เตือนภัยไซเบอร์รูปแบบใหม่ เมื่อผมโดนมิจฉาชีพ นำรูปใช้แอบอ้างหลอกลวงคนอื่นแบบ ABC

กฤตภาศ ศักดิษฐานนท์www.facebook.com/bintokrit

Agora | กฤตภาศ ศักดิษฐานนท์

วิทยาลัยสหวิทยาการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

www.facebook.com/bintokrit

 

เตือนภัยไซเบอร์รูปแบบใหม่

เมื่อผมโดนมิจฉาชีพ

นำรูปใช้แอบอ้างหลอกลวงคนอื่นแบบ ABC

 

บทความนี้เป็นการบอกเล่า “ประสบการณ์ตรง” ที่ผมโดนมิจฉาชีพเอารูปไปใช้เป็นภาพโปรไฟล์ในแอพพลิเคชั่นไลน์แล้วแอบอ้างหลอกลวง ซึ่งสร้างความเสียหายทั้งต่อตัวผมเองและคนอื่นๆ

นี่คือภัยจาก “แก๊งคอลเซ็นเตอร์รูปแบบใหม่” ที่เรียกว่าการหลอกลวงแบบ ABC ที่กำลังแพร่ระบาดอย่างหนักในช่วงนี้

นอกจากแบ่งปันข้อมูลเพื่อเตือนภัยไซเบอร์ในยุคปัจจุบันแล้ว

ยังเสนอแนะวิธีรับมือและตอบโต้มิจฉาชีพเมื่อประสบเหตุด้วย

เดิมทีผมเคยเป็นนักแสดงมาก่อน ระหว่างที่เล่นละครเป็นอาชีพนั้นโอกาสที่มิจฉาชีพจะสวมรอยเอารูปผมไปใช้มักเกิดขึ้นได้ยาก เพราะยังมีแฟนละครหลายคนจำได้

แต่ปัจจุบันผมหันมาทำงานวิชาการได้หลายปีแล้ว ประกอบกับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ต่อให้ผมยังเล่นละครอยู่ ผู้คนก็ไม่ค่อยได้ดูโทรทัศน์อยู่ดี

ดังนั้น คนที่เคยรู้จักก็อาจจะลืมหน้าผมไปแล้ว ขณะที่หลายคนก็อาจไม่รู้จักและไม่รู้ว่าผมเป็นนักแสดง จึงเปิดช่องให้มิจฉาชีพฉวยโอกาสเอารูปไปใช้แอบอ้าง เมื่อมิจฉาชีพไม่รู้จักผม ส่วนเหยื่อเองก็ไม่รู้จักผมเช่นกัน จึงเกิดการแอบอ้างหลอกลวงขึ้น

พฤติกรรมของมิจฉาชีพในลักษณะนี้คือจะหาภาพบุคคลต่างๆ ทางอินเตอร์เน็ต เลือกรูปที่ดูน่าเชื่อถือเพื่อสวมรอยแล้วนำไปตั้งเป็นรูปโปรไฟล์ใน Line

ในกรณีของผมนั้นมิจฉาชีพไปเอารูปมาจากเว็บไซต์ที่ทำงานของผม คือวิทยาลัยสหวิทยาการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ www.cis.tu.ac.th เดิมทีภาพนี้อยู่ใน facebook ของผม www.facebook.com/bintokrit ลงไว้ตั้งแต่เมื่อปี พ.ศ.2562 ระหว่างไปบรรยายที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น

ต่อมาผมทราบจากอาจารย์ที่ธรรมศาสตร์คนอื่นๆ ว่าหลายคนก็โดนนำรูปจากเว็บไซต์ของคณะไปใช้เช่นกัน

แสดงว่าเว็บไซต์ของมหาวิทยาลัยซึ่งเต็มไปด้วยรูปถ่ายอาจารย์จำนวนมากได้กลายเป็นแหล่งที่มิจฉาชีพเข้ามาดึงภาพไปใช้แอบอ้างหลอกลวงคนอื่น

มิจฉาชีพจะติดต่อไปหาเหยื่อซึ่งก็คือร้านค้าหรือกิจการต่างๆ เพื่อขอซื้อสินค้าในปริมาณมาก ครั้งแรกจะใช้โทรศัพท์ก่อน จากนั้นจะติดต่อผ่านไลน์ โดยมักอ้างตัวว่ามาจากโรงเรียนหรือสถานศึกษาที่กำลังเตรียมจัดงานอยู่จึงมีงบประมาณอยู่ในมือ

ร้านที่มักตกเป็นเป้าคือร้านขายน้ำดื่ม หรือร้านขายสินค้าประเภทที่สามารถส่งสินค้าจำนวนมากได้

มิจฉาชีพจะสั่งซื้อสินค้าล็อตใหญ่ วงเงินมักอยู่ในหลักหลายพันบาท หากเป็นร้านขายน้ำดื่มก็จะสั่งซื้อเป็นแพ็กหลายร้อยแพ็ก ราคาเกือบหมื่น แล้วให้ทางร้านออกบิลที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง

หากทางร้านยอมทำตาม มิจฉาชีพก็จะเห็นว่าทางร้านสามารถซิกแซ็กตามที่ร้องขอได้

ซึ่งนำไปสู่ขั้นตอนต่อไปคือฝากร้านนั้นช่วยเป็นตัวกลางในการซื้อสินค้าจากร้านอื่นให้ด้วย

โดยสินค้านั้นจะเป็นของที่มีมูลค่าสูงกว่าเดิมมาก คือขยับไปเป็นหลักหลายแสนหรือร่วมล้าน

มักเป็นสินค้าจำพวกโต๊ะ เก้าอี้สแตนเลส ตู้กดน้ำดื่มสแตนเลส เป็นต้น

มิจฉาชีพจะอ้างเหตุผลต่างๆ นานาว่าไม่สามารถติดต่อซื้อจากร้านนั้นโดยตรงได้ จึงขอให้ร้านที่ตกเป็นเหยื่อช่วยดำเนินการให้แทน

เช่น อ้างว่าผู้บริหารโรงเรียนทะเลาะกับเจ้าของร้านนั้น เป็นต้น ตามปกติแล้วร้านค้าต่างๆ จะขายสินค้าให้กับลูกค้าเฉพาะที่ตัวเองมีสินค้า ไม่ใช่เป็นธุระจัดหาสินค้าอื่นให้ แต่พวกมิจฉาชีพจะเสนอส่วนต่างมายั่ว คือล่อให้เหยื่อยอมทำตามด้วยแรงจูงใจว่าจะได้รับกำไรส่วนต่างเป็นค่าดำเนินการ

เช่น โรงเรียนมีงบฯ ให้ 8 แสน หากเหยื่อไปซื้อจากร้านนั้นมา 6 แสน เหยื่อจะได้กำไร 2 แสนนั่นเอง

แรงจูงใจอีกอย่างหนึ่งคือการกลัวเสียลูกค้า เนื่องจากมิจฉาชีพทำทีมาซื้อสินค้าล็อตใหญ่ หากเหยื่อไม่ทำตามก็อดได้ยอดขายล็อตนั้นและเสียลูกค้ารายใหญ่ไปด้วย

ในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำที่ร้านค้าต่างๆ มียอดขายไม่ดีเช่นนี้ การหลอกล่อของมิจฉาชีพก็มีโอกาสได้ผล

แต่ร้านค้าอีกร้านหนึ่งที่มิจฉาชีพขอให้เหยื่อติดต่อไปซื้อของให้นั้นก็เป็นมิจฉาชีพเช่นกัน คือมิจฉาชีพมี 2 คนที่เล่นบทรับส่งกัน

คนหนึ่งเป็นผู้สั่งซื้อ อีกคนหนึ่งเป็นผู้ขาย ส่วนเหยื่อคือคนที่ถูกชักจูงให้เป็นตัวกลางระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขายนี้

มิจฉาชีพที่เล่นบทเป็นร้านค้าอีกร้านหนึ่งจะเร่งเร้าให้เหยื่อโอนเงินทั้งหมดหรือมัดจำบางส่วนเพื่อทำการจัดส่งสินค้า

ในขณะที่มิจฉาชีพอีกคนหนึ่งจะเร่งเร้าให้เหยื่อรีบสั่งสินค้ามาส่งให้โดยเร็ว ไม่อย่างนั้นจะไม่ทันกำหนดการจัดงาน

หากเหยื่อขอให้มิจฉาชีพที่สั่งซื้อโอนเงินค่าสินค้าไปให้ร้านปลายทาง มิจฉาชีพจะบ่ายเบี่ยง และหากโอนก็จะโอนให้เหยื่อเท่านั้น แทนที่จะโอนให้ร้านค้าปลายทางโดยตรงไปเลย จากนั้นก็ส่งสลิปปลอมมาให้เหยื่อ

เหยื่อบางคนจึงหลงเชื่อแล้วโอนเงินจากบัญชีตนเองไปให้ร้านค้าปลายทางที่อ้างว่าจะส่งสินค้าให้

จากนั้นมิจฉาชีพทั้งคู่จะปิดกั้นทุกช่องทางการติดต่อ ไม่สามารถติดตามตัวได้อีกเลย

 

ภัยจากมิจฉาชีพนี้เป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์รูปแบบใหม่ที่แพร่ระบาดอย่างหนักในไทยมาหลายเดือนแล้ว แต่ทางการก็ไม่สามารถปราบปรามได้ พวกมิจฉาชีพเหล่านี้ทำงานเป็นขบวนการ โดยจะเปลี่ยนชื่อในไลน์ไปเรื่อยๆ

