ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 18 - 24 เมษายน 2568 |
---|---|
คอลัมน์ | ธงชัย วินิจจะกูล |
ผู้เขียน | ธงชัย วินิจจะกูล |
เผยแพร่ |
บทความพิเศษ | ธงชัย วินิจจะกูล
เพื่อไทยจะกลายเป็นประชาธิปัตย์หรือไม่
คําถามนี้มิได้หมายถึงการควบรวมพรรคการเมืองหรือนักการเมืองย้ายค่าย
แต่หมายถึงบทบาทสถานะทางการเมืองของพรรคการเมืองภายใต้อำนาจนำของรัฐอำมาตย์ในช่วงปัจจุบันของประวัติศาสตร์การเมืองไทย
อาจมีคนสวนกลับว่าคิดอุตริแบบนั้นได้ยังไง เพราะเพื่อไทยเป็นพรรคฝ่ายประชาธิปไตย ในขณะที่ประชาธิปัตย์มีบทบาทตรงกันข้าม
ผมขอทวนความทรงจำว่าถ้าเราย้อนอดีตไปหลายสิบปีก่อนหน้านั้น จะพบว่าพรรคประชาธิปัตย์ก็เคยได้ชื่อว่าเป็นฝ่ายประชาธิปไตยเพราะต่อสู้กับเผด็จการทหารหลายรอบ จนได้รับความนิยมอย่างมหาศาล
แต่ลงท้ายประชาธิปัตย์ก็กลายเป็นพรรครับใช้อำนาจนำของรัฐอำมาตย์ใน 30 ปีหลังนี้เอง
คำถามในบรรทัดแรกนั้น ถามใหม่ให้ง่ายขึ้นก็คือ เป็นไปได้ไหมที่พรรคเพื่อไทยจะกลายเป็นพรรครับใช้รัฐอำมาตย์ ทำนองเดียวกับที่ประชาธิปัตย์เคยเป็น
จะตอบคำถามนี้คงต้องพิจารณาอย่างน้อยสองปัจจัยประกอบกัน ได้แก่
1) ความเปลี่ยนแปลงของการเมืองไทยและรัฐไทยในช่วงต่างๆ ซึ่งเป็นบริบทของพรรคการเมืองนั้นๆ ประเด็นสำคัญคือรัฐในช่วงนั้นเป็นประชาธิปไตยหรืออำนาจนิยมแบบไหน
2) บทบาทของสถานะของพรรคการเมืองนั้นในบริบทดังกล่าว กล่าวเจาะจงลงไปเลยก็ได้ว่า พรรคนั้นมีบทบาทขยายความเป็นประชาธิปไตยทำให้เข้มแข็งขึ้น หรือเป็นอุปสรรคฉุดรั้งให้หดแคบอ่อนแอลง
ประชาธิปัตย์กำเนิดขึ้นมาเป็นกลไกทางการเมืองของกลุ่มสถาบันนิยมในการต่อสู้กับคณะราษฎรและกองทัพในทศวรรษ 2490
ต่อมาได้ชื่อว่าเป็นพรรคฝ่ายประชาธิปไตยในยุคสมัยที่ต่อสู้กับเผด็จการทหารช่วงทศวรรษ 2510-2520 ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการตกเป็นเหยื่อของพวกขวาจัดช่วงก่อนและหลัง 6 ตุลาคม 2519 ซึ่งทำให้ประชาธิปัตย์ดึงดูดพวกเสรีนิยมไปได้เยอะ ทั้งๆ ที่โดยพื้นฐานแล้ว ประชาธิปัตย์เป็นตัวแทนของฝ่ายอนุรักษนิยมในสนามการเลือกตั้ง
ครั้นฝ่ายสถาบันนิยมกับกองทัพผนึกกำลังกันเข้มแข็งนับจากทศวรรษ 2000 ถึงปัจจุบัน ประชาธิปัตย์จึงกลายเป็นนั่งร้านให้กับรัฐอำมาตย์ในยามที่มีการเลือกตั้งไปในที่สุด
บทบาทเช่นนี้สะท้อนพลังในพรรคซึ่งเริ่มต้นจากปัญญาชน เช่น นักกฎหมาย ครู ฯลฯ แม้จะมีกลุ่มบ้านใหญ่จากท้องถิ่นต่างๆ โดยเฉพาะในภาคใต้ ก็มักจะยอมอยู่ใต้การนำของปัญญาชนอนุรักษนิยมเหล่านั้น
(ผมไม่แน่ใจว่าจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้พลังฝ่ายนี้ถดถอยลงจนถูกบ้านใหญ่ยึดพรรคในปัจจุบัน เพิ่งเกิดขึ้นในการเลือกตั้งไม่กี่ครั้งที่ผ่านมาหรือเริ่มจากการที่ถูกยึดครองโดยปีก กปปส.กันแน่)
พลังการเมืองระดับท้องถิ่นมีมาตลอดตั้งแต่เริ่มต้นรัฐสมัยใหม่ในสมัยรัชกาลที่ 5 โดยมากเป็นปัญญาชนหรือคหบดีท้องถิ่น
แต่พลังที่ต่อมาเรียกว่า “บ้านใหญ่” มากับความเติบโตของนายทุนและเครือข่ายอุปถัมภ์ตามถิ่นต่างๆ ที่เชื่อมโยงกับการพัฒนาเศรษฐกิจระดับชาติ
เริ่มมีบทบาทสำคัญในการเมืองระดับชาติที่เปิดกว้างขึ้นในทศวรรษ 2510 โดยเฉพาะในบริบทของประชาธิปไตยครึ่งใบทศวรรษ 2520 อิทธิพลระดับชาติมีมากขึ้นเรื่อยทั้งในพรรคการเมืองต่างๆ รวมทั้งตั้งพรรคขึ้นมาใหม่ (หากสนใจประวัติศาสตร์บ้านใหญ่ในการเมืองไทย กรุณาหาอ่านได้จากวิทยานิพนธ์ของเวียงรัฐ เนติโพธิ์ และณพล จาตุศรีพิทักษ์)
การเมืองของบ้านใหญ่มีทั้งด้านที่สยบยอมเป็นนั่งร้านรับใช้รัฐราชการของอำนาจอำมาตย์
แต่ในเวลาเดียวกันก็เป็นพลังที่ช่วยขยายไปสู่ประชาชนทำให้ประชาธิปไตยให้เข้มแข็งขึ้น เพราะเป็นพลังนอกรัฐราชการและนอกศูนย์กลาง เป็นตัวแทนของ “ชาวบ้าน” เพื่อมีส่วนร่วมในการใช้อำนาจจัดสรรทรัพยากรให้ถึงมือประชาชนโดยไม่ปล่อยให้อยู่ในการควบคุมครอบงำของรัฐราชการแต่ฝ่ายเดียวอีกต่อไป
บทบาทที่เป็นประชาธิปไตยของบ้านใหญ่เติบโตยิ่งขึ้นภายใต้รัฐบาลไทยรักไทยจนถึงกับขัดแย้งกับรัฐราชการ นำไปสู่การที่ฝ่ายหลังทวงคืนอำนาจและทำให้บ้านใหญ่ทั้งหลายยอมสยบ
คำกล่าวที่ว่า “มันจบแล้วครับนาย” น่าจะเป็นหลักหมายที่บ่งบอกว่าบ้านใหญ่ยอมรับบทบาทสถานะของตนในการเมืองไทยปัจจุบันว่าเป็นได้อย่างมากเพียงผู้รับใช้อำนาจนำของชนชั้นอำมาตย์และรัฐราชการ แลกกับการมีอำนาจในรัฐบาลเพื่อดำเนินการตามความประสงค์สารพัดของบ้านใหญ่ตราบเท่าที่ไม่กระเทือนอำนาจนำของชนชั้นอำมาตย์และรัฐราชการ
ในที่สุดบ้านใหญ่ในพรรคทักษิณก็ยอมรับบทบาทดังกล่าวหลังการเลือกตั้ง 2566 ยอมเป็นนั่งร้านให้กับชนชั้นนำเดิมซึ่งเป็นพลังการเมืองที่ไม่เคยลงเลือกตั้ง แต่ไม่สามารถปฏิเสธการเลือกตั้งได้เช่นกัน
บ้านใหญ่ในพรรคเพื่อไทยส่วนใหญ่ไม่มีบทบาทต่อสู้กับรัฐอำมาตย์และระบอบประยุทธ์ เพราะไม่มีทั้งอุดมการณ์หรือเจตจำนงทางการเมืองจะต่อสู้ขนาดนั้น ส่วนใหญ่อยู่เงียบๆ รอการเลือกตั้ง หลายบ้านเข้าร่วมระบอบประยุทธ์หรือรัฐบาลของชนชั้นนำเดิมได้ทุกชุดด้วยซ้ำไป พวกเขารู้ว่าเพื่อไทยต้องพึ่งตนในการเลือกตั้งหากเพื่อไทยต้องการเป็นรัฐบาล ในขณะที่ชนชั้นนำเดิมยังต้องพึ่งเพื่อไทย
แต่พรรคที่เป็นพลังของบ้านใหญ่อย่างเป็นเอกภาพกว่าอย่างภูมิใจไทย มีแนวทางและอุดมการณ์การเมืองชัดเจนแน่วแน่ก่อนเพื่อไทยเสียอีกว่าจะเป็นนั่งร้านให้รัฐอำมาตย์และภักดีต่อฉันทามติ 112 (ผมไม่เปรียบเทียบเขาว่าเป็นประชาธิปัตย์เพราะเขาไม่เคยเป็นฝ่ายประชาธิปไตย)
ในเมื่อรัฐอำมาตย์มีตัวเลือกที่พร้อมรับใช้ เพื่อไทยจึงอาจถูกถีบออกไปเมื่อใดก็ได้ ไม่ว่าจะเพราะเพื่อไทยเลิกสยบยอม หรือหมดความจำเป็นเพราะความนิยมเพื่อไทยตกต่ำหรือจำนวน ส.ส.ลดลง หรือเพราะตัวเลือกอื่นดีกว่า
คุณคิดว่าเพื่อไทยจะเลือกหนทางใดสู่อนาคต?
ทางเลือกที่หนึ่งคือรื้อฟื้นพันธมิตรฝ่ายประชาธิปไตยต่อสู้กับชนชั้นนำและรัฐอำมาตย์เพื่อให้ประชาธิปไตยเดินหน้ายิ่งกว่าปัจจุบัน ให้พ้นจากประชาธิปไตยของบ้านใหญ่ที่เป็นนั่งร้านของรัฐอำมาตย์ให้ได้
ทางเลือกที่สองเพื่อไทยจะยิ่งไปทางขวามากขึ้นเพื่อพิสูจน์ตัวเองให้ได้ว่าเป็นนั่งร้านที่ดีกว่าเพราะความสามารถมากกว่าหรือมีจำนวน ส.ส.มากกว่า และจงรักภักดีกับรัฐอำมาตย์อย่างไว้ใจได้
คุณคิดว่ากลุ่มบ้านใหญ่ที่เป็นด้านหลักของพรรคเพื่อไทยจะเลือกทางไหน?
เขามองเห็นอนาคตของเขากับพันธมิตรฝ่ายประชาธิปไตยหรือ?
หรือว่าพวกเขาก็คิดทำนองเดียวกับบ้านใหญ่ในพรรคอื่นๆ คือพอใจที่จะสยบยอมรับใช้รัฐอำมาตย์ตราบเท่าที่ให้พวกเขาเป็นรัฐบาล
ปีกประชาธิปไตยในเพื่อไทยที่มีบทบาทมากในช่วงต่อสู้กับระบอบประยุทธ์ ครั้นหมดภารกิจดังกล่าวหลังการเลือกตั้ง จึงถูกผลักออกไปชายขอบของพรรค
ปัจจุบันพวกเขาทำหน้าที่เป็นไม้ประดับของเพื่อไทยในรัฐสภาและเป็นกระบอกเสียงนอกรัฐสภาเพื่อ “แบก” รัฐบาลและนายกฯ
พวกเขามีทางเลือกว่าจะผลักดันภายในพรรคให้เพื่อไทยมีส่วนสร้างประชาธิปไตยผ่านโครงการและนโยบายต่างๆ หรือจะช่วยแก้ต่าง ปกป้องและอวยบ้านใหญ่ของเพื่อไทยให้อยู่ในอำนาจแบบสยบยอมต่อรัฐอำมาตย์ต่อไป
พฤติกรรมของคนเหล่านี้ในปัจจุบันบอกเราว่าพวกเขายินดีเป็นหางเครื่องให้กับรัฐบาลบ้านใหญ่ของเพื่อไทย ไม่ว่าจะไร้ความสามารถ ทำผิดพลาดขนาดไหน หรือไม่ทำสิ่งที่ควรทำก็ตาม
พวกเขาสมัครใจรับใช้แม้ว่าจะโดนรัฐบาลทำให้เงิบมาแล้วหลายครั้ง (เช่น ในกรณีตัดไฟแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งพวกเขาแก้ตัวแทนรัฐบาลสุดชีวิตว่าทำไม่ได้ แต่กลายเป็นว่ารัฐบาลทำอย่างที่ฝ่ายค้านเสนอแทบทุกอย่าง และกรณีส่งตัวผู้สี้ภัยชาวอุยกูร์ให้กับจีน ซึ่งพวกเขาแก้ตัวให้ด้วยข้อมูลเหตุผลตามที่รัฐบาลบอกสาธารณชน ซึ่งต่อมารัฐบาลเพื่อไทยถูกจับได้ว่าโกหกและปิดบังความจริง)
พวกเขาไม่แสดงให้เห็นเลยว่าพยายามผลักดันพรรคเพื่อไทยให้กล้าหาญมากขึ้นต่อพวกอำมาตย์และกองทัพ ไม่ว่าจะด้วยการนิรโทษกรรมนักโทษการเมืองหรือการเดินหน้าปฏิรูปกองทัพ และซื่อตรงต่อสาธารณชนมากขึ้น แต่พวกเขากลับช่วยต่อสู้กับพลังที่พวกอำมาตย์ก็หวาดกลัว (พยายามทำให้พวกอำมาตย์และกองทัพไว้ใจเพื่อไทยมากขึ้นหรือ?)
เพื่อไทยในอนาคตจะเป็นพลังสำคัญที่ผลักดันประชาธิปไตยให้ก้าวหน้าและเข้มแข็งขึ้น หรือจะเป็นแบบประชาธิปัตย์ ขึ้นอยู่กับพวกเขาเอง
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022