แผนปฏิรูปประเทศส้ม-น้ำเงิน | คำ ผกา

คำ ผกา

คำ ผกา

 

แผนปฏิรูปประเทศส้ม-น้ำเงิน

 

ประชาธิปไตยคืออะไรกันแน่?

ฉันคิดว่าเราต้องมาทบทวนเรื่องนี้เป็นครั้งที่ล้านหลังจากที่ ส.ส.จากพรรคประชาชนอย่างน้อยสองคนคือ ปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล กับ วรรณนิภา ไม้สน เปรยออกมาผ่านโซเชียลมีเดียในทำนองว่า มันจะอันตรายมากหากเราปล่อยให้เสียงข้างมากคือความถูกต้อง

ก่อนอื่นเรามาทบทวนกันเถอะว่า ประชาธิปไตยเกิดขึ้นมาจากการที่สังคมในโลกนี้ตระหนักแล้วว่า เราจะยุติความขัดแย้งของคนหมู่มากด้วย “เสียงข้างมาก” เพราะเวลาคนหลายล้านคนอยู่ด้วยกัน ย่อมมีผลประโยชน์ที่ขัดกัน มีความฝันแตกต่างกัน มีเป้าหมายในชีวิตต่างกัน ต้องการอยู่และต้องการตายคนละแบบ

ทำอย่างไรให้ความแตกต่างนี้อยู่ด้วยกันได้โดยไม่ฆ่ากันให้ตายไปข้างหนึ่ง

สังคมจึงคิดเครื่องมือที่เรียกว่าประชาธิปไตยขึ้นมา นั่นคือเราจะยุติความขัดแย้งกันด้วยการ

“เคารพเสียงข้างมาก”

 

พร้อมๆ กับเคารพเสียงข้างมาก เราก็ต้องมีกลไกไม่ทำให้เสียงข้างมากที่มีอำนาจนั้นกดขี่บีฑาคนอื่นด้วย เครื่องมือสำคัญอันหนึ่งคือการกำหนดให้เสียงข้างมากนั้นได้ครองอำนาจในเวลาที่ถูกจำกัดเอาไว้ เช่น มีอำนาจแค่สี่ปีเท่านั้น และสี่ปีนี้ต้องไม่เกินกว่าสองสมัย เป็นต้น

ระบบรัฐสภา ที่มีฝ่ายค้าน มีวุฒิสภา ทำหน้าที่นิติบัญญัติ ถ่วงดุลกับฝ่ายบริหาร มีฝ่ายตุลาการ เหล่านี้เรียนกันมาตั้งแต่ ป.สาม ป.สี่ ไม่ต้องพูดซ้ำ

มิพักต้องขยายความต่อว่าตลอดระยะเวลาสองร้อยปีแห่งชีวิตของประชาธิปไตยนั้น มันก็ขยันหาเครื่องมือใหม่ๆ มาเติมเต็มตัวมันเองเสมอ และมีหลายรูปแบบให้เอาไปเลือกใช้ เช่น จะใช้ระบบประธานาธิบดี จะใช้ระบบสหพันธรัฐ จะใช้ระบบรัฐสภาแบบมีพระมหากษัตริย์ หรือจักรพรรดิ เป็นประมุข ในรูปแบบของระบบรัฐสภา ก็มีรายละเอียดปลีกย่อยไปอีก

เช่น เมื่อสังคมเล็งเห็นความไม่น่าไว้วางใจและการสืบทอดอำนาจของกลุ่มการเมือง กลุ่มทุนต่างๆ มันขยันส่งนอมินีมาสืบทอดอำนาจกันจังเลย ก็ประดิษฐ์เครื่องมืออย่างการมีองค์กรอิสระ มีศาลรัฐธรรมนูญ มี กกต.

เครื่องมือทางการเมืองเหล่านี้ในบางประเทศก็ช่วยทำให้ประชาธิปไตยเข้มแข็ง ปกป้องสิทธิของคนตัวเล็กตัวน้อย คนชายขอบได้จริง

เช่น ศาลรัฐธรรมนูญของอินเดียก็คานอำนาจรัฐบาลได้อย่างดี หรือเคสเยอรมนีก็เป็นที่เคารพยกย่องในระบบแบบเยอรมนีที่ต้องหมายเหตุอีกว่าเขาเป็นสหพันธรัฐ

แต่องค์กรอิสระหรือกลไกตุลาการภิวัฒน์เหล่านี้ในบางประเทศกลับไปบ่อนทำลายความเข้มแข็งของประชาธิปไตย เป็นเครื่องมือทำลายความเข้มแข็งของพรรคการเมือง เช่น ในประเทศไทยและประเทศกัมพูชา เป็นต้น

เพราะทำให้เกิดการยุบพรรคกันเป็นว่าเล่น

และส่งผลในเชิงวัฒนธรรมและอุดมการณ์ที่บั่นทอนประชาธิปไตยในระยะยาวนั่นคือ สร้างวาทกรรมให้คนเชื่อว่า การเมืองเท่ากับความเลวทรามต่ำช้า และอะไรก็ตามที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเมืองย่อมปราศจากผลประโยชน์จึงเท่ากับความดี

ผลที่ลงลึกในระดับวัฒนธรรม ทำให้ประเทศเหล่านี้มีแนวโน้มชื่นชมคนที่เป็น “นักมนุษยธรรม” ผู้ทำการกุศล เหนือนักการเมืองที่พยายามประสานผลประโยชน์ และสร้างความเปลี่ยนแปลงผ่านนโยบาย และการเจรจาหาจุดลงตัวระหว่างกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ

นอกจากนี้ ประชาธิปไตยยังมีกลไกปกป้องตัวเอง เพื่อมิให้ล่มสลายลงเพราะ “เสียงข้างมาก” ที่เลวทราม เช่น การให้คุณค่ากับเสรีภาพสื่อ เสรีภาพในการพูดของพลเมือง มีความพยายามจะให้ประชาชนมี “ส่วนร่วม” ทางการเมืองแบบประชาธิปไตยทางตรง เพื่อสร้างสมดุลกับประชาธิปไตยระบบตัวแทน เช่น การทำประชามติ การทำประชาพิจารณ์ หรือกลไกลการเข้าชื่อของประชาชนเพื่อเสนอกฎหมาย

มีมิติของการเป็นประชาธิปไตยแบบปรึกษาหารือ มีกรรมาธิการที่เอาคนนอกมาทำงานร่วมกับตัวแทนประชาชน

เหล่านี้ พวกเราทุกคนต้องได้เรียนมาจากตำราสังคมศึกษามัธยมต้นกันหมดแล้ว เพราะฉะนั้น ใครก็ตามที่พูดว่า “เสียงข้างมากอันตราย” เป็นความจงใจพูดให้คนเข้าใจกลไกการทำงานของประชาธิปไตยอย่างผิดๆ

 

ตรงกันข้าม ปัญหาของประชาธิปไตยในประเทศไทยเกิดจาก

หนึ่ง พวกขวาจัดเผด็จการเข้ายึดอำนาจ แล้วสถาปนารัฐธรรมนูญที่อ้างว่า “ปราบโกง” หรือกำจัดคนขายชาติ แล้ว “สวมสิทธิ์” เอาองคาพยพนอกการเลือกตั้ง มาใช้อย่างผิดประเภทโดยอ้างว่านี่คือประชาธิปไตยแบบมีธรรมาภิบาล

เอาคณะคนดีมาคุมประพฤตินักการเมืองอีกชั้นหนึ่ง เราจึงมี สตง.ที่อิสระจากรัฐบาล

มี ป.ป.ช. มีศาลแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สามารถสั่งตัดสิทธิ์นักการเมืองตลอดชีวิตได้

มีศาลรัฐธรรมนูญที่ใช้คนเพียง 9 คน พิพากษาปลดนายกฯ ที่มาจากการเลือกตั้งของคนนับสิบล้านคนได้

สอง พวกซ้ายจัดใช้แนวคิดเรื่องประชาธิปไตยทางตรง “สวมสิทธิ์” สมอ้างคำว่า “ประชาชน” ไปใช้ว่า ประชาชนของฉันกระดูกสันหลังตรงกว่าประชาชนของเธอ