ในกรณีของผมคือมิจฉาชีพใช้ชื่อว่า “นาย วิรุฬ” “นาย อนุชา” และอาจจะเปลี่ยนใช้ชื่ออื่นไปเรื่อยๆ หากยังจับตัวไม่ได้ สร้างความเสื่อมเสียกับตัวผมเองที่ถูกนำรูปภาพไปแอบอ้างใช้ในการหลอกลวงคนอื่น และสร้างความเสียหายให้กับผู้คนมากมายทั่วประเทศ ไม่ว่าจะเป็นร้านค้าและโรงเรียนต่างๆ

ภายในเวลาสัปดาห์เดียวผมพบว่ามิจฉาชีพนำภาพผมไปใช้หลอกลวงในลักษณะนี้เป็นจำนวนมากทั้งที่กรุงเทพฯ ชลบุรี เพชรบูรณ์ พิษณุโลก ฯลฯ

ลักษณะการหลอกลวงของแก๊งคอลเซ็นเตอร์เช่นนี้เรียกว่าแบบ ABC คือมีมิจฉาชีพอย่างน้อย 2 คนเล่นบทรับส่งกันเพื่อหลอกเหยื่อ 1 ราย

เพราะฉะนั้นจะมีรูปแบบเป็น 3 เส้า A มาหลอกให้ B โอนเงินไปให้ C ตามที่ A ร้องขอ

นอกจากการหลอกโอนเงินแล้ว ยังพบว่ามีการหลอกให้ส่งสินค้าเพื่อฉกสินค้าล็อตใหญ่ไปฟรีๆ แล้วหายสาบสูญไปอีกด้วย แต่ส่วนใหญ่จะเป็นการหลอกเอาเงินเสียมากกว่า

สำหรับบัญชีที่ใช้ในการหลอกลวงจะเป็นบัญชีม้าซึ่งเจ้าหน้าที่สาวไปไม่ถึงตัวการ อย่างมากก็จับเจ้าของบัญชีที่ถูกรับสมอ้างมา

ดังนั้น จึงทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ไม่ได้เสียที ส่วนเบอร์โทรศัพท์ที่ใช้ก็เป็นเบอร์ซึ่งใช้ผ่านอินเตอร์เน็ตที่มีการเปลี่ยนหมายเลขไปเรื่อยๆ จึงจับไม่ได้ไล่ไม่ทันอีก

ดูตัวอย่างการหลอกลวง กรณีโรงเรียนอนุบาลใจทิพ ได้ที่โพสต์นี้ https://www.facebook.com/share/p/1A8U3Bp1UW/ ดูรายละเอียดที่ผมแจ้งเตือนภัยได้ที่โพสต์นี้ https://www.facebook.com/share/p/158Zwr7sfT/ และดูตัวอย่างพฤติกรรมการหลอกลวงในทำนองเดียวกันแต่ไม่ได้ใช้ภาพผมไปแอบอ้างหลอกลวงได้ที่โพสต์นี้ https://www.facebook.com/share/p/1BMK9RpbuH/?mibextid=xfxF2i

 

หากประชาชนคนใดได้รับการติดต่อจากมิจฉาชีพที่ทำทีเข้ามาซื้อสินค้าในลักษณะดังกล่าว ไม่ว่าจะใช้รูปภาพของผม หรือภาพของคนอื่นก็ตาม อย่าได้หลงเชื่อและอย่าโอนเงินใดๆ เด็ดขาด แต่ให้เก็บข้อมูลแล้วรีบแจ้งความออนไลน์โดยด่วนที่กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) ทางลิงก์ https://www.thaipoliceonline.go.th/ เพื่อรวบรวมข้อมูลให้มากที่สุดและเร็วที่สุด ตลอดจนหาทางจับกุมและปราบปรามแก๊งมิจฉาชีพเหล่านี้ให้สิ้นซากต่อไป รวมทั้งควรแจ้งความดำเนินคดีที่สถานีตำรวจในท้องที่ด้วย

นอกจากนี้ ยังขอฝากไปถึงรัฐบาลด้วยว่าปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์เป็นเรื่องใหญ่ที่ทางรัฐบาลประกาศให้เป็น “วาระแห่งชาติ” ที่ต้องรีบเร่งจัดการแก้ไขให้สำเร็จ เพราะมีผู้เดือดร้อนเป็นจำนวนมากอย่างต่อเนื่องมาหลายปีแล้ว

หากปัญหานี้แก้ไขได้สำเร็จประชาชนย่อมอยู่เย็นเป็นสุข และเป็นผลงานชิ้นโบแดงของรัฐบาลอีกด้วย

แต่หากไม่สามารถปราบปรามแก้ไขได้ก็กลายเป็นทำลายความน่าเชื่อถือของรัฐบาล และลดทอนความเชื่อมั่นศรัทธาที่ประชาชนมีต่อรัฐ

จึงขอวิงวอนรวมทั้งส่งเสียงนี้ให้รัฐบาลต่อสู้กับปัญหานี้ให้สำเร็จลุล่วงเสียที ไม่ให้เกิดสภาพที่ประชาชนแต่ละคนต้องดิ้นรนช่วยเหลือตัวเอง

และหาทางต่อสู้ตามลำพังแบบตัวใครตัวมันเช่นนี้