ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 11 - 17 เมษายน 2568 |
---|---|
คอลัมน์ | ฝนไม่ถึงดิน |
ผู้เขียน | ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี |
เผยแพร่ |
ฝนไม่ถึงดิน | ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี
การสร้างความรู้เรื่องสวัสดิการในเด็กเล็ก
Welfare Literacy
: ความสำคัญไม่แพ้ Financial Literacy
เราจะเห็นว่าคน Gen Y หรือคนอายุราว 35-45 ปี พร้อมจะทุ่มค่าใช้จ่ายเพื่อเรื่องสวัสดิการที่มีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ จนเกินเงินเดือนและความสามารถของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นค่ารักษาพยาบาล ค่าเล่าเรียนของลูก หรือค่าดูแลผู้สูงอายุในครอบครัว
ปรากฏการณ์นี้สะท้อนให้เห็นว่าคนยุคเราขาดความรู้เรื่องการต่อสู้เรียกร้องสวัสดิการจากรัฐ เราถูกปลูกฝังให้คิดว่าทุกอย่างต้องแก้ปัญหาด้วยเงินในกระเป๋าตัวเอง แทนที่จะเข้าใจว่าสวัสดิการคือสิทธิพื้นฐานที่พลเมืองควรได้รับ
ปัญหานี้สามารถแก้ไขได้ผ่านการสร้างความรู้ให้กับคนรุ่นถัดไป โดยเฉพาะการปลูกฝังความเข้าใจเรื่องสวัสดิการในเด็กเล็ก ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เราได้ยินการพูดถึงความสำคัญของ “Financial Literacy” หรือความรู้ทางการเงินอย่างต่อเนื่อง
แต่มีอีกด้านหนึ่งของความรู้ที่สำคัญไม่แพ้กัน นั่นคือความรู้เรื่องสวัสดิการสังคม โดยเฉพาะสำหรับครอบครัวที่มีเด็กเล็ก
ทำไมความรู้เรื่องสวัสดิการ
จึงสำคัญไม่แพ้ความรู้ทางการเงิน
การรู้วิธีหาเงินและบริหารเงินเป็นทักษะสำคัญที่เราได้รับการปลูกฝังมาตลอด
แต่การรู้สิทธิพื้นฐานของตนเองในฐานะพลเมืองและความเข้าใจในระบบสวัสดิการที่รัฐจัดให้กลับถูกละเลย ทั้งที่มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน
สวัสดิการหลายอย่างรัฐได้จัดสรรงบประมาณและทรัพยากรไว้แล้ว แต่ประชาชนจำนวนมากไม่รู้ว่ามีสิทธิ์อะไรบ้าง หรือไม่รู้วิธีเข้าถึง ทำให้เสียโอกาสในการลดค่าใช้จ่ายที่อาจมีมูลค่ามหาศาล
โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพและการศึกษาสำหรับเด็ก
ความรู้เรื่องสวัสดิการยังช่วยสร้างความมั่นคงในชีวิต ทำให้ครอบครัวมีหลักประกันในยามเจ็บป่วย สูงวัย หรือประสบปัญหาต่างๆ
ที่สำคัญ เราต้องเปลี่ยนมุมมองให้เห็นว่าสวัสดิการไม่ใช่ของขวัญหรือการสงเคราะห์จากรัฐ
แต่เป็นสิทธิพื้นฐานที่พลเมืองควรได้รับในฐานะผู้เสียภาษีและสมาชิกของสังคม
ความรู้เรื่องสวัสดิการที่จำเป็น
สำหรับครอบครัวที่มีเด็กเล็ก
เมื่อพูดถึงสวัสดิการด้านสุขภาพ ครอบครัวที่มีเด็กเล็กควรรู้ว่าระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของไทยให้สิทธิการรักษาพยาบาลฟรีแก่เด็กทุกคน รวมถึงวัคซีนพื้นฐานที่จำเป็นโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
นอกจากนี้ ยังมีการตรวจพัฒนาการเด็กตามวัยที่รัฐจัดให้ฟรี
สิทธิประโยชน์สำหรับแม่ตั้งครรภ์และหลังคลอด
ตลอดจนระบบบริการฟื้นฟูสำหรับเด็กที่มีพัฒนาการล่าช้า
ซึ่งหลายครอบครัวไม่ทราบและเลือกที่จะเสียเงินจำนวนมากไปกับการรักษาในโรงพยาบาลเอกชน
ในด้านการศึกษา นโยบายเรียนฟรี 15 ปีของรัฐบาลไทยครอบคลุมตั้งแต่ระดับอนุบาลไปจนถึงมัธยมศึกษาตอนปลาย แต่ผู้ปกครองจำนวนมากไม่ทราบว่ามีค่าใช้จ่ายใดบ้างที่นโยบายนี้ครอบคลุม และอะไรที่ยังต้องจ่ายเพิ่ม
ขณะเดียวกัน สิทธิการเข้าถึงศูนย์พัฒนาเด็กเล็กในชุมชน เงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด กองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา และสิทธิพิเศษสำหรับเด็กพิการหรือเด็กที่มีความต้องการพิเศษ ก็เป็นสวัสดิการที่หลายครอบครัวยังเข้าไม่ถึง
สำหรับสวัสดิการทางสังคมและเศรษฐกิจ รัฐมีเบี้ยเลี้ยงสำหรับผู้ดูแลเด็กในครอบครัวที่มีรายได้น้อย สิทธิลดหย่อนภาษีสำหรับครอบครัวที่มีบุตร เงินสงเคราะห์สำหรับครอบครัวที่ประสบปัญหา รวมถึงระบบดูแลผู้สูงอายุในครอบครัวเมื่อพ่อแม่มีอายุมากขึ้น และบริการสังคมสงเคราะห์ในกรณีที่เด็กถูกทอดทิ้งหรือได้รับความรุนแรง
แต่การเข้าถึงสวัสดิการเหล่านี้ยังคงเป็นเรื่องยากสำหรับคนทั่วไปที่ไม่มีความรู้ในเรื่องนี้
ช่องว่างของความรู้
และอุปสรรคในการเข้าถึงสวัสดิการ
แม้ประเทศไทยจะมีระบบสวัสดิการที่ครอบคลุมในหลายด้าน แต่อุปสรรคสำคัญในการเข้าถึงเริ่มจากการที่ข้อมูลเกี่ยวกับสวัสดิการกระจัดกระจายอยู่ภายใต้การดูแลของหน่วยงานต่างๆ ไม่ได้รวมอยู่ที่เดียว ทำให้ประชาชนไม่รู้ว่าควรติดต่อที่ไหน
ขณะเดียวกัน ขั้นตอนการขอรับสิทธิ์ก็มีความซับซ้อน บางสวัสดิการต้องใช้เอกสารจำนวนมาก ทำให้ประชาชนรู้สึกท้อแท้ก่อนจะได้รับสิทธิ์
นอกจากนี้ ยังขาดระบบให้คำปรึกษาที่ครบวงจรสำหรับครอบครัว ทำให้ไม่มีผู้แนะนำในการเข้าถึงสวัสดิการต่างๆ
ขณะที่ทัศนคติของคนไทยต่อสวัสดิการก็เป็นอุปสรรคสำคัญ เพราะหลายคนมองว่าการรับสวัสดิการคือการ “ขอความช่วยเหลือ” ไม่ใช่ “การใช้สิทธิ์” ทำให้เกิดความรู้สึกอายหรือลังเลที่จะเข้าถึงบริการ
การกระจายตัวของบริการก็เป็นปัญหา โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทห่างไกล ยังขาดการเข้าถึงบริการที่มีคุณภาพ ทำให้ประชาชนในพื้นที่เหล่านั้นรู้สึกว่าแม้จะมีสิทธิ์ แต่ก็ไม่สามารถใช้ได้จริง
อุปสรรคสำคัญอีกประการหนึ่งคือมายาคติเรื่องตลาดและเอกชน เรายังมีความคิดง่ายๆ ว่า “ตลาด” หรือ “เอกชน” จัดการได้ดีกว่ารัฐเสมอไป
แต่ความจริงแล้วเบื้องหลังระบบเอกชนซ่อนการแสวงหากำไรอย่างล้นเกิน โดยเฉพาะในบริการพื้นฐานอย่างการศึกษาและสาธารณสุข
ผู้บริโภคถูกฝังในมายาคตินี้จนยอมรับภาระค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นเรื่อยๆ แทนที่จะเรียกร้องให้รัฐจัดสวัสดิการที่มีคุณภาพและทั่วถึง
ถึงแม้จะมีความเชื่อว่าสวัสดิการที่จัดให้โดยรัฐหลายด้านอาจไม่ดีเท่าเอกชน แต่ต้องเข้าใจว่านี่ไม่ใช่ข้อเท็จจริงที่ตายตัว
เพราะประชาชนสามารถเรียกร้องจากรัฐให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาคุณภาพของสวัสดิการได้ ซึ่งต่างจากบริการเอกชนที่มุ่งเน้นกำไรเป็นหลักและมีอำนาจต่อรองกับผู้บริโภครายย่อยน้อยมาก
ตัวอย่างความสำเร็จในการปรับปรุงสวัสดิการของรัฐที่เห็นได้ชัดคือระบบประกันสังคม ที่มีการพัฒนาสิทธิประโยชน์มาอย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านการรักษาพยาบาล สิทธิประโยชน์กรณีคลอดบุตร สิทธิประโยชน์กรณีว่างงาน และเงินบำนาญชราภาพ
ความก้าวหน้าเหล่านี้ส่วนหนึ่งเกิดจากการมีส่วนร่วมในระดับประชาชน การรวมกลุ่มของแรงงาน และแรงกดดันผ่านการเลือกตั้ง ที่ทำให้พรรคการเมืองต้องหันมาให้ความสำคัญกับนโยบายด้านสวัสดิการมากขึ้น
บทเรียนจากต่างประเทศ
ประเทศในกลุ่มสแกนดิเนเวียให้ความสำคัญกับการสร้างความรู้เรื่องสวัสดิการตั้งแต่วัยเด็ก ในประเทศสวีเดน โรงเรียนมีการสอนวิชา “สิทธิพลเมือง” ที่เน้นให้เด็กเข้าใจระบบสวัสดิการและสิทธิต่างๆ ที่พวกเขาพึงได้รับ ผลลัพธ์คือเมื่อเด็กเหล่านี้เติบโตเป็นผู้ใหญ่
พวกเขาเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าภาษีที่เสียไปถูกนำไปใช้อย่างไร และสวัสดิการไม่ใช่สิ่งที่ต้องละอายในการเข้าถึง
ฟินแลนด์มีระบบ “Neuvola” หรือศูนย์ให้คำปรึกษาสำหรับครอบครัวที่มีเด็กเล็ก ที่ให้บริการทั้งด้านสุขภาพและให้คำแนะนำในการเข้าถึงสวัสดิการต่างๆ ครอบครัวทุกครอบครัวไม่ว่าจะฐานะใดสามารถเข้าถึงบริการนี้ได้ ทำให้เกิดความเท่าเทียมในการได้รับข้อมูลและบริการ
ในประเทศญี่ปุ่น มีโครงการ “Kosodate Shien” หรือระบบสนับสนุนการเลี้ยงดูเด็ก ที่ให้ความช่วยเหลือครอบครัวที่มีเด็กเล็กแบบครบวงจร ตั้งแต่เงินอุดหนุน การดูแลสุขภาพ บริการรับส่งเด็ก และมีการจัดทำแอพพลิเคชั่นมือถือที่รวบรวมข้อมูลสวัสดิการทั้งหมดไว้ในที่เดียว ทำให้พ่อแม่เข้าถึงข้อมูลได้ง่ายขึ้น
ขณะที่ประเทศกลุ่มตะวันตกอย่างสหรัฐอเมริกาและอังกฤษซึ่งมีระบบสวัสดิการที่น้อยกว่า กลับพบว่าประชาชนต้องแบกรับค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาและสุขภาพสