการแช่งน้ำ วรรณกรรมร้อยกรองเก่าสุดด้วยคำประพันธ์ฉันลักษณ์ ประกอบด้วย (1.) กลอนร่าย ซึ่งเป็นต้นแบบฉันทลักษณ์ปัจจุบันเรียกร่าย และ (2.) กลอนลำ ซึ่งเป็นต้นแบบฉันทลักษณ์ปัจจุบันเรียกโคลง ได้แก่ โคลงสอง, โคลงสาม, โคลงสี่, โคลงดั้น เป็นต้น (ข้อมูลทั้งหมดสรุปจากหนังสือ โอการแช่งน้ำ ของ จิตร ภูมิศักดิ์ พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ.2524)

ทวาทศมาส, กำสรวลสมุทร, ยวนพ่าย เป็นวรรณกรรมร้อยกรองโคลงดั้น 3 เรื่องเพื่อผนึกปึกแผ่นทางการเมืองและวัฒนธรรมของรัฐอยุธยาตอนต้น เรือน พ.ศ.2000

โคลงดั้น หมายถึง โคลงที่ส่งสัมผัสลัดเลาะด้นดั้นไปทั้งสัมผัสระหว่างวรรคและสัมผัสระหว่างบท (ด้วยลีลาทระนงองอาจดุจทศกัณฐ์ซึ่งเป็นตัวเอกของโขน)

โคลงดั้นมีต้นตอจากกลอนลำสำหรับใช้ทั่วไปในงานมหรสพ เช่น หมอลำ (คู่กับหมอแคน) เป็นต้น

ส่วนโคลงต่างๆ ได้แก่ โคลงสอง, โคลงสาม, โคลงสี่, โคลงห้า และโคลงดั้น เหล่านี้มีพัฒนาการจากคำคล้องจองของตระกูลภาษาไท-ไต บริเวณโซเมียซึ่งเป็นหลักแหล่งของจ้วง-ผู้ไท (ช่วงเวลาไล่เลี่ยกันนี้ที่รัฐล้านนามีโคลงสี่ แต่งเรื่องหริภุญชัย เรียกต่อมาว่านิราศหริภุญชัย)

การแต่งหนังสือสมัยโบราณโดยเฉพาะเมื่อเริ่มมีอักษรไทยเป็นงานเพื่อพิธีกรรมถวายกษัตริย์ ถ้าเป็นที่โปรดปรานก็ได้ความดีความชอบเป็นพิเศษ แล้วรับผลประโยชน์เต็มเม็ดเต็มหน่วย ซึ่งโอกาสอย่างนี้มีไม่มาก ดังนั้น ไม่ใช่แต่งตามอำเภอใจสนองสำนึกปัจเจกเพื่ออ่านกันเองซึ่งสมัยนั้นยังไม่มี เพราะคนส่วนมากหรือเกือบทั้งหมดเขียนไม่ได้ อ่านไม่ออก

ผู้แต่งหนังสือทั้งร้อยแก้วและร้อยกรองเป็นนักบวชหรือนักปราชญ์ข้าราชการประจำราชสำนัก เช่น โหราธิบดี, มหาราชครู เป็นต้น (แม้มีคำว่า “กวี” แต่ไม่เรียกผู้แต่งเหล่านี้ว่ากวีเหมือนวัฒนธรรมตะวันตก และไม่เคยมีอาชีพกวีแต่งกลอนขายเลี้ยงชีพเหมือนวัฒนธรรมตะวันตก)

คนทั่วไป “เขียนไม่ได้ อ่านไม่ออก”

สมุดข่อยวรรณกรรมไทยสมัยแรกสร้าง น่าจะมีชุดเดียวเก็บไว้ใน “หอหลวง” (หอสำหรับรักษาสมุดข่อยของราชสำนัก) โดยอนุญาตให้คัดลอกใช้งานพิธีกรรมในราชสำนัก

วรรณกรรมครั้งนั้นไม่ได้มีเพื่ออ่านคนเดียวในใจอย่างสังคมสมัยใหม่ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ และที่สำคัญคนทั่วไปในสังคมสมัยนั้น “เขียนไม่ได้ อ่านไม่ออก” แต่มีเพื่อพิธีกรรมทางการเมืองการปกครอง ซึ่งชนชั้นนำอ่านออกเขียนได้ร่วมกันสร้างไว้เป็นข้อกำหนดบทบัญญัติอย่างหนึ่ง ส่วนอีกอย่างหนึ่งเพื่ออ่านออกเสียงป่าวประกาศถ้อยคำขลังและศักดิ์สิทธิ์ตามประเพณี

ชนชั้นนำรู้หนังสือไม่เสมอกัน เพราะบางคนหรือหลายคนเขียนไม่ได้ อ่านไม่ออก เนื่องจากระบบการเรียนการสอนไม่มีเป็นทางการและที่มีก็ไม่เป็นที่รับรู้กว้างขวางทั่วไปอย่างปัจจุบัน ดังนั้น การรับรู้วรรณกรรมไม่เป็นสาธารณะ

สามัญชนชาวบ้านทั่วไปเขียนไม่ได้ อ่านไม่ออก จึงไม่รู้จักและไม่เข้าใจวรรณกรรมของชนชั้นนำที่เป็นลายลักษณ์อักษร แต่ถ้าจะรู้บ้างในบางเรื่องก็รู้จากฟัง “สวด” หรือฟังคำบอกเล่าปากต่อปากตกทอดต่อๆ กันมา

“สวด” หมายถึงเล่านิทานทั้งชาดก และ “ไม่ชาดก” ด้วยการอ่านเป็นทำนองเสนาะอย่างหนึ่งซึ่งชาวบ้านบางกลุ่มเรียก “ลำสวด” กล่าวคือ ผู้รู้หนังสือหรือผู้คงแก่เรียนทำหน้าที่อ่านหนังสือหรือเล่าเรื่องเป็นทำนองอย่างหนึ่งให้ผู้ไม่รู้หนังสือ (คือ ประชาชนชาวบ้านทั่วไป) ได้ฟังอย่างเพลิดเพลิน

วรรณกรรมชาวบ้านเป็นคำบอกเล่ามีหลายพันปีแล้วก่อนหน้านั้น ทำให้บางเรื่องถูกลืมเกือบหมด แต่หลายเรื่องยังอยู่ในความทรงจำสืบมา และนอกจากนั้นอาจมีเรื่องเล่าเพิ่มเติมแต่ไม่ได้บันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร

การรับรู้ของชาวบ้านในเรื่องราววรรณกรรมเหล่านั้นไม่ได้มาจากการอ่าน แต่มาจากกิจกรรม “ตาดู หูฟัง” โดยผ่านการบอกเล่าปากต่อปาก (รวมกิจกรรมสวด, เทศน์ของพระสงฆ์) และการละเล่น ได้แก่ เพลงโต้ตอบแก้กัน, ละครชาวบ้าน (คือ เล่นเพลงเรื่อง ซึ่งไม่ใช่ละครชาตรี และไม่ใช่ละครนอกอย่างที่เข้าใจในปัจจุบัน), เพลงร้องเล่น (แต่มักเรียกเพลงกล่อมเด็ก) และเพลงกล่อมเด็ก ฯลฯ •

 

| สุจิตต์ วงษ์เทศ