ภาษีทรัมป์ : จากจักรวรรดิสู่ระเบียบโลกใหม่

ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์www.facebook.com/sirote.klampaiboon

บทความพิเศษ | ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์

https://www.facebook.com/sirote.klampaiboon/

 

ภาษีทรัมป์ : จากจักรวรรดิสู่ระเบียบโลกใหม่

 

คุณแพทองธาร ชินวัตร เป็นนายกฯ ที่คนไม่ค่อยไว้ใจว่ามีความสามารถมานาน และตรงข้ามกับผู้นำที่ยิ่งอยู่ในตำแหน่งก็ยิ่งเห็นความสามารถมากขึ้นเรื่อยๆ คุณแพทองธารเป็นผู้นำประเภทที่ยิ่งอยู่ในตำแหน่งยิ่งเห็นว่าเธอไม่รู้อะไร ไม่ว่าจะเป็นเพราะไม่รู้จริงๆ หรือเธอเจอโจทย์ที่ยากเกินความสามารถก็ตาม

ล่าสุด นโยบายภาษีของสหรัฐก็ทำให้คนกังวลกับความไม่รู้ของคุณแพทองธารมากขึ้นไปอีก เพราะขณะที่ผู้นำประเทศใกล้เคียงอย่างสิงคโปร์และมาเลเซียแสดงวิสัยทัศน์ว่าโลกกำลังเกิดอะไรในทันที คุณแพทองธารรอให้พ้นวันหยุดยาวกว่าจะแถลงอะไรคล้ายๆ ใบแถลงข่าว 2 หน้าที่ไม่มีเนื้อหาเลย

แม้กระทั่งการแถลงข่าวที่ทำเนียบรัฐบาล คุณแพทองธารก็หลุดปากพูดกับรองนายกฯ คนอื่นๆ จนเสียงเข้าไมโครโฟนว่า “เหนื่อย” และ “หัวจะปวด” ซึ่งยิ่งแสดงความไม่รู้ที่กลายเป็นความกังวลของคุณแพทองธารมากขึ้นว่าเธอไม่รู้ว่าจะทำหรือพูดอะไรเรื่องนี้จริงๆ

บางคนอาจคิดว่าถึงคุณแพทองธารจะไม่รู้อะไร ความเป็นรัฐบาลของลูกคุณทักษิณคงทำให้รัฐบาลมีทิศทางกว่าหัวหน้ารัฐบาลบ้าง แต่ความเปะปะของรัฐบาลก็แสดงออกในรูปความไม่มีทิศทางของรัฐบาลด้วย

เพราะถึงตอนนี้ไทยก็ไม่มีความชัดเจนว่าจะทำอย่างไรกับมาตรการภาษีของโดนัลด์ ทรัมป์ เลย

เรื่องเดียวที่ไทยชัดเจนคือหัวหน้าทีมเจรจาไม่ใช่คุณพันศักดิ์ วิญญรัตน์ อย่างที่ “รองจอม” โพสต์เถียงคุณศิริกัญญา ตันสกุล ว่าการไม่เอาคุณพันศักดิ์เป็นหัวหน้าทีมเจรจานั้นถูกแล้ว เพราะแม้คุณพันศักดิ์จะเป็น best shot ของเพื่อไทย แต่การให้คุณพันศักดิ์เจรจาจะทำให้ทุกอย่างยุ่งไปกับความ bossy ของคุณพันศักดิ์เอง

ความไม่รีบเจรจาอาจถือว่าเป็นอีกเรื่องที่ไทยชัดเจน แต่ความไม่รีบไม่มีทางเป็น “ความชัดเจนด้านนโยบาย” และในที่สุดเป็นได้แค่ “ความไม่รู้ทางยุทธศาสตร์” ที่สะท้อนว่ารัฐบาลไทยเองก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรกับเรื่องนี้ นอกเหนือจากการจัดประชุมก๊อกๆ แก๊กๆ ไม่ว่าจะโดยข้ออ้างอะไรก็ตาม

 

นโยบายภาษียุคทรัมป์กำลังทำให้โลกเปลี่ยนไปจากเดิม สื่อและปัญญาชนสาธารณะจำนวนมากเริ่มใช้คำว่าทรัมป์ “เปลี่ยนระเบียบโลกใหม่” ซึ่งหมายความว่านโยบายทรัมป์ไม่ได้มีแค่มิติเศรษฐกิจหรือการค้าระหว่างประเทศ แต่ยังมีผลต่อการเมืองโลกและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศโดยตรง

“ระเบียบโลกใหม่” เป็นคำที่ผู้นำระดับโลกพูดมานาน แต่การใช้คำคำนี้อย่างกว้างขวางจริงๆ เกิดขึ้นช่วงที่สหรัฐและพันธมิตรจัดตั้งกองกำลังนานาชาติทำสงครามกับประธานาธิบดีซัดดัม ฮุสเซน ของอิรักซึ่งเชื่อว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังขบวนการก่อการร้ายสำคัญของโลกในทศวรรษ 1990 หลายกรณี

นัยยะของคำว่า “ระเบียบโลกใหม่” คือความเชื่อว่าโลกมีความต้องการร่วมกัน, มีปัญหาร่วมกัน และมีศัตรูเดียวกัน “ระเบียบโลกใหม่” โดยเนื้อแท้แล้วคือ “ระเบียบโลกแบบเสรีนิยม” (Liberal New World Order) ซึ่งเน้นการพัฒนาทุนนิยม, เสรีประชาธิปไตยและตลาดโลกให้เติบโตเป็นแกนกลาง

“ระเบียบโลกใหม่” นำไปสู่การเติบโตของแนวคิดเรื่องจุดจบทางประวัติศาสตร์หรือ The End of History ที่ฟรานซิส ฟุกุยามา เสนอต่อว่าระเบียบโลกที่วางอยู่บนเสรีประชาธิปไตยและตลาดโลกแบบนี้คือ “จุดจบ” หรือ “จุดหมาย” ที่สังคมมนุษย์ก้าวหน้าจนไม่มีทางเดินไปนอกกรอบนี้ได้อีกเลย

เพื่อประโยชน์ในการตามประเด็น ขออธิบายอีกนิดว่า “The End” หรือ “จุดจบ” ของฟุกุยามามาจากแนวคิดเฮเกล-มาร์กซ์ว่าสังคมมนุษย์มีวิวัฒนาการที่ก้าวหน้าถึงจุดที่ไม่มีอะไรให้ก้าวหน้าต่อไป สำหรับเฮเกลคือเสรีประชาธิปไตย สำหรับมาร์กซ์คือคอมมิวนิสต์ ซึ่งต่างจากคำว่า “จุดจบ” ภาษาไทย

แน่นอนว่า “ระเบียบโลกใหม่” หรือ “จุดจบทางประวัติศาสตร์” ถูกวิจารณ์ตั้งแต่ต้นว่าทำให้สหรัฐเป็นผู้นำเหนือประเทศต่างๆ ในการปกป้องตลาดโลกและเสรีประชาธิปไตย และเมื่อมาถึงทศวรรษ 2000 “ระเบียบโลกใหม่” ก็ถูกวิจารณ์ว่าโดยเนื้อแท้แล้วคือ “Empire” หรือ “จักรวรรดิ” เท่านั้นเอง

“จักรวรรดิ” แตกต่างจาก “ระเบียบโลกใหม่” อย่างไร?

 

พูดง่ายๆ คือ “ระเบียบโลกใหม่” ให้น้ำหนักไปที่ความร่วมมือระหว่างพันธมิตรประเทศต่างๆ ซึ่งมีความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างเท่าเทียมกัน ขณะที่ “จักรวรรดิ” ไม่ใช่เรื่องของประเทศแต่เป็นเรื่องของ “เครือข่าย” ที่จะจรรโลงความไม่เท่าเทียม

Antonio Negri และ Michael Hardt เขียนหนังสือเรื่อง Empire พูดถึงโลกที่ศูนย์กลางไม่ใช่ประเทศอย่างสหรัฐ จีน หรือรัสเซีย แต่คือโลกที่ศูนย์กลาง ได้แก่ สหรัฐ, G8, IMF, WTO และบรรษัทข้ามชาติต่างๆ ที่ควบคุมโลกแบบเบ็ดเสร็จเพื่อจรรโลงความไม่เท่าเทียมทางเศรษฐกิจไว้ต่อไป

ขณะที่สงครามเย็นมีความขัดแย้งหลักคือการแบ่งขั้วระหว่างสหรัฐกับโซเวียต และแนวคิด “ระเบียบโลกใหม่” มีความขัดแย้งหลักคือประเทศต่างๆ กับประเทศซึ่งทำลายระเบียบโลก ตัวละครใน “Empire” ไม่ใช่ “ประเทศ” และโจทย์โลกไม่ได้มีแค่ “ความขัดแย้งระหว่างประเทศ” ต่อไป

Empire อยู่ได้ด้วยการมีผลประโยชน์ร่วมกันของประเทศ, บรรษัทข้ามชาติ, คณาธิปไตยข้ามประเทศ (Transnational Oligarchy) และองค์กรโลกบาล (Global Governance) ขณะที่คู่ขัดแย้งหลักของ Empire คือ Multitude ซึ่งไม่ได้มีประเทศใดประเทศหนึ่งเป็นแกนกลาง

ในโลกยุค Empire โจทย์ใหญ่ของโลกคือการต่อสู้เพื่อลดโลกร้อนกับบรรษัทข้ามชาติและประเทศต่างๆ, ลดความเหลื่อมล้ำกับกลุ่ม G8 และคนชั้นสูงระดับ 1% ในโลก, ร่วมกันต่อสู้เพื่อสันติภาพในยูเครน ฯลฯ

ซึ่งทั้งหมดล้วนไม่ได้มีประเทศใดประเทศหนึ่งเป็นศูนย์กลาง

 

มาตรการภาษีของทรัมป์ “เปลี่ยนระเบียบโลกใหม่” ในความหมายของการดึงโลกกลับสู่ยุคที่ “ประเทศ” หรือ “รัฐชาติ” เป็นศูนย์กลาง

ความขัดแย้งในโลกกลายเป็นความขัดแย้งระหว่างประเทศนั้นประเทศนี้ ยิ่งไปกว่านั้นคือความขัดแย้งนี้ไม่มีคุณค่าอะไรที่เป็นสากลยึดเหนี่ยวเลย

ขณะที่โลกในอดีตป้องกันปัญหาสงครามการค้าด้วยการตั้งองค์กรอย่าง WTO มาดูแลการค้าให้เสรีและเป็นธรรม

สหรัฐในยุคทรัมป์เลือกที่จะสร้างสิ่งที่เรียกว่า “ความเป็นธรรม” ให้เศรษฐกิจสหรัฐโดยนโยบายกำแพงภาษีซึ่งเป็นนโยบายการค้าที่ไม่สนใจกติกาการค้าโลกต่อไปอีกเลย

ทันทีที่ทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีตอบโต้ประเทศต่างๆ ทรัมป์กำลังบอกโลกว่าสหรัฐคือศูนย์กลางของโลก ไม่มีใครเป็นพันธมิตร ทุกประเทศในโลกเท่ากันหมดในสายตาสหรัฐยุคทรัมป์ และทุกประเทศมีหน้าที่ต้องปรับปรุงภาษีเพื่ออยู่ร่วมกับสหรัฐภายใต้ระเบียบโลกใหม่ที่ทรัมป์สร้างขึ้นมา

ตรงข้ามกับสหรัฐยุคสงครามเย็น, ยุค New World Order และยุค Empire ที่พันธมิตรสหรัฐคือนาโต, สหภาพยุโรป, อังกฤษ, ฝรั่งเศส ฯลฯ

สหรัฐยุคทรัมป์ดำเนินนโยบายภาษีที่สร้างความเดือดร้อนต่อประเทศพันธมิตรสหรัฐทั้งหมด ไม่ต้องพูดเรื่องนาโตที่สหรัฐมีปัญหากับยุโรปตั้งแต่สงครามยูเครน

 

ถ้าเข้าใจภาพรวมว่าโลกอยู่ในทิศทางนี้มากบ้างน้อยมาเกือบหนึ่งร้อยปีแล้ว สิ่งที่ทรัมป์คือการแตกหักจาก “ระเบียบโลก” ที่ในอีกแง่หนึ่งจะนำโลกไปสู่ทิศทางที่อันตรายกว่าเดิม ตัวอย่างง่ายๆ คืออนาคตโลกจะเป็นอย่างไรเมื่อผู้นำประเทศที่ใหญ่ที่สุดไม่สนใจปัญหา “โลกร้อน” เลย

เร็วเกินไปที่จะบอกว่าทรัมป์นำสหรัฐกลับไปสู่ยุค Isolationist หรือการโดดเดี่ยวตัวเองแบบก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 หรือไม่ เพราะโลกทุกวันนี้อยู่ภายใต้โครงสร้างการผลิตและโครงสร้าง Supply Chain ที่โยงใยกันสลับซับซ้อนจนโอกาสที่จะเกิดอะไรแบบนั้นก็ยากเหลือเกิน

Ray Dalio ผู้ก่อตั้ง Bridgewater หนึ่งในกองทุนเฮดจ์ฟันด์ขนาดใหญ่ของโลก พูดถึงการแตกหักจากระเบียบโลกโดยทรัมป์ไว้น่าสนใจ

เขาเชื่อว่านโยบายทรัมป์จะนำมาซึ่งการเกิด Stagflation หรือภาวะเศรษฐกิจชะงักงันที่มาพร้อมเงินเฟ้อพุ่งและการจ้างงานต่ำแบบระยะยาวระดับสิบปี

ไม่ว่า Ray จะพูดถูกหรือไม่ ปัญหา Stagflation เป็นเรื่องที่พูดถึงในสหรัฐขึ้นเรื่อยๆ เช่นเดียวกับการถดถอยจากบทบาทพิทักษ์โลกด้านต่างๆ ซึ่งหมายความว่านโยบายภาษีไม่ใช่แค่เรื่องการค้า ไม่ใช่แค่เรื่องเจรจากับสหรัฐ

แต่นี่คือการเปลี่ยนระเบียบโลกครั้งใหญ่ที่ไทยต้องคิดทุกอย่างใหม่หมดเลย

คำแถลงของรัฐบาลแพทองธารเรื่องไทยเป็นพันธมิตรสหรัฐมานานนั้นดูซึ้งดี

แต่เป็นความซึ้งที่สหรัฐอาจไม่ซึ้งด้วยในยุคที่ขนาดพันธมิตรระดับยุโรปก็โดนมาตรภาษีมหาโหดด้วย ไทยจะเจรจาอย่างไรจึงยาก

และการมีหัวหน้าทีมที่ไมใช่พันศักดิ์อาจเป็น move ที่ดีที่สุดที่รัฐบาลนี้ทำไป