จับตาท่วงท่ารัฐบาลอิ๊งค์ รับมือเศรษฐกิจสั่นไหว พิษ ‘ทรัมป์’-เขย่าโลก เขย่าไทย

www.ข่าวธุรกิจ888.cyberaitea.com

บทความในประเทศ

 

จับตาท่วงท่ารัฐบาลอิ๊งค์

รับมือเศรษฐกิจสั่นไหว

พิษ ‘ทรัมป์’-เขย่าโลก เขย่าไทย

 

รัฐบาลไทยภายใต้การบริหารประเทศของ “นายกฯ อิ๊งค์” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร กำลังเผชิญกับสารพัดปัญหาที่รุมถาโถมเข้ามาทั้งจากปัจจัยภายในและนอกประเทศ

ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ผลกระทบจากเหตุแผ่นดินไหวที่ประเทศเมียนมา ทำให้อาคารก่อสร้างตึกสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินถล่ม ส่งผลกระทบให้มีผู้บาดเจ็บ เสียชีวิต และบางส่วนยังติดอยู่ใต้ซากตึก

ส่วนปัจจัยในแง่ทางการเมือง โดยเฉพาะการผลักดันร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ…. หรือ เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ เดิมมีคิวพิจารณาวาระแรกในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร วันที่ 9 เมษายน

แต่รัฐบาลตัดสินใจเลื่อนร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวออกไปก่อน เนื่องจากรัฐบาลต้องให้ความสำคัญกับเรื่องที่เป็นปัญหาเร่งด่วนและวิกฤตจริงๆ นั่นคือสงครามภาษีและสงครามการค้าอันเนื่องมาจากผู้นำสหรัฐ

ทั้งนี้ สงครามด้านเศรษฐกิจนี้ ต้องยอมรับว่าภายหลัง “โดนัลด์ ทรัมป์” ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ประกาศเก็บภาษีศุลกากรสินค้านำเข้าในสหรัฐทุกประเภท 10% และจะเก็บภาษีเพิ่มเติมกับหลายประเทศ ซึ่งประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการดังกล่าวนี้ เพราะถูกเก็บภาษีถึง 36%

แน่นอนว่า การถูกตั้งกำแพงภาษีด้วยตัวเลขสูงลิ่วเช่นนี้ ย่อมส่งผลกระทบทั้งด้านการค้า การจ้างงาน ความเชื่อมั่นของนักลงทุน โดยเฉพาะการส่งออกอย่างหนัก สุ่มเสี่ยงต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ

มีการประเมินว่า กลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบหนัก ได้แก่ กลุ่มยานยนต์ อาหาร พลาสติก และเคมีภัณฑ์ เพราะอัตราภาษีสูงขึ้นทำให้สินค้าไทยเสียเปรียบคู่แข่งได้

ขณะเดียวกัน เมื่อมองภาพใหญ่จะเห็นได้ว่าผู้นำหลายประเทศที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการเก็บภาษีครั้งนี้ เริ่มทยอยดำเนินการรับมือและเปิดช่องทางเจรจาเพื่อหลีกเลี่ยงมาตรการภาษีของโดนัลด์ ทรัมป์ แล้วสำหรับประเทศไทยล่ะ มีท่าทีอย่างไร

 

หลัง “โดนัลด์ ทรัมป์” ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ประกาศตัวเลขจัดเก็บภาษี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ออกแถลงการณ์ชี้แจงทันทีว่า ได้มอบหมายคณะทำงานนโยบายการค้าสหรัฐอเมริกาที่แต่งตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2568 ก่อนที่ประธานาธิบดีทรัมป์จะเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ ทำงานร่วมกับภาครัฐและเอกชนในการติดตามและประเมินสถานการณ์ความเคลื่อนไหวต่างๆ อย่างใกล้ชิดและรอบด้าน ตลอดระยะเวลา 3 เดือน เพื่อจัดเตรียม “ข้อเสนอเพื่อปรับดุลการค้ากับสหรัฐ” ที่มีสาระสำคัญเพียงพอให้สหรัฐมีแรงจูงใจที่จะเข้าสู่กระบวนการเจรจากับไทย

นอกจากนี้ ช่วงค่ำวันที่ 5 เมษายน นายกรัฐมนตรีได้ประชุมร่วมกับคณะวอร์รูมเกาะติดสถานการณ์ภาษีสหรัฐ เพื่อติดตามและนำมาเป็นข้อมูลเชิงเปรียบเทียบในแต่ละประเทศว่าจะดำเนินการอย่างไรที่จะทำให้ประเทศไทยได้ประโยชน์สูงสุดทางการค้าระหว่างประเทศครั้งนี้

โดยวอร์รูมมีความเห็นตรงกันว่า “ช้าไปก็ไม่ดี เร็วไปก็เสี่ยง” จึงจำเป็นต้องรอบคอบ ซึ่งเห็นได้ว่าประเทศอื่นที่เริ่มการเจรจาไปก่อนการประกาศขึ้นภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ก็ไม่ได้ช่วยสถานการณ์ประเทศนั้นๆ ให้ดีขึ้นแต่อย่างใด กลับถูกตั้งกำแพงภาษีมากกว่าที่คาด

ดังนั้น การเร่งรีบจึงไม่ได้ให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า ตรงกันข้ามกลับกลายเป็นการประกาศให้ของฟรีกับอเมริกาไปก่อนหน้าการประกาศขึ้นภาษี

ส่วนการประชุมคณะทำงานนโยบายการค้าสหรัฐอเมริกา ซึ่ง “นายกฯ อิ๊งค์” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นั่งหัวโต๊ะเป็นประธานการประชุมนั้น ได้วางยุทธศาสตร์ รับมือมาตรการ Reciprocal Tariff และ liberation day คือต้อง ‘รู้เขา-รู้เรา-เร็ว-แม่นยำ’

โดย น.ส.แพทองธารโพสต์ข้อความภายหลังประชุม ระบุว่า ยุทธศาสตร์และกระบวนการทำงานของรัฐบาลต้องทั้ง ‘เร็ว และ แม่นยำ’

เร็ว ขอย้ำว่าเรามีการจัดตั้งคณะทำงานมาตั้งแต่เดือนมกราคม ซึ่งเราตั้งก่อนที่ประธานาธิบดีทรัมป์จะเข้ารับตำแหน่งเป็นทางการเมื่อ 20 มกราคม และได้ประสานงานกับฝั่งทางสหรัฐอเมริกามาตลอด

แม่นยำ เรามีการเตรียมข้อมูลที่ครบและรอบด้าน มีการติดตามความเคลื่อนไหวจากทุกภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบเพื่อประเมินและหาข้อสรุปในการเจรจาที่จะมีต่อไปจากนี้ และขอย้ำว่า การเจรจาไม่ใช่แค่ครั้งเดียวจบ แต่การเจรจาจะต้องใช้เวลา และมีการเจรจาในหลายระดับที่แตกต่างกัน

“เราเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงเกิดผลกระทบเชิงโครงสร้างเศรษฐกิจ จึงต้องการเตรียมมาตรการรับมือและเยียวยาให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการดังกล่าว โดยเฉพาะในระยะสั้น ส่วนในระยะยาวเราจะต้องมองถึงการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ และการหาตลาดใหม่อย่างต่อเนื่องเพื่อให้เศรษฐกิจไทยไปต่อได้อย่างเข้มแข็ง ขอยืนยันว่า รัฐบาลคำนึงถึงผลประโยชน์ของพี่น้องประชาชนและประเทศเป็นที่ตั้ง เราจะดำเนินการทุกอย่างโดยรอบคอบ เพื่อรักษาผลประโยชน์ และไม่ให้เสียเปรียบมากที่สุด”

 

ขณะเดียวกัน การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มอบหมายให้นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เดินทางไปเจรจากับสหรัฐอเมริกาในฐานะตัวแทนนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นผู้ร่วมคณะเจรจา มีการประสานนัดหมาย เพื่อทำการพูดคุยกับผู้ที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น USTR และหน่วยงานอื่นๆ ของอเมริกา เพื่อนำเอาข้อเสนอของไทยไปพูดคุย

ด้านนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้เปิดเผยแนวทางการเจรจากับทางสหรัฐ มีดังนี้

1. นำเข้าสินค้าจากสหรัฐมากขึ้นโดยเน้นสินค้าที่ไทยมีความต้องการใช้ในประเทศ เช่น สินค้าเกษตร และเครื่องในสุกร รวมทั้งสินค้าพลังงาน เช่น ก๊าซธรรมชาติ ที่มีต้นทุนต่ำในสหรัฐ

2. ลดหรือยกเว้นภาษีให้สินค้าสหรัฐที่ไทยเก็บภาษีได้ไม่สูงนัก โดยมีการจัดเก็บรายได้ต่อปีไม่มากนักอยู่แล้ว กว่า 100 รายการ

3. ยกเลิกมาตรการที่เป็นมาตรการที่ไม่ใช่ภาษี (Non tariff barrier) เพื่ออำนวยความสะดวกการค้าสหรัฐมากขึ้น

4. การให้ความสำคัญกับการคัดถิ่นกำเนิดสินค้าที่มาใช้ไทยเป็นแหล่งกำเนิดสินค้า เพื่อป้องกันการสวมสิทธิแหล่งกำเนิดสินค้าจากไทย และส่งออกไปยังสหรัฐ

และ 5. การสนับสนุนภาคเอกชนไทยที่มีศักยภาพให้ไปลงทุนในสหรัฐมากขึ้น เช่น ภาคเกษตร ภาคพลังงาน สอดคล้องกับนโยบายของสหรัฐที่สนับสนุนในเรื่องนี้

 

ฟากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ก็มีท่าทีเป็นห่วงสถานการณ์เช่นกัน โดยหลังมีมติเลื่อนระเบียบวาระร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร หรือเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ออกไปก่อน ส.ส.ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน ได้ร่วมเสนอญัตติด่วนต่อที่ประชุม เพื่อให้สภาพิจารณาศึกษาผลกระทบและมาตรการรับมือจากการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกา เพื่อหามาตรการรองรับ เนื่องจากเป็นเรื่องเร่งด่วนที่จะสร้างผลกระทบต่อประชาชนอย่างมาก

อย่างไรก็ดี ต้องยอมรับว่าประเทศไทยไม่ใช่ประเทศที่มีสภาวะเศรษฐกิจที่แข็งแรง

ฉะนั้น การแก้ปัญหากำแพงภาษีสหรัฐอเมริกา จึงเป็นโจทย์ใหญ่ที่ท้าทายรัฐบาลแพทองธาร ว่าจะรับมือและหาทางออกเพื่อพยุงเศรษฐกิจของประเทศได้อย่างไร และทันเกมมหาสงครามเศรษฐกิจนี้หรือไม่