ทรัมป์ประกาศสงครามการค้าสะท้านโลก สะเทือนถึง ‘ซาเล้ง’ เมืองไทย

รายงานพิเศษ | มงคล วัชรางค์กุล

 

ทรัมป์ประกาศสงครามการค้าสะท้านโลก

สะเทือนถึง ‘ซาเล้ง’ เมืองไทย

 

ทรัมป์ประกาศสงครามการค้าครั้งล่าสุดเมื่อ 2 เมษายน 2025 ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าสู่อเมริกาจาก 180 ประเทศทั่วโลก

สะเทือนเลื่อนลั่นเหมือนทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ไปทั่วโลก

ก่อนหน้านั้นหนึ่งวัน ผู้ว่าการธนาคารชาติญี่ปุ่นออกมาเตือนทรัมป์ว่า หากประกาศขึ้นภาษีนำเข้าจากประเทศทั่วโลก จะทำให้เกิดความปั่นป่วนในระบบการค้าโลก พร้อมนัดบรรดาประเทศ G26 ประชุมปรึกษาหารือในอีก 2 อาทิตย์หลังคำประกาศของทรัมป์

ผู้ว่าการแบงก์ชาติญี่ปุ่นคงได้กลิ่นข่าวนี้ จึงออกมาให้ข่าวตัดหน้า แต่ทุกอย่างก็ไม่มีผลอะไร เพราะทรัมป์ไม่ฟังเสียงใครทั้งนั้น

ทรัมป์ให้เหตุผลในการประกาศสงครามการค้าว่า บรรดาประเทศต่างๆ ได้เอาเปรียบทางการค้ากับอเมริกามายาวนานหลายสิบปี ด้วยการคิดภาษีนำเข้าสินค้าจากอเมริกาสูงมาก สูงกว่าที่อเมริกาคิดจากประเทศเหล่านั้นตลอดมา

ดังนั้น วันนี้อเมริกาจึงปรับปรุงภาษีนำเข้าจากแต่ละประเทศขึ้นมาใหม่ เพื่อเป็นการปลดแอกและประกาศอิสรภาพทางการค้าของอเมริกา ตั้งชื่อวันนั้นว่า “Liberation Day” หรือ “วันประกาศอิสรภาพทางเศรษฐกิจ”

ทั้งนี้ โดยไม่สนใจกติกาขององค์การการค้าโลก (World Trade Organization-WTO) หรือสัญญาการค้าใดๆ ที่เคยเซ็นไว้กับใคร เป็นอันยกเลิกหมด

 

อัตราภาษีนำเข้าของแต่ละประเทศที่ประกาศใหม่มีผลบังคับใช้เริ่มวันใหม่ของ 9 เมษายน 2025

ก่อนหน้านี้ เที่ยงคืนของ 4 มีนาคม 2025 ทรัมป์ประกาศขึ้นภาษี (tariff) สินค้าขาเข้าจากแคนาดาและเม็กซิโก 25% จีนเพิ่มอีก 10% จากเดิมที่เก็บอยู่แล้ว 10% รวมเป็น 20%

ในส่วนการขึ้นภาษีสินค้าจากแคนาดา มีผลให้แคนาดางดส่งน้ำมันและก๊าซเข้าสู่อเมริกาทันที ท่อน้ำมันจากแคนาดาว่างเปล่า มีผลให้ราคาน้ำมันและก๊าซในอเมริกาปรับสูงขึ้น

คนอเมริกันคือผู้แบกรับภาระน้ำมันและก๊าซแพงโดยทั่วหน้า

ความจริงที่เจ็บปวดยิ่งกว่านั้นคือ หลังจากอเมริกาประกาศสงครามการค้ากับแคนาดาเพียง 48 ช.ม. แคนาดาหันไปเซ็นสัญญาขายน้ำมันและก๊าซให้จีน นั่นคือการเซ็นสัญญาระหว่างบริษัท Suncor ของแคนาดา กับ Rongsheng Petchem บริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ของจีน

และถือเป็นครั้งแรกของการปักธงชาติจีนบนท่อน้ำมันแห่งทวีปอเมริกาเหนือภายใต้การผลักดันของทรัมป์ชักนำแคนาดาสู่อ้อมอกจีน

สำหรับอเมริกา ไม่มีอีกแล้วน้ำมันและก๊าซราคาถูกจากแคนาดาเพื่อนน้ำมิตรผู้เคยชิดใกล้ พอกันที

ที่เลวร้ายยิ่งไปกว่านั้นคือ แคนาดาตัดกระแสไฟฟ้าที่ส่งให้อเมริกาวันที่ 15 เมษายน 2025 ที่ผ่านมา

มีความเป็นไปได้ที่รัฐนิวยอร์กที่รับไฟฟ้าจากแคนาดาจะมีโอกาสไฟดับ โดยเฉพาะในหน้าร้อนที่กำลังจะมาถึง เพราะไฟฟ้าจะมีไม่พอปั่นไฟเลี้ยงเครื่องแอร์ทั้งรัฐนิวยอร์ก

ดังนั้น จึงมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดไฟดับในนิวยอร์กซิตี้

ปี 1977 เคยเกิดไฟดับในนิวยอร์กซิตี้ คราวนั้นเกิดการปล้นสนั่นแมนฮัตตัน บรรดาคนดำและมิตรรักเปอร์โตริกอนพากันทุบกระจกโชว์รูมทุกแห่งในนครนิวยอร์กเข้าไปขโมยของ

บรรดานักปล้นหลายสิบคนถูกกระจกบาดต้องไปทำแผลที่โรงพยาบาล King County กลางนครนิวยอร์กอย่างเนืองแน่น จนต้องกางเต็นท์รับคนไข้ด้านหน้าโรงพยาบาล

พวกหมอทำแผลให้โดยไม่มีคำถาม เพราะรู้ๆ กันอยู่ว่าบาดแผลเกิดจากอะไร

ปีนั้น คนข้างกายเป็น Resident เด็กที่โรงพยาบาล Down State Medical Center ขึ้นอยู่กับ State University of New York ที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้าม เธอเล่าว่า เธอข้ามไปช่วยทำแผลให้เด็กที่ถูกกระจกบาด เพราะตามพ่อแม่เข้าไปช่วยขโขยของด้วย

เหตุการณ์ปล้นสนั่นนิวยอร์กกำลังจะกลับมาให้เห็นอีกครั้งหนึ่งในอีกไม่นานนี้ จับตามองให้ดี

ทั้งนี้ ด้วยอภินันทนาการจากโดนัลด์ ทรัมป์ แด่ชาวนิวยอร์กเกอร์

 

กล่าวถึงภาษีนำเข้าที่อเมริกาคิดเพิ่มจากไทยคือ 36% ทางอเมริกาอธิบายว่านี่เป็นการคิดเพียงครึ่งเดียวของภาษีขาเข้าเฉลี่ยที่ไทยคิดจากสินค้าอเมริกาที่ 72%

สรุปรอบนี้นอกจากภาษีพื้นฐานที่อเมริกาคิดอยู่เดิม 10% บวกกับภาษีใหม่ 36% รวมแล้วสินค้าไทยเข้าอเมริกาจะโดนภาษี 10+36 = 46% ถือว่าโดนหนักมาก

ถามว่า ทำไมสินค้าไทยเข้าอเมริกาจึงโดนขึ้นภาษีหนัก คำตอบหนึ่งที่รัฐบาลไทยไม่กล้าอธิบายให้ประชาชนฟัง คืออาจเป็นผลพวงจากการที่ไทยส่งกลับผู้อพยพอุยกูย์ให้จีน แถมยังทำการ “ฟอกขาว” ให้จีน โดยรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกลาโหม นายภูมิธรรม เวชชยัน ยังพาผู้สื่อข่าวไทยไปเยือนซินเกียงเพื่อยืนยันว่าผู้ลี้ภัยอุยกูย์ที่ส่งกลับมีความเป็นอยู่ที่ดี (ภายใต้การจัดฉากของจีน)

การที่ไทยสนิทสนม ยกย่อง พินอบพิเทาจีน จึงต้อง “โดนหนัก” จากอเมริกา

ถึงตอนนี้ สินค้าส่งออกไทยมีอาการ “ไปไม่เป็น” ไม่รู้ว่าจะส่งออกไปขายที่ไหนแล้ว เพราะ EU ก็มีนโยบายกดดันสินค้าไทยผ่านการค้า FTA ด้วยสาเหตุเดียวกันคือจากการส่งกลับผู้ลี้ภัยอุยกูย์ให้จีน

เรียกว่าการเอาใจจีน ส่งกลับผู้ลี้ภัยอุยกูย์ให้จีนคราวนี้ไทยขาดทุนย่อยยับ

 

ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ประเมินผลกระทบของภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ที่มีต่อประเทศไทย หลังทรัมป์ประกาศเก็บภาษีนำเข้าจากไทยอีก 36% ว่า

จะทำให้มูลค่าการส่งออกรวมของไทยลดลงประมาณ 359,104 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนลดลงประมาณ 1.93% ของ GDP อันจะมีผลให้เศรษฐกิจขยายตัวลดลง 1-2% ดังนั้น จึงมีความเสี่ยงที่เศรษฐกิจไทยที่คาดว่าปี 2025 จะเติบโตระดับ 2.8-3% นั้น จะมีอัตราเติบโตแค่ 1.6%

ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เสนอแนะให้รัฐบาลไทยนำเข้าพืชผลเกษตรจากอเมริกา เช่น นำเข้าข้าวโพด, ถั่วเหลืองมาใช้ทำอาหารสัตว์, นำเข้าเนื้อสัตว์ เช่น เนื้อหมูและเครื่องในหมูมาทำอาหารและผลิตภัณฑ์จากอาหาร และควรนำเข้ายุทธปัจจัยจากอเมริกาบ้าง (ไม่ใช่จะซื้อจากจีนท่าเดียว)

เพื่อผลในการเจรจาลดหย่อนภาษีนำเข้าจากอเมริกา

ณ สภาพในปัจจุบันจะมีบริษัทไทยที่รอดจากการถูกเก็บภาษีนำเข้าอเมริกา 46% คือบริษัทที่มีสำนักงานในอเมริกา เช่น บริษัท ไทยยูเนี่ยน (TUF) สามารถนำเข้าผลิตภัณฑ์สู่อเมริกาโดยไม่โดนกำแพงภาษีเพราะเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในอเมริกาด้วยแล้ว ส่งสินค้าเข้าขายในอเมริกาได้ทุกผลิตภัณฑ์ จึงควรจับจ้องหุ้นของ TUF ไว้ให้ดี

 

นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร เรียกประชุมวางแผนแก้ไขการขึ้นภาษีนำเข้าของอเมริกา แล้วแต่งตั้งให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายพิชัย ชุณหวชิร เป็นหัวหน้าคณะเจรจา เดินทางไปเจรจาที่วอชิงตัน ดี.ซี.

การแต่งตั้งระดับหัวหน้าคณะเจรจาเป็นแค่ รมต.คลังก็จะได้เข้าพบแค่ระดับ รมต.คลังสหรัฐ ซึ่งไม่มีอำนาจการตัดสินใจใดๆ ไม่มีโอกาสเข้าพบทรัมป์โดยตรง จึงไม่ได้รับการตัดสินใจจากอเมริกาในทันที

ในขณะที่มิตรสนิทของอเมริกาอย่างอิสราเอลที่โดนภาษีการค้า 17% ด้วยเหตุผลว่าอิสราเอลเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐสูงถึง 33% จึงต้องโดนเรียกเก็บคืนครึ่งหนึ่งนั้น อิสราเอลส่งนายกรัฐมนตรีเนทันยาฮู เดินทางไปเจรจากับทรัมป์ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี.ทันที เพื่อนำเสนอลดภาษีสินค้านำเข้าจากอเมริกาเหลือเพียง 5%

เนทันยาฮู เป็นนายกรัฐมนตรีต่างชาติคนแรกที่เข้าพบเจรจาเรื่องกำแพงภาษีกับอเมริกา

ในความเป็นจริง นายกฯ เนทันยาฮูของอิสราเอลคือผู้นำต่างชาติคนแรกที่เข้าพบแสดงความยินดีหลังทรัมป์เข้าครองทำเนียบขาว ตอกย้ำภาวะความสนิทสนมสูงสุด เยรูซาเลม-วอชิงตัน ดี.ซี.

ในช่วงเวลาใกล้กัน นายกรัฐมตรีญึ่ปุ่น ชิเงรุ อิชิบะ ที่โดนอเมริกาเรียกเก็บภาษีนำเข้า 24% ตัวเลขนี้จะทำให้รถยนต์ญี่ปุ่นที่ขายในอเมริกาแพงขึ้นอีก 25% แข่งขันกับรถอเมริกันยากขึ้น เพราะญี่ปุ่นโดนเรียกเก็บภาษี 24%

ทั้งที่ญี่ปุ่นคือผู้ลงทุนในอเมริกาสูงที่สุดในโลก

นายกฯ ญี่ปุ่น ชิเงรุ อิชิบะ คือผู้นำต่างชาติคนที่ 2 ที่เข้าเยี่ยมคารวะแสดงความยินดีเมื่อทรัมป์เข้าครองทำเนียบขาว วันนั้นทรัมป์กล่าวแสดงความยินดีที่อเมริกาและญี่ปุ่นบรรลุข้อตกลงเรื่องเหล็กกล้า Japan Steel จะเข้าลงทุนเหล็กในอเมริกาเต็มรูปแบบ กระนั้น ญี่ปุ่นก็ยังไม่วายโดนเรียกเก็บภาษีเพิ่มขึ้น 24%

นายกฯ ชิเงรุ อิชิบะ จึงรีบเดินทางไปเจรจากับทรัมป์ในทันที เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่สองที่เข้าเจรจากับทรัมป์เรื่องกำแพงภาษี

ทั้งอิสราเอลและญี่ปุ่นที่เป็นมิตรใกล้ชิดกับอเมริกาล้วนส่งระดับนายกรัฐมนตรีเข้าเจรจากับทรัมป์ แล้วไทยเป็นใครจึงส่งแค่ระดับ รมต.คลังไปเจรจา

 

เหตุผลใหญ่ที่รัฐบาลไทยไม่ยอมแถลง คือผู้นำระดับสูงของไทยอาจขอวีซ่าเข้าอเมริกาไม่ผ่าน

เรื่องนี้เกิดขึ้นหลังจากไทยส่งกลับผู้ลี้ภัยอุยกูย์ให้จีนเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2025 สำนักข่าว VOA ไทยรายงานเมื่อ 15 มีนาคม 2025 ว่า รมต.ต่างประเทศสหรัฐ มาร์โค รูบิโอ ได้แถลงด้วยตัวเองถึงมาตรการลงโทษเจ้าหน้าที่ไทยในปัจจุบันและในอดีตที่เกี่ยวข้องทั้งโดยตรงและทางอ้อมกับการบังคับเนรเทศชาวอุยกูร์กลับไปจีนด้วยการงดวีซ่าเข้าอเมริกา มีผลถึงครอบครัวคนเหล่านั้นด้วย

ข่าวแจ้งว่ามีเจ้าหน้าที่ไทย 24 คนที่ถูกระงับวีซ่า แต่ยัง “ไว้หน้า” ไม่มีการระบุชื่อ

โดยทั่วไป บทลงโทษอาจจะต้องเริ่มต้นด้วยเบอร์ใหญ่สุดคือนายกรัฐมนตรี ที่เพิ่งเดินทางไปเยือนปักกิ่ง พอกลับมาก็จัดส่งอุยกูร์ให้จีนทันที อันดับต่อมาคือ รมต.ต่างประเทศไทย ตามมาด้วยหมายเลข 3 ที่จะต้องโดนแน่ๆ คือ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช) หลังจากนั้นคือเจ้าหน้าที่ระดับรองๆ ลงไป

ในประเด็นนี้ ถ้านายกฯ ไทยขอวีซ่าเข้าอเมริกาได้ก็ควรจะต้องเดินทางไปเจรจาด้วยตัวเอง เพราะการเดินทางไปไม่มีอะไรจะเสีย หากได้อะไรติดมือมา จะเป็นผลงานใช้ในการหาเสียงได้เป็นอย่างดี

แต่ก็มีข้อน่าสงสัยผู้นำไทยจะไม่ไปอเมริกาด้วยเหตุผล “ลับ” เพราะวีซ่าไม่ผ่านหรือไม่ คือสิ่งที่ต้องติดตามกันต่อไป และหวังว่าคงไม่เป็นเช่นนั้น

 

วันที่ทรัมป์ประกาศเรื่องตั้งกำแพงภาษี 180 ประเทศทั่วโลก หุ้น Dow Jones ลดลง 1,700 จุด วันรุ่งขึ้นยังลดลงต่ออีก 1,000 กว่าจุด ด้วยความกังวลว่า จะเกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำในอเมริกาและทั่วโลก (The Great Depression) เหมือนปี 1930 ย้อนรอยมาเกิดขึ้นอีกครั้งอันจะส่งผลกระเทีอนทั่วโลก

ตอนที่ทรัมป์ประกาศมาตรการขึ้นภาษีนำเข้านั้น ทรัมป์ย้ำถึงประเทศต่างๆ ว่าอย่าต่อต้านหรือขึ้นภาษีโต้กลับอเมริกา แต่นั่นไม่ใช่สำหรับจีนที่เป็นยักษ์ใหญ่และมีศักดิ์ศรีจะยอมรับได้ ดังนั้น จีนจึงประกาศขึ้นภาษีตอบโต้สินค้าอเมริกาทันทีใน 24 ชั่วโมง เพิ่มขึ้น 34% เท่าเทียมกับที่อเมริกาประกาศขึ้นภาษีจีน 34% รวมทั้งเพิ่มความเข้มงวดกับการส่งออกแร่หายาก 7 ชนิดให้อเมริกา

วันที่จีนออกประกาศนี้ หุ้นอเมริการ่วงระนาวพันกว่าจุด

ทรัมป์โพส์ตข้อความบน Truth Social แสดงความไม่พอใจที่รัฐบาลจีนเพิกเฉยต่อคำเตือนที่ว่า ไม่ควรดำเนินมาตรการตอบโต้การตั้งกำแพงภาษีของอเมริกา พร้อมทั้งขู่ว่าหากรัฐบาลจีนไม่ยกเลิกมาตรการภาษีตอบโต้ต่อสินค้าของสหรัฐภายในวันที่ 8 เมษายนที่ผ่านมา อัตราการกำหนดกำแพงภาษีจากจีนจะถูกปรับเพิ่มขึ้นอีก 50%

นั่นคือสินค้านำเข้าสหรัฐจากจีนทุกตัวจะโดนกำแพงภาษี 104%

ทรัมป์ยังระบุอีกว่า คำขอพบปะพูดคุยใดๆ ของจีนจะถูกยกเลิก

ส่วนการเจรจาทางการค้ากับประเทศอื่นๆ ที่ร้องขอเข้ามา จะเริ่มต้นได้ทันที

 

เมื่อช้างสารชนกัน หญ้าแพรกคงแหลกลาญ สินค้าจีนที่เข้าอเมริกาไม่ได้จะถูกทุ่มตลาดมายังแถบอาเซียน โดยเฉพาะไทย และจะทุ่มตลาดอย่างมโหฬารจนทำให้ผู้ประกอบการในไทยเจ๊งระเนระนาด

ใช่แต่เพียงผู้ประกอบการทั่วไปจะโดนผลกระทบจากกำแพงภาษีของทรัมป์ แม้แต่ผู้ประกอบการรายย่อยสุดอย่าง “ซาเล้ง” ก็ยังอยู่ยาก

ซาเล้งแถวซอยอารีย์พหลโยธินเล่าว่า นับแต่ทรัมป์ประกาศขึ้นภาษี ซาเล้งก็หากินลำบาก พวกกล่องพลาสติกต่างๆ รวมทั้งแกลลอนน้ำมันเครื่องขายไม่ได้ โรงงานไม่รับซื้อเพราะเอาไปรีโปรดักต์แล้วส่งออกไปจีนไม่ได้ เพราะจีนผลิตแล้วส่งออกเข้าอเมริกาไม่ได้

นโยบายกำแพงภาษีของทรัมป์โดนกันมาเป็นทอดๆ จนถึง “ซาเล้ง” เมืองไทย

อดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน กล่าวคำปราศรัยครั้งสุดท้ายอำลาตำแหน่งประธานาธิบดีจากห้อง Oval Office ทำเนียบขาวเมื่อ 16 มกราคม 2025 เขาบอกว่า “ต่อไปนี้ อเมริกาจะเริ่มต้นถูกปกครองโดยระบบ ‘คณาธิปไตย (Oligarchy)’ – อำนาจการปกครองบนโครงสร้างที่บิดเบี้ยว อำนาจที่กระจุกอยู่กับบุคลส่วนน้อยอย่างชะงัดที่จะเปลี่ยนแปลงสิทธิขั้นพื้นฐานของเรา และอิสรภาพของเรา (Our basic rights and freedom)

ทั้งนี้ ด้วยการปกครองจากจากกลุ่มคนที่ตรวจสอบไม่ได้ คนที่ไม่ยอมฟังเสียงใคร เอาแต่ใจตัวเอง เป็นสิ่งที่อันตรายมากที่อำนาจของพวกเขาเหล่านั้นไม่สามารถตรวจสอบได้ (their abuse of power is left unchecked)…”

ขอคารวะไบเดนที่มองปัญหาได้ทะลุปรุโปร่งตั้งแต่ทรัมป์ยังไม่เข้ารับตำแหน่ง และสิ่งนี้กำลังเกิดขึ้นกับอเมริกาในนาทีนี้