ประชาชนของฉันต้องการการกระจายอำนาจ จึงเป็นประชาธิปไตยกว่าเธอ

ประชาชนของฉันต่อต้านกาสิโน จึงเป็นประชาชนที่ถูกต้องกว่าเธอ

ความตลกของฝ่ายซ้ายเหล่านี้คือ เวลาคิดอะไรไม่ออก พวกเขาจะบอกว่า “ถามประชาชนหรือยัง” แม้แต่เรื่องทำปฏิทินของประกันสังคม เมื่อเป็นบอร์ดประกันสังคมของฝ่ายก้าวหน้า กะอีแค่เรื่องจะยกเลิกทำปฏิทินแจก พวกเขายังขอให้มีการทำประชามติ

(ซึ่งตัวฉันอุทานดังๆ ว่า จะบ้าตาย)

ภาวะคลั่งคำว่าประชาชน และเอะอะถามประชาชนของคนเหล่านี้คือ เมื่อตัวเองเป็นฝ่ายค้าน ก็จะขัดขวางการทำงานของรัฐบาลด้วยการออกคำสั่งใน x หรือใน facebook ว่า เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของประชาชน รัฐบาลต้องรายงานให้ประชาชนทราบสิว่าตอนนี้ทำอะไรไปแล้ว

ดังเราจะเห็นใน x ของศิริกัญญา ตันสกุล เช่น “อย่ามุบมิบเจรจา ต้องเปิดเผยให้ประชาชนผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต้องรับทราบ” ในกรณีของการเจรจาเรื่องภาษีกับสหรัฐอเมริกา ที่หากฟังเผินๆ เหมือนจะดูดี เหมือนจะถูกต้อง

แต่เราต้องย้อนกลับไปที่กระบวนการได้มาซึ่งฝ่ายบริหารก่อนว่า ฝ่ายบริหารมาจากกระบวนการประชาธิปไตยระบบตัวแทน มี accountability ต่อประชาชนด้วยตัวของระบบเองอยู่แล้ว สิ่งที่ประชาชนต้องรับทราบเป็นเรื่องความโปร่งใส

เรื่องการเปิดเผยข้อมูลในลักษณะโอเพ่นดาต้า หรือการเข้าถึงข้อมูลภาครัฐได้ทุกเมื่อ แต่ไม่ใช่เรื่องเดียวกับการที่นายกฯ หรือฝ่ายบริหาร รัฐมนตรีต้องมานั่งบอกประชาชนทุกชั่วโมงว่า

“ประชาชนคะ ตอนนี้เรากำลังทำหนึ่ง สอง สาม”

“ประชาชนคะ ตอนนี้นายกฯ เรียกประชุม หนึ่ง สอง สาม”

“ประชาชนคะ ตอนนี้ท่านพิชัย ชุณหวชิร เตรียมประสานงานกับหนึ่ง สอง สาม จะคุยกับทรัมป์ว่า หนึ่ง สอง สาม”

อันนี้ไม่ใช่การทำงานของฝ่ายบริหาร อันนี้เป็นการทำงานของเสมียนจดชวเลข

อย่าเพิ่งบอกว่าฉัน “แบก” ฉันยังไม่ได้เขียนสักหนึ่งคำว่า รัฐบาลนี้เริ่ด รัฐบาลนี้เก่ง เศรษฐาจีเนียส แพทองธาร ชินวัตร อัจฉริยะ

สิ่งที่ฉันบอกมาตลอดเวลาคือ ประชาธิปไตยมิใช่ผลไม้สุกงอมหอมหวาน

รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งล้วนแต่ทำงานล้มเหลวมากกว่าสำเร็จโดยค่าเฉลี่ย

มิพักต้องพูดถึงเงื่อนไขประหลาดๆ ในกฎหมาย ในระบบราชการ ในรัฐธรรมนูญ แต่ฉันกำลังอธิบายว่า ความประหลาดของฝ่ายซ้ายไทยที่อ้างว่าตนเองโปรประชาธิปไตยแต่กลับมองข้ามกระบวนการทำงานของระบอบประชาธิปไตยแบบตัวแทน

แล้วเผลอไปเข้าใจว่า ประชาธิปไตยที่บริสุทธิ์คือประชาธิปไตยแบบรายงานทุกสิ่งอย่างต่อประชาชนตลอดเวลา เพราะหากไม่รายงานจะกลายเป็น “มุบมิบ”

 

ไม่เพียงเท่านั้น ฝ่ายซ้ายไทยหลงใหลคลั่งไคล้ในการทำประชามติเหมือนฝ่ายขวา (ฝ่ายขวาที่ออกแบบรัฐธรรมนูญมาให้เราแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ได้จนกว่าจะทำประชามติสามครั้งนั่นไง) เช่น จะทำสถานบันเทิงครบวงจรก็บอกว่าเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ต้องทำประชามติ

ได้ฟังทีไรก็เลิ่กลั่กว่า “อ้าว เรามีประชาธิปไตยแบบตัวแทนแล้วนะ”

หากทุกเรื่องในประเทศนี้ที่ฝ่ายค้านไม่เห็นชอบ รัฐบาลต้องกลับเอาไปทำประชามติถามประชาชนทุกรอบ เราจะมีสภาผู้แทนราษฎรไว้ทำไม

การโบ้ยทุกความชอบธรรมไปให้กับประชามติ จึงไม่ต่างอะไรกับฝ่ายขวาที่บอกว่ารัฐสภามีสิทธิแก้ไขรัฐธรรมนูญแต่อำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญเป็นของประชาชน ดังนั้น จึงต้องกลับไปถามประชาชนก่อนว่าอยากแก้หรือไม่แก้

เพราะฉะนั้น ทุกครั้งที่เรียกร้องประชามติ ฝ่ายซ้ายไทยได้เคยทบทวนตัวเองหรือไม่ว่า กำลังสมาทานแนวคิดชุดเดียวกับฝ่ายขวา

ในขณะที่ฝ่ายขวาอ้างความดี

ฝ่ายซ้ายก็อ้างประชาชน

ฉันจึงต้องกลับมาทบทวนคำถามเดิมๆว่า ตกลงสังคมไทยยังอยากอยู่กับการปกครองในระบอบประชาธิปไตยใช่หรือไม่?

และเราจะยอมรับความจริงไหมว่า ประชาธิปไตยในระบบตัวแทนนั้นมันไม่ได้รับประกันว่าเราจะได้รัฐบาลที่มีผลงานเลิศเลอเพอร์เฟ็กต์

หรือแม้กระทั่งมันเป็นไปได้เสมอว่ารัฐบาลที่มาจาการเลือกตั้งมักทำให้เราผิดหวัง

แน่นอนว่า พรรคการเมืองที่เป็นฝ่ายค้าน ก็ย่อมอยากชนะการเลือกตั้งและขึ้นมาเป็นรัฐบาลบ้าง

แต่การอยากขึ้นมาเป็นรัฐบาลบ้างต้องไม่แลกมากับการบ่อนทำลายความเข้มแข็งของประชาธิปไตยโดยภาพรวม

การบอกว่าพรรคเพื่อไทยตระบัดสัตย์ ผสมพันธุ์กับเผด็จการ ถ้ายังคงพูดแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ มันจะบั่นทอนความเข้มแข็งของประชาธิปไตยแน่ๆ เพราะฝ่ายค้านกำลังใช้เครื่องมือชุดเดียวกันกับฝ่ายขวานั่นคือเลือกใช้วาทกรรมเชิงศีลธรรม “นักการเมืองชั่วหมด นักการเมืองทุกคนสังวาสกับเผด็จการหมด ยกเว้นฉัน ฉันจึงเป็นคนดีที่สุด”

แต่หากฝ่ายค้านทำการเมืองอย่างสร้างสรรค์ ฝ่ายค้านย่อมช่วยกันสร้างบทสนทนาให้สังคมเห็นว่า อุปสรรคที่ทำให้พรรคการเมืองไม่เติบโตนั้นอยู่ตรงไหนกันแน่

และพรรคเพื่อไทยภายใต้ข้อจำกัดนี้ไม่บรรลุผลในการผลักดันนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนจากเงื่อนไขเชิงโครงสร้างอย่างไรบ้าง

และพรรคฝ่ายค้านจะกลายเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า ไม่ใช่เพราะ “เป็นคนดีกว่า” หรือ “กระดูกสันหลังตรงกว่า” แต่เพราะมีวิธีการปลดล็อกอุปสรรคเหล่านี้ที่น่าจะได้ผลมากกว่า

ที่สำคัญจะต้องย้ำและช่วยให้สังคมไทยเข้าใจกระบวนการประชาธิปไตยระบบ “ตัวแทน” และ “เสียงข้างมาก” เพื่อจรรโลงความเข้มแข็งของประชาธิปไตยและสิ่งนี้ย่อมสำคัญกว่าชัยชนะของพรรคการเมืองใดพรรคการหนึ่ง

แต่สิ่งที่พรรคฝ่ายค้านทำ กลับพาสังคมเข้ารกเข้าพงสับสนระหว่างประชาธิปไตยทางตรง กับประชาธิปไตยระบบตัวแทน

และทำให้สังคมเข้าใจว่าประชาธิปไตยที่สะท้อนเสียงประชาชนย่อมดีกว่าประชาธิปไตยที่พูดโดย “ตัวแทน” ที่เราเลือกเข้าไป เช่นเข้าใจว่ากฎหมายที่ประชาชนเข้าชื่อกันห้าหมื่นคนเสนอต่อสภา ย่อมดีกว่าร่างกฎหมายของ ครม.

เพราะคำว่า “ประชาชน” มันดู “บริสุทธิ์” ปราศจากผลประโยชน์ หรือแค่พูดว่า “ปีกแรงงาน” ก็ดูเพื่อชีวิต เพื่อชนชั้นกรรมาชีพดี ต้องดีแน่ๆ เลย

 

เส้นทางการกลายเป็นสังคมประชาธิปไตยชนิดที่หลอมรวมเป็นเลือดเป็นเนื้อของคนไทยยังมียาวไกลมาก

หากคิดแต่เรื่องทำลายพรรคเพื่อไทย และตกอยู่ในวังวนของวาทกรรม “ช้างที่อยู่ในห้อง” จนไม่รู้ตัวว่า การที่เราพูดถึงช้างที่อยู่ในห้องไม่หยุดแปลว่าเราเห็นช้างตัวเดียวกันตั้งนานแล้ว

เมื่อทุกคนเห็นช้างแล้ว สำนวน “ช้างที่อยู่ในห้อง” ก็ใช้งานไม่ได้อีกต่อไป และคำอธิบายที่ว่า พรรคเพื่อไทยคือส่วนต่อขยายคืออุปกรณ์ของ “ช้าง” จึงไม่สมเหตุสมผลด้วยตัวของมันเอง

เละเทะกว่านั้น วาทกรรมนี้ทำให้บาปทุกประการถูกโยนมาที่พรรคเพื่อไทย แล้วทุกคนก็เลิกสนใจเรื่องช้างและองคาพยพของช้าง เพราะการตั้งหน้าตั้งด่าทอพรรคเพื่อไทยว่ามันเลว มันทรยศ มันทำทุกอย่างเพื่อเอาทักษิณ ชินวัตร กลับบ้าน มันโง่ มันห่วย สามารถทำได้โดยไม่ผิดกฎหมาย ด่าได้แบบบุฟเฟ่ต์ ด่าแล้วดูสูงส่ง ด่าแล้วดูฉลาด ด่าแล้วดูทรงว่าฉันอยู่ลีกเดียวกับนักเรียนฮาร์วาร์ด ทั้งที่ตัวจริงงมหอยปูปลาอยู่

แต่สิ่งที่ฉันอยากจะบอกคือ การ “ฆ่า” พรรคเพื่อไทย ไม่ได้ทำให้พรรคส้มได้เป็นรัฐบาล

ต่อให้วันนี้ ทักษิณย้ายไปพักผ่อนต่างประเทศถาวร พรรคเพื่อไทยประกาศปิดกิจการ เพราะเบื่อแล้ว เหนื่อยแล้ว ทำคุณบูชาโทษ แพทองธาร ชินวัตร บอกว่า ฉันตื่นแต่เช้ามาทำงานงกๆ เพื่อให้คนด่าแบบ all you can eat ไปเพื่ออะไร เอาล่ะ ประเทศชาติไม่ใช่ของเราคนเดียว ขอลาดีกว่า ตระกูลชินวัตรอพยพ โยกย้าย ขายกิจการไปอยู่ต่างประเทศ กินๆ นอนๆ บนกองเงินกองทองดีกว่า

เย่ๆๆๆ ดีจัง

แล้วคิดหรือว่าประเทศไทยจะดีขึ้นหลังจากนั้น

คิดหรือว่า พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ จะได้เป็นนายกฯ? คิดหรือว่า ศิริกัญญา ตันสกุล จะได้เป็น รมว.คลังอย่างที่หวัง

และคิดหรือว่า อ่อ ไม่มีคนเลวไปผสมพันธุ์กับเผด็จการแล้ว ประเทศไทยกลายเป็นประชาธิปไตยแล้ว ไชโยโห่ฮิ้วได้

หรือเอาเข้าจริงๆ พวกเราไม่ได้แคร์เรื่องประชาธิปไตยขนาดนั้น เราทุกคนไม่เคยปรารถนาในประชาธิปไตย เพราะความปรารถนาเดียวของคนไทยยุคหลัง “พันธมิตร” คือ ภาวะเกลียดกลัวตระกูลชินวัตรขึ้นสมอง

คิดดูว่า การให้รางวัล The People award อะไรสักอย่าง มีทั้งการให้ตะวัน-แบม กับให้ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อันทำให้เรากรอกตาไปพร้อมๆ กับบอกตัวเองว่า สภาวะซ้ายไม่จริงขวาไม่แท้ยังคงสถิตสถาพรอยู่ในสังคมไทยตั้งแต่หลัง 2475 ไม่ได้หายไปไหน

สภาวะซ้ายไม่จริงขวาไม่แท้คือสภาวะที่ฝ่ายขวาพูดจาในภาษาที่ซ้ายยิ่งกว่าฝ่ายซ้าย เช่น กลุ่มกบฏบวรเดช และ ทำให้รัฐบาลประชาธิปไตยถูกจดจำในฐานะเผด็จการฟาสซิสต์ จับคนเห็นต่างเข้าคุก ทั้งๆ ฝ่ายขวาเหล่านั้นต้องการสู้กับรัฐบาลเพราะอยากเปลี่ยนประเทศไปปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์แบบเดิมในเวอร์ชั่นที่ “เป็นธรรม เท่าเทียม”

จึงไม่แปลกใจอะไรที่ในเวทีหนึ่ง จะมีทั้งตะวัน แบม กับชูวิทย์ ได้รางวัลเดียวกัน เพราะนี่คือความถูกต้อง ดีงาม ตามแบบฉบับไวยากรณ์ของปัญญาชนไทยแบบ

กุหลาบ สายประดิษฐ์ มาลัย ชูพินิจ หรือ ม.จ.สิทธิพร กฤดากร ที่พูดจาภาษาสังคมนิยมมากๆ ดูหัวก้าวหน้ามาก เชื่อในเรื่องการสร้างชนชั้นกลางด้วยอาชีพเกษตรกร ฯลฯ

ทว่า ต่อต้านการเปลี่ยนแปลงการปกครองของคณะราษฎรจนไปร่วมกับกบฏบวรเดช เพราะเห็นว่าควรปฏิรูปประเทศภายใต้ระบอบกษัตริย์ดีกว่า

สถานะของพรรคเพื่อไทยจึงเป็นสถานะที่แปลกแยกกับโลกอุดมคติของสังคมไทยมาโดยตลอด

เพราะโลกอุดมคติของสังคมไทยคือ เป็นฝ่ายขวาเต็มตัวที่ปัจจุบันมีสองแบบคือ แบบไทยภักดี เป็นขวาคลั่งๆ กับ ขวาแบบภูมิใจไทยที่เพิ่งเปลี่ยนโลโก้เป็นน้ำเงินล้วนประกาศจุดยืนความจงรักภักดีแบบเข้มข้น แต่ทำงานได้ในระบบการเมืองประชาธิปไตยระบบตัวแทน และซุ่มปฏิรูปพรรค ทำงานกับมวลชน หัวคะแนนในท้องถิ่นอย่างเข้มข้น

ใช้ความเป็นเจ้ากระทรวงสาธารณสุขต่อเนื่องมาที่มหาดไทย ทำฐานการเมืองท้องถิ่นแน่นๆ ไปพร้อมๆ กับการคัดสรรคนทำงานในพื้นที่แบบไม่แตกแถว

ขณะเดียวกันก็มีแบรนด์แอมฯ เป็นคนรุ่นใหม่แบบภราดร ปริศนานันทกุล รองประธานสภาที่คาริสมาจัดมาก กับ ซาบีดา ไทยเศรษฐ์ ที่ไม่ต้องแสดงผลงานอะไรมาก แค่นิ่งๆ แต่งตัววางตัวให้ตรงกับจริตคนไทย แค่นี้ก็ได้คะแนนไปร้อยเต็มร้อย

อีกปีกหนึ่งของภาพอุดมคติไทย เป็นฝ่ายซ้ายนักสังคมนิยม ในอดีตคือพรรคประชาธิปปัตย์ ปัจจุบันคือพรรคประชาชน มีนักวิชาการ มีเอ็นจีโอ มีนักเขียน มีศิลปิน

มีลูกหลานบ้านใหญ่ที่อยากรีแบรนด์ตัวเอง

มีลูกหลานของคนประชาธิปัตย์เก่าอย่างพริษฐ์ วัชรสินธุ ที่ถูกจริตอดีตคนเคยรักประชาธิปปัตย์ มีสายฟาดแบบวิโรจน์ ลักขณาอดิศร

มีวีรสตรีจากท้องถนนแบบรักชนก ศรีนอก เรียกว่าครบรส ครบเครื่อง

 

ส่วนพรรคเพื่อไทยเป็นอะไร พรรคเพื่อไทยเป็นพรรคการเมืองตามธรรมชาติมาก มีมรดกยิ่งใหญ่เป็นความสำเร็จสมัยไทยรักไทย

เป็นเป้าของความเกลียดชังเท่าๆ กับเป็นกล่องดวงใจของคนที่ถ่องแท้ว่าพรรคไทยรักไทยนี่แหละที่เปลี่ยนแปลงโครงสร้างจนถูกรัฐประหาร

วิบากกรรมหรือความท้าทายของพรรคเพื่อไทยคือการเข้ามาเป็นรัฐบาลในห้วงเวลาที่ยากที่สุดด้วยจุดยืนและอัตลักษณ์ของพรรคที่ยากจะเป็น “ที่รัก” ของทุกฝ่ายไม่ว่าจะของฝ่ายซ้ายหรือฝ่ายขวา

แต่ถ้าไม่มีพรรคเพื่อไทย เราต้องถามตัวเองดีๆ ว่า แล้วเราจะมีพรรคการเมืองไทยไปคานทั้งอำนาจของฝ่ายขวา และความโอหังไร้เดียงสาของฝ่ายซ้ายที่ดูจะเก่งในเรื่องรู้น้อยพลอยรำคาญ พล่ามมากตามวิสัยนักวิชาการบ้าน้ำลาย ที่ควรเป็นนักวิชาการนั่นแหละ ไม่ควรมาบริหารอะไรจริงๆ

แต่สิ่งนี้ย่อมสร้างความอึดอัดทางใจแก่กองเชียร์พรรคส้มอย่างมาก ซึ่งก็เป็นความอึดอัดที่น่าเห็นใจ นั่นคือต้องอยู่ในสถานะชนะที่หนึ่งแต่เป็นผู้นำฝ่ายค้านตลอดกาล?

และนั่นนำมาซึ่งปรากฎการณ์ที่ฉันในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมานั่นคือ สลิ่มเฟสหนึ่งปลุกเรื่องกาสิโนมาล้มรัฐบาล

ส่วนพรรคประชาชนปลุกเรื่อง “ความไร้ประสิทธิภาพ” และ “ภาวะไร้ความสามารถ aka นายกฯ หุ่นเชิด” (ได้กลุ่มเป้าหมายชนชั้นกลางในเมืองกลวงๆ แต่คิดว่าตัวเองฉลาด) บวกกับเรื่องกาสิโน (กลุ่มเป้าหมายเดียวกับสลิ่มเฟสหนึ่ง) บวกกับเรื่อง สถานะของไทยบนเวทีโลกในมิติสิทธิมนุษยชน (กลุ่มเป้าหมายเป็นนักวิชาการ เอ็นจีโอ นักการทูต ผู้มีการศึกษาสูง พลเมืองโลก) มาร่วมล้มรัฐบาล

 

ถึงที่สุดแล้วฉันคิดว่าสิ่งที่ “สื่อ” และสิ่งที่พรรคประชาชนซึ่งสนธิกำลังกันกับปัญญาชนทั้งฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวากำลังทำอยู่ตอนนี้คือ ต้องการเปลี่ยนพรรคประชาชนให้กลายเป็น “ประชาธิปปัตย์ใหม่” เช่นที่ สนธิ ลิ้มทองกุล บอกกับ รักชนก ศรีนอก ว่า “เก่งมาก ดีมาก ออกมาจับโกงพวกประกันสังคม อย่าได้ไปยุ่งกับเรื่อง 112 อีก”

พรรคประชาชนจะโดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัว กำลังถูกฝ่ายขวา accommodate หรือต้อนรับขับสู้ให้กลายเป็นพรรคที่ปราบโกง ต้านคอร์รัปชั่น ต่อสู้กับเสียงข้างมากที่ชั้วช้าสารเลว (ดังคำพูดของปกรณ์วุฒิ)

เป็นเทคโนแครตที่ปกป้องแบงก์ชาติ (บทบาทของศิริกัญญา) และมีพริษฐ์เป็นร่างเกิดใหม่ของอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่มือไม่เปื้อนเลือด พรรคประชาชนจะไม่เป็นพรรค “ล้มเจ้า” อีกต่อไป โดยอ้างคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญ

จากนั้นพวกเขาจะค่อยๆ กลายเป็นพรรคฝ่ายขวาสายปฏิรูปในขณะที่พรรคภูมิใจไทยเป็นพรรคฝ่ายขวาอนุรักษนิยมท้องถิ่นนิยม (การผลักดันภาษีรักบ้านเกิดเมืองนอนคือตัวอย่างที่เป็นรูปธรรม)

ในแนวทางนี้เป็นการ “ฆ่า” พรรค populist democracy หรือประชาไตยที่เป็นประชานิยม (ความหมายคือประชาธิปไตยที่มีศูนย์กลางที่ประชาชน) อย่างพรรคเพื่อไทยให้ตายไปจากประเทศไทยให้ได้

อันเป็น unfinished project จากการทำรัฐประหารปี 2549 เพราะสิ่งที่ชนชั้นนำเหล่านี้กลัวมากที่สุดคือกลัว “รากหญ้า” เข้มแข็งทางเศรษฐกิจจนไม่ไม่ชนชั้นนำเป็นที่ยึดเหนี่ยวทางใจอีกต่อไป

และนี่คือความฝันอันสูงสุดของชนชั้นนำไทยฝ่ายขวา กับชนชั้นนำทางปัญญา (เรียกตัวเองว่าซ้ายแต่จริงๆ แล้วเป็นขวาสายปฏิรูปเท่านั้นไม่ต่างจากกลุ่มปัญญาชนที่สนับสนุนกบฏบวรเดชในอดีต) ที่หมายถึง นักวิชาการ นักคิด นักเขียน ศิลปิน และสื่อมวลชนทั้งหลาย

ฉันต้องการเขียนบทความชิ้นนี้ไว้เป็นหลักฐานว่า ฉันทำนายไว้เช่นนี้ และภาวนาให้ตัวเองทำนายผิด