เปิดทางหนี ศก.ไทย ฝ่าด่านเคราะห์ พิษภาษีทรัมป์-แผ่นดินไหวซ้ำเติม

บทความเศรษฐกิจ

 

เปิดทางหนี ศก.ไทย

ฝ่าด่านเคราะห์

พิษภาษีทรัมป์-แผ่นดินไหวซ้ำเติม

 

ประเทศไทยกำลังเผชิญวิกฤตซ้อนวิกฤต และโถมทับด้วยวิกฤตอีกครั้ง หลังจากผลกระทบของเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวเหมือนคนป่วยเรื้อรังมานาน นับตั้งแต่โควิด-19 คลายตัว ต้องมาเผชิญผลกระทบจากแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ที่เขย่าขวัญคนในประเทศ โดยเฉพาะกรุงเทพฯ และภาคเหนือ จากภาพตึกสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ถล่ม ทั้งที่แผ่นดินไหวเกิดขึ้นที่เมียนมา ไม่ได้เกิดขึ้นในไทยด้วยซ้ำ

ผลพวงแผ่นดินไหวยังไม่จางหาย สหรัฐก็ประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากไทยกว่า 36% ทำให้ขวัญที่หายอยู่แล้ว กระเจิงมากกว่าเดิม โดยเฉพาะผลกระทบที่คาดว่าไทยจะทำการส่งออกได้ลดลง การเติบโตของเศรษฐกิจไทยอาจเหลือเพียง 1% ไม่ถึง 2% อย่างแน่นอน จากทุกสำนักด้านสถิติและข้อมูลวิเคราะห์กัน ทำให้เศรษฐกิจไทยในปีนี้แย่กว่าที่คาดไว้แบบมากๆ

คำถามคือ จากนี้เราจะอยู่อย่างไรในภาวะที่มีแต่ปัญหากระหน่ำเป็นกระสุนปืนกลสาดใส่ไม่หยุดแบบนี้

 

หนึ่งในทางออกจาก ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีและประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ระบุว่า

“ในภาวะที่สถานการณ์ยังมีความไม่แน่นอน อยากให้ทุกคนใช้ของไทย เที่ยวในประเทศไทยก่อนเป็นหลัก เป็นการใช้จ่ายอย่างเหมาะสม เพราะหากยิ่งใช้จ่ายแบบประหยัดมากกว่าเดิม เศรษฐกิจก็จะยิ่งซึมตัวลง”

“ประชาชนต้องพยายามติดตามข้อมูลข่าวสาร อาทิ หากมีการรวมกลุ่มของภาคเอกชน ทั้งหอการค้าไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) สมาคมธนาคารไทย ที่จำเป็นต้องให้ข้อมูลเชื่อมโยงกับรัฐบาลมากขึ้น”

“อย่างประเด็นบางเรื่องบางครั้งต้องเปิดตลาดให้สหรัฐมากขึ้น ประเทศไทยอาจต้องสูญเสียสินค้าบางอย่างมากขึ้นผ่านการนำเข้าจากสหรัฐ โดยเฉพาะสินค้าเกษตร ที่ไทยผลิตไม่เพียงพอ ภาคการเกษตรจึงต้องเข้าใจว่าบางทีเราอาจต้องยอมเสียบางอย่าง เพื่อไม่ให้เสียประโยชน์ไปในระยะยาว และได้ประโยชน์กลับคืนมาในบางเงื่อนไข”

“ติดตามข่าวสารเหล่านี้ไป ขณะเดียวกันก็ต้องเก็บเงินสดไว้รักษาสภาพคล่องของตัวเอง อย่าพึ่งลงทุนแบบผลีผลาม ฟังข้อมูลเป็นระยะๆ”

“จากการประเมินการเจรจาระหว่างไทยและสหรัฐมองว่า ประเทศไทยยังติดลบเยอะ แต่อาจจะไม่ได้มากขนาดนั้น ต้องดูท่าทีของ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ เพราะสหรัฐไม่ต้องการให้จีนเติบโตเร็วจนเศรษฐกิจจีนกลายมาเป็นเบอร์หนึ่งของโลก”

“จึงมีข้อสันนิษฐานว่าประเทศที่ผูกพันกับจีนเยอะๆ อาจรู้สึกว่าอยากแก้โจทย์ความผูกพันเหล่านี้”

“รวมถึงต้องการเปิดตลาดสินค้าของสหรัฐเพื่อลดการเกินดุลสินค้า”

 

“ประเทศไทยจึงมีหลายเรื่องที่ต้องทำ คือ การละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาตามมาตรา 301 ที่อยู่ในบัญชีประเทศที่ต้องจับตามอง (Watch List) และการใกล้ชิดกับประเทศจีนมีความผูกพันกับจีน ไม่สั่งซื้ออาวุธจากสหรัฐ หรือซื้อน้อย ท่าทีเหล่านี้เราจะต้องคุยกับสหรัฐ ว่าสิ่งที่ผูกพันกับจีนมานานคือเป็นการผูกพันในด้านไหน และกับสหรัฐเรามีการผูกพันในด้านไหน สามารถเพิ่มเติมอะไรได้บ้าง

โดยหากมีการเจรจาในประเด็นเหล่านี้ได้ ประเทศไทยอาจไม่ได้ทำให้การเจรจาการค้าเสียหายมากมายเหมือนที่กังวลไว้

ความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อ ทั่วโลกไม่ได้มีลักษณะของการผูกพันกับสินค้าสหรัฐมากนัก แม้จีน ยุโรป หรือแคนาดาตั้งกำแพงภาษี เงินเฟ้อในประเทศเหล่านั้นก็ไม่ควรสูงมากเกินไป ขณะเดียวกันเมื่อประเทศต่างๆ มีการค้าขายระหว่างกันน้อยลง แต่ผลิตสินค้าเท่าเดิมจะเกิดสินค้าล้นตลาด ผนวกกับกำลังซื้อที่หายไป เงินเฟ้อจะไม่ได้ปรับขึ้น มีเพียงสหรัฐที่เงินเฟ้อจะรุนแรงขึ้น ประมาณปลายไตรมาส 2 หรือต้นไตรมาส 3 นี้ หากยังคงกำแพงภาษีไว้แบบนี้

กำลังซื้อหายไป เศรษฐกิจจะซึมตัวลง แน่นอนว่าหากประเทศไทยไม่สามารถประคองได้ จะเริ่มเห็นการลดคนงาน เพราะกำลังซื้อหายไป ตลาดหุ้นไม่มีความมั่งคั่ง นักท่องเที่ยวต่างชาติไม่เดินทางเข้ามา ทำให้ราคาสินค้าไม่แพงมาก จะมีการลดแลกแจกแถมเยอะกว่าเดิม” ธนวรรธน์ระบุ และว่า

“จากการประเมินความเสี่ยงพบว่า แม้ภาวะที่มีการระดมสินค้ามาลดแลกแจกแถม แต่คนก็อาจไม่ได้สนใจซื้อมากขนาดนั้น เนื่องจากเม็ดเงินในมือไม่มี มีน้อย หรือแม้ว่าจะมีเยอะ แต่ความเสี่ยงที่เพิ่มมากขึ้น และในอนาคตยังมองไม่ออกว่าจะหมดไปได้อย่างไร ก็ทำให้ทุกคนตกลงใจในการเก็บเงินสดไว้ในมือก่อนเป็นหลัก จึงอาจเห็นเพียงคนระดับบนเท่านั้น ที่จะมีการจับจ่ายใช้สอยในช่วงต่อจากนี้ ซึ่งคนกลุ่มบนที่มีฐานะมั่งคั่งในประเทศไทย คิดเป็นเพียงหยิบมือเดียวเท่านั้น เมื่อเทียบกับประชาชนรวมทั่วประเทศ”

“ที่ผ่านมามีคำถามเกี่ยวกับการบริหารงานของรัฐบาลในหลายยุคหลายสมัยที่คล้ายกันว่า มีการเอื้อให้ประโยชน์ต่อกลุ่มคนระดับบน ที่มีความมั่นคงอยู่แล้วให้ร่ำรวยมากขึ้นไปอีกหรือไม่”

“ซึ่งรัฐบาลควรจะใช้โอกาสนี้ในการโชว์ฟอร์มว่า การเข้ามาบริหารงานไม่ได้เข้ามาทำเพื่อคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเท่านั้น แต่เป็นการเข้ามาบริหารงานเพื่อขับเคลื่อนประเทศไทย และประชาชนคนไทยทุกระดับให้หลุดพ้นจากกับดักความยากจนอย่างแท้จริง”

 

อีกข้อเสนอจาก สนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย ระบุว่า

“ความเสี่ยงในด้านการรับมือกับสินค้าจากต่างประเทศที่จะเข้ามาทุ่มตลาดในไทยนั้น ขณะนี้เศรษฐกิจจีนช้าลง แต่กำลังการผลิตสูงมาก ต้นทุนถูกกว่าหลายประเทศ เป็นผู้ผลิตรายใหญ่ของโลก ป้อนสินค้าไปให้ทั้งโลกใช้งาน โดยตลาดที่ทุ่มง่ายที่สุดก็อยู่ในประเทศเขตเอเชีย อาทิ เวียดนาม อินโดนีเซีย มาเลเซีย ไทย ซึ่งอยู่ในส่วนที่จีนส่งสินค้ามาขายเร็วที่สุด โดยต้องมีการเรียนรู้วิธีการรับมือจากประเทศต่างๆ อาทิ อินโดนีเซีย รัฐบาลรับมือผ่านการขึ้นภาษี หรือการกีดกันในบางรูปแบบ แต่ประเทศไทยต้องยอมรับว่าเคลื่อนไหวไม่ทัน หน่วยงานภาครัฐยังอ่อนแอในการบังคับใช้กฎหมายที่มีอยู่แล้ว แต่หน่วยงานภาครัฐหลายแห่งยังทำหน้าที่ได้ไม่ดีเท่าที่ควร ซึ่งต้องปรับปรุง เพราะจะไปตำหนิฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอย่างเดียวก็ไม่ได้ ต้องปรับตัวเราด้วย หากช่วยกันทุกอย่างมีทางออก จะต้องพึ่งพากันและกันให้มากที่สุด”

“สิ่งสำคัญที่ต้องเร่งดำเนินการคือ การเจรจาเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) อาทิ การทำเอฟทีเอกับอียู ที่มีสมาชิก 27 ประเทศ เท่ากับไทยจะได้ตลาดใหม่มากขึ้นกว่า 27 แห่ง ถือเป็นความจำเป็น เพราะการทำเอฟทีเอระหว่างประเทศต่างๆ เป็นปัจจัยที่ทำให้การส่งออกไทยไม่เสียเปรียบ สามารถส่งสินค้าได้ในราคาที่สู้กับคู่แข่งได้”

“ซึ่งต้องยอมรับว่า ขณะนี้ประเทศไทยมีเสน่ห์ลดน้อยลงเทียบกับช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ไทยมีคู่แข่งสำคัญ อาทิ มาเลเซีย อินโดนีเซีย เวียดนาม ซึ่งประเทศเหล่านี้เดิมจะอยู่ท้ายๆ ที่นักลงทุนจะนึกถึง สะท้อนจากนักลงทุนญี่ปุ่นย้ายเข้ามาลงทุนในไทย แต่ตอนหลังประเทศไทยสะดุดลง เพราะนักลงทุนเกาหลีย้ายออกไปลงทุนที่เวียดนาม จังหวะของเวียดนามก็ดีด้วย มีอุตสาหกรรมสมัยใหม่ เทคโนโลยีใหม่ๆ ไฮเทคย้ายไป ประเทศไทยเลยเสียสูญ”

“แต่การที่รัฐบาลไทยนำเอายานยนต์ไฟฟ้าเข้ามาลงทุนในประเทศไทยก็ต้องชมว่าทำได้ถูกแล้ว ขณะเดียวกันการเปลี่ยนแปลงที่เร็วมากนี้ เราจะต้องมีการปรับเงื่อนไขเกี่ยวกับการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าต่างๆ เพราะตอนแรกจะไปลงที่เวียดนามหรืออินโดนีเซีย แต่ไทยเป็นฐานผลิตรถยนต์สันดาป จึงไม่ต้องการจะเสียในส่วนนี้ แต่ในที่สุดตอนนี้ประเทศไทยสามารถกลับมาเป็นพระเอกในเรื่องของยานยนต์ไฟฟ้าได้แล้ว”

ถือได้ว่าเป็นการวัดฝีมือของรัฐบาลได้เป็นอย่างดี หลังจากสามารถดึงยานยนต์ไฟฟ้าเข้ามา ตั้งเป้าหมายให้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าควบคู่กับรถยนต์สันดาป ที่ต้องไม่ทำให้ผู้ผลิตเดิมเจ็บปวดในด้านของธุรกิจ

ดังนั้น ทุกฝ่ายจึงฝากความหวังกับรัฐบาล “แพทองธาร” แก้ปัญหาทีละเปลาะ นำพาเศรษฐกิจในภาพรวมผ่านวิกฤต