ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 18 - 24 เมษายน 2568 |
---|---|
คอลัมน์ | ทะลุกรอบ |
ผู้เขียน | ดร. ป๋วย อุ่นใจ |
เผยแพร่ |
ทะลุกรอบ | ป๋วย อุ่นใจ
เทคโนโลยีฟื้นคืนสายพันธุ์
‘สุนัขป่าโลกันตร์’ หมื่นปี
โอ๊ว โอ๊ว โอ๊วววว! เสียงช่างแสบแก้วหู แต่นี่เป็นเสียงแห่งประวัติศาสตร์ เพราะนี่คือเสียงร้องของสุนัขป่าโลกันตร์ (Dire Wolf)
คลิปสองหมาในยูทูบที่เผยแพร่ออกมาของโคลอสซัลแพร่กระจายไปรวดเร็วยิ่งกว่าไฟลามทุ่ง กลายเป็นข่าวใหญ่ไวรัลในชั่วข้ามคืน เรียกว่าแสงส่องเข้าเต็มๆ ทำเอาผู้ถือหุ้นโคลอสซัลยิ้มกริ่มกับกระแสแห่งความสำเร็จ
โรมูลัส (Romulus) และเรมัส (Remus) สองหมาป่าโลกันตร์ในตำนานนั้นถือกำเนิดขึ้นมาเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2024 หลังจากที่สูญพันธุ์ไปแล้วนานนับหมื่นปี
ต้องยอมรับว่าทีมนี้ท็อปฟอร์มจริงๆ เพราะเมื่อเดือนก่อน ก็เพิ่งเปิดตัวหนูขนแมมมอธออกมาจนเป็นที่ฮือฮาไปแล้วรอบหนึ่ง
หนูแรต (rat) หรือที่ภาษาไทยมักเรียกว่าหนูท่อ ปกติขนสั้นเตียน สีเทาดำดูอัปลักษณ์ ได้ยีนแมมมอธเข้าไปทดสอบแค่ไม่กี่ยีน ยังเปลี่ยนลุคเป็นขนยาวหยักศก วูลลี่ (woolly) หน้าตาออกมาละม้ายคล้ายแมมมอธ (เวอร์ชั่นหนู) ได้เลย

การทดลองในหนูท่อถือเป็นกุศโลบายที่ชาญฉลาด เพราะหนูท่อมีระยะครรภ์แค่ราวๆ ยี่สิบห้าวัน การทดลองในหนูท่อจึงใช้เวลาเพียงแค่แป๊บเดียว ก็สามารถรู้ได้แจ้งชัดแล้วว่าจากยีนที่ใส่เข้าไป ผลที่ได้จะออกมาเป็นแบบไหน โปรโตคอลที่ใช้ในการทดลองก็ชัดเจน โอกาสที่จะทำการทดลองแล้วออกมาแป๊กก็น้อย
ในขณะที่ถ้าจะทำทดลองในช้าง นอกจากโปรโตคอลยังไม่นิ่งแล้ว ยังต้องใช้เวลาเนิ่นนานอาจจะถึงเกือบสองปีกว่าจะเริ่มเห็นผล
“ขนยาววูลลี่สีทอง ชัดเจนว่านี่คือลักษณะขนของแมมมอธ” เบธ ชาปิโร (Beth Shapiro) วิศวกรชีวภาพ หัวหน้าทีมวิจัยของบริษัทโคลอสซัล ไบโอไซแอนซ์ (Colossal Biosciences) อุทานด้วยความตื่นเต้น
หนูแมมมอธขนยาววูลลี่ (woolly) สีน้ำตาลทองสดใส คือ บทพิสูจน์ที่สำคัญที่จะชี้ชัดว่าการย้อนสูญพันธุ์แมมมอธด้วยวิธีนี้นั้นเป็นไปได้จริง และเป้าหมายที่จะฟื้นชีพแมมมอธขึ้นมาให้ได้ภายในปลายปี 2028 นั้น แม้จะฟังดูอหังการ์และทะเยอทะยาน แต่ก็ไม่ได้อยู่ไกลเกินที่จะฝัน
แต่เวลาก็งวดเข้ามาแล้ว เพราะช้างนั้นใช้เวลาตั้งครรภ์ราวสองปี ถ้าอยากได้เบบี้แมมมอธตัวเป็นๆ ออกมาให้ได้จริงตามเป้าในปี 2028 พวกเขาจะต้องมีเอ็มบริโอของแมมมอธที่พร้อมฝังตัวในแม่อุ้มบุญเรียบร้อย ตั้งแต่ปลายปี 2026
“ฉันเชื่อเหลือเกินว่างานนี้ต้องเกิด” เบธ ชาปิโร กล่าว “ทุกอย่างกำลังดำเนินไปตามแผนที่วางไว้”

แต่ไม่ใช่แค่หนูที่พวกเขาทำการทดลอง แม้ว่าหนูแมมมอธจะกลายเป็นกระแสให้กล่าวขวัญถึงในระยะเวลาสั้นๆ แต่ยังไงหนูก็ยังเป็นหนู เป็นแค่สัตว์แปลงพันธุ์ ที่ไม่ต่างอะไรกับแค่การพิสูจน์หลักการ หรือ “proof of concept” ว่าไอเดียที่พวกเขาวางแผนไว้นั้นน่าจะทำได้จริง
ส่วนตัว ผมชอบไอเดียการเลือกสัตว์ของทีมโคลอสซัลสำหรับ 3 มิชชั่นแรก เพราะพวกเขาไม่ได้เลือกจิ้มมาแบบสุ่มสี่สุ่มห้า แต่เน้นเลือกสัตว์ที่เป็นที่รู้จักกันในระดับตำนาน และเลือกสัตว์ที่มีกลไกการฟูมฟักตัวอ่อนที่แตกต่างกันไปแต่ละแบบ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นมิชชั่นไหน ก็มีความน่าสนใจอย่างมากในเชิงเทคโนโลยี
มิชชั่นแรก แมมมอธ ฟูมฟักตัวอ่อนผ่านการตั้งครรภ์ ส่งอาหารให้ลูกผ่านรก ในขณะที่มิชชั่นที่สอง เสือแทสมาเนีย หรือไทลาซีนนั้นเป็นสัตว์ที่มีกระเป๋าหน้าท้องที่จะคอยฟูมฟักตัวอ่อนอยู่ภายในกระเป๋า และมิชชั่นที่สาม นกโดโด้ ซึ่งแม้จะบินไม่ขึ้น แต่ก็เป็นตระกูลนก ออกลูกเป็นไข่
แต่กว่ามิชชั่นพวกนี้จะเริ่มตั้งไข่ มันต้องใช้เวลา…แต่เพื่อให้ยังติดเป็นกระแสโลกและยังเป็นที่จับตามองของพวกนักลงทุน ไม่หลุดหายไปตามกาลเวลา พวกเขาจะต้องหาทางผลักดันความก้าวหน้าใหม่ๆ ออกมาให้ได้เรื่อยๆ และถ้าเปิดตัวออกมาเป็นข่าวไวรัลได้จะยิ่งดี
ก่อนหน้านี้ ก็เห็นเชิญสื่อหลายแขนงเข้าไปเยี่ยมชมห้องทดลองมาแล้ว หลายรอบ ทั้งฟอร์เรสต์ กาลังต์ (Forrest Galante) ทั้ง 60 minute และอีกหลายสื่อ
แต่มันก็ยังไม่ดังและไม่ปัง สิ่งที่จะทำให้โครงการของพวกเขากลายเป็นกระแสไวรัล ต้องเป็นการฟื้นคืนสายพันธุ์สัตว์อะไรสักอย่างที่เคยมีอยู่บนโลกนี้มาก่อนและสูญพันธุ์ไปเนิ่นนานแล้ว ถึงจะสะท้านสะเทือน และถ้าจะให้ดีสิ่งมีชีวิตนั้นต้องเป็นกระแสได้ง่าย
และท้ายที่สุด ก็ไปลงเอยที่สุนัขป่าโลกันตร์ หรือ Dire Wolf สุนัขป่าร่างยักษ์ ที่เป็นที่รู้จักกันในซีรีส์ดังระดับมหากาพย์อย่าง มหาศึกชิงบัลลังก์ หรือ Game of Thrones

ไม่ได้มีแค่ในละคร สุนัขป่าโลกันตร์มีตัวตนจริงๆ บนโลกใบนี้ โดยมากจะกระจายตัวอยู่ในพื้นที่ต่างๆ ในทวีปอเมริกา ไล่ไปตั้งแต่เท็กซัส แคลิฟอร์เนีย เม็กซิโก
จากงานวิจัย “หมาป่าโลกันตร์เป็นสมาชิกสุดท้ายของสายวิวัฒนาการในตระกูลสุนัขโบราณที่มีต้นกำเนิดในโลกใหม่ (Dire wolves were the last of an ancient New World canid lineage) ที่ตีพิมพ์ออกมาในวารสาร Nature ในปี 2021 เผยว่าจากการเปรียบเทียบข้อมูลพันธุกรรม วงศ์วานว่านเครือของพวกหมาป่าโลกันตร์นั้นแยกตัวออกจากสัตว์ในตระกูลสุนัขอื่นๆ ไปแล้วอย่างสิ้นเชิงตั้งแต่ราวๆ ห้าล้านเจ็ดแสนปีก่อน และไม่เคยพบหลักฐานว่าพวกมันกลับมารวมฝูงหรือผสมพันธุ์กันกับสัตว์ในตระกูลสุนัขอื่นๆ อย่างหมาไน (Dholes) โคโยตี้ (Coyote) หรือแม้แต่ญาติสนิทของพวกมันอย่างหมาป่าสีเทา (Gray Wolf) เลยแม้แต่น้อย
ในระบบนิเวศ สุนัขป่าโลกันตร์ หรือ Dire wolf เป็นหนึ่งในผู้ล่าสูงสุดในห่วงโซ่อาหารในยุคไพลสโตซีน (Pleistocene) และผ่านร้อนผ่านหนาวมายาวนานจนมาดับสิ้นจนไม่เหลือเผ่าพันธุ์ไปในช่วงยุคโฮโลซีน (Holocene) หรือราวๆ 10,000 ปีก่อน
เข้าแก๊ป สูญพันธุ์ เชื่อมโยงได้ เป็นตัวละครดัง น่าจะทำให้ติดไวรัลได้ไปอีกพักใหญ่ สุนัขป่าโลกันตร์เพอร์เฟ็กต์สำหรับสื่อ
และได้กลายเป็นมิชชั่นที่สี่ ภารกิจพิเศษคั่นเวลาของทีมโคลอสซัล

ซึ่งในกระบวนการประกอบสายพันธุ์สุนัขป่าโลกันตร์ขึ้นมาใหม่นั้น เริ่มแรกพวกเขาจะต้องเริ่มหาดีเอ็นเอของพวกมันให้ได้ก่อน
“ความท้าทายสำหรับงานนี้ ก็คือมีตัวอย่างซากดึกดำบรรพ์ที่น่าจะยังพอมีดีเอ็นเอที่ใช้ได้เหลืออยู่แค่สองตัวอย่างในโลกใบนี้ ตัวอย่างแรกเป็นตัวอย่างฟอสซิลฟันอายุราวๆ 13,000 ปี และตัวอย่างที่สองคือกะโหลกอายุ 72,000 ปี” สเวน บ๊อกแลนต์ (Sven Bocklandt) หัวหน้าทีมสกัดจีโนมสัตว์โบราณของโคลอสซัลเผย “และเราใช้สองตัวอย่างนี้แหละ เพื่อสกัดดีเอ็นเอดึกดำบรรพ์”
ต่อมาพวกเขาก็เริ่มใช้สายดีเอ็นเอที่ได้ มาประกอบกันใหม่เพื่อสร้างจีโนมที่สมบูรณ์ของสุนัขป่าโลกันตร์ออกมา และใช้อัลกอริธึ่มของ Form Bio บริษัทสตาร์ตอัพที่สปินออกไปแล้วจากโคลอสซัลเพื่อเทียบความเหมือนและความต่างของจีโนมระหว่างสุนัขป่าโลกันตร์ และสุนัขป่าสีเทา
“เราพบว่าจีโนมของสุนัขป่าสีเทากับของสนัขป่าโลกันตร์นั้นตรงกันมากถึง 99.5 เปอร์เซ็นต์” เบธเผย
และในความต่างเพียงเล็กน้อยนั้นเอง พวกเขาก็เริ่มหาว่ามีอะไรบ้างที่ทำให้สุนัขป่าโลกันตร์นั้นแตกต่างจริงๆ ในเชิงกายวิภาคกับสุนัขป่าสีเทา พวกเขาพบว่าสุนัขป่าโลกันตร์นั้นจะมีลักษณะหลักๆ คือ 20 อย่างที่ต่างกันกับสุนัขป่าสีเทา
ซึ่งความแตกต่างของลักษณะพวกนี้จะถูกควบคุมโดยยีนทั้งหมดเพียงแค่ 14 ยีน เช่น ยีน LCORL ที่ทำหน้าที่ในการควบคุมขนาดตัว ทำให้สุนัขป่าโลกันตร์นั้นมีขนาดใหญ่โตมโหฬารกว่าสุนัขป่าสีเทา ยีนที่ทำให้ขนเป็นสีขาว ทำให้กะโหลกกว้าง กรามและเขี้ยวใหญ่ ไหล่และอกแข็งแกร่ง กล้ามเนื้อขาแน่น และเสียงเห่าหอนที่เป็นเอกลักษณ์

หลังจากที่พบความต่างแล้ว พวกเขาก็เริ่มหาเซลล์ของสุนัขป่าสีเทามาเพื่อเป็นต้นแบบ ในการเก็บเซลล์สุนัขป่าสีเทามานี้ เดิมทีมักจะใช้การเก็บจากใบหู หรือไม่ก็ชิ้นเนื้อที่ตัดมา (Biopsy) ซึ่งค่อนข้างจะรุนแรง พวกเขาก็เลยพัฒนาการเก็บเซลล์แบบใหม่โดยการเก็บเซลล์ต้นกำเนิดหลอดเลือด (Endothelial Progenitor Cellls) ออกมาจากเลือดแทน
เมื่อได้เซลล์ที่ต้องการแล้ว พวกเขาก็เริ่มปรับแต่งสารพันธุกรรมให้สุนัขป่าสีเทา กลายไปเป็นสุนัขป่าโลกันตร์ โดยการใช้เทคโนโลยีแก้ไขยีนแบบหลายๆ ยีนในคราวเดียว (Multiplex gene editing)
ซึ่งก็มีปัญหาอยู่บ้าง คือยีนบางยีนอาจจะควบคุมการแสดงออกโปรตีนไม่เหมือนกันและอาจส่งผลประหลาดๆ เช่น ยีนที่ควบคุมขนสีขาวของสุนัขป่าโลกันตร์นั้นมีทั้งหมดสามยีน แต่สองยีนพอเอาไปใส่ในสุนัขป่าสีเทาแล้วจะทำให้ตาบอดหรือหูหนวก
และนั่นทำให้ทางทีมโคลอสซัลต้องเลือกที่จะใช้วิธีขี้โกงคือใช้วิธีแก้ไขยีนเพื่อปิดสวิตช์ของยีนที่สร้างเม็ดสีแดงและดำแทน
นั่นหมายความว่า “ยีน” ที่สุนัขป่าโลกันตร์ตัวใหม่นี้มี บางส่วนนั้นถูกออกแบบปรับแต่งขึ้นมาเองโดยมนุษย์ โดยไม่ได้อ้างอิงถึงจีโนมของสุนัขป่าโลกันตร์ (เพราะพอแสดงออกมาแล้ว มันสร้างปัญหา)
และถึงตรงนี้พวกเขาจะได้เซลล์สุนัขป่าสีเทาที่ถูกปรับแต่งให้กลายเป็นเซลล์ของสุนัขป่าโลกันตร์เป็นที่เรียบร้อย
ต่อมา พวกเขาก็จะใช้วิธีการเดียวกันกับการโคลนแกะดอลลี่ คือใช้การปลูกถ่ายนิวเคลียสของเซลล์สุนัขป่าโลกันตร์ (ที่เพิ่งแก้ไขจีโนมมา) ลงไปในเซลล์ไข่ที่ถูกแยกนิวเคลียส (ที่เป็นที่กักเก็บสารพันธุกรรมเอาไว้) ออกไปแล้วเพื่อสร้างตัวอ่อนของสุนัขโลกันตร์
หลังจากการปลูกถ่ายลงไปในแม่สุนัขอุ้มบุญแล้ว พวกเขาก็ถึงราวต้องลุ้นว่าลูกสุนัขที่ออกมาจะหน้าตาเป็นสุนัขป่าโลกันตร์แค่ไหน
“และเมื่อฉันเห็นแล้วว่าตอนที่พวกมันเกิดมา พวกมันสีขาว ฉันก็รู้เลยว่าพวกเราทำสำเร็จแล้ว” เบธเผย

ทีมโคลอสซัลตั้งชื่อชื่อที่เป็นกิมมิก “เรมัส” และ “โรมูลัส” พี่น้องฝาแฝดผู้บุกเบิกและก่อตั้งกรุงโรม ที่ต่อมาแผ่ขยายกลายเป็นอาณาจักรโรมันขึ้นมา สองคนนี้เชื่อกันว่าพวกเขาเคยได้รับการเลี้ยงดูจากแม่สุนัขป่า อีกทั้งยังเคยดื่มนมสุนัขป่าด้วย
เป็นคอนเซ็ปต์ที่น่าสนใจ ในกรณีของเรมัสและโรมูลัสที่เป็นคน (ในตำนาน) เคยมีหมาป่าชุบเลี้ยง แต่ในเวอร์ชั่นของเรมัสและโรมูลัสที่เป็นน้องหมานั้น ก็มีคนนี่แหละที่ช่วยฟื้นชีพกลับมาและช่วยกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดู
ทุกอย่างดูเหมือนจะโพสิทีฟ พวกเขาร่วมมือกันชนเผ่า เจ้าของที่ดินและนักอนุรักษ์เพื่อหาทางเพาะเลี้ยงพวกมันออกมาให้ดีที่สุด เพื่อให้อยู่รอดต่อไป อย่างน้อยก็ได้กลับมาแล้ว
และด้วยความสำเร็จอย่างท่วมท้นสำหรับเรมัสและโรมูลัส พวกเขาก็ได้ฝังตัวอ่อนน้องสุนัขโลกันตร์ตัวที่สามลงไปในครรภ์ของแม่อุ้มบุญ และตั้งชื่อว่า คาลีซี (Khaleesi) ตามชื่อตัวละครใน Game of Thrones
แต่คำถามที่เธอโดนกระแทกกลับมาแทบจะในทันทีจากจูลี มีเค่น (Julie Meachen) จากมหาวิทยาลัยเดส์ มอยน์ส (Des Moines University) อดีตเพื่อนร่วมงานเก่าของเธอ
“นี่ทำไปแค่เพื่อการบันเทิงงั้นหรือ เพราะนี่ไม่ใช่สุนัขป่าโลกันตร์ นี่คือสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่ สุนัขป่าสีเทาที่มีหน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกับหมาป่าโลกันตร์”
คําถามในมุมมองของจูลีก็น่าสนใจ ว่าที่จริงแล้ว มันคุ้มจริงเหรอกับการทำแบบนี้ ทำไมเราต้องเอาเงินก้อนโตมาลงทุนไปกับการสร้างสัตว์แปลงพันธุ์ตัวใหม่ๆ ขึ้นมาแล้วทึกทักว่าเป็นเวอร์ชั่นสองของสัตว์ที่เคยสูญพันธุ์มาก่อนหน้า จะดีกว่ามั้ยถ้าเราเอาเงินก้อนนี้ไปเพื่อพิทักษ์รักษาตัวที่ยังคงอยู่และเริ่มมีแนวโน้มที่จะสูญพันธุ์
แต่ถ้ามองอีกมุม การวิจัยเกี่ยวกับการฟื้นคืนการสูญพันธุ์ หรือ De-extinction นี้ ก็มีส่วนช่วยไม่น้อยเกี่ยวกับการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อการอนุรักษ์ อย่างวัคซีน และอื่นๆ
ของแบบนี้มันขึ้นกับมุมมอง!
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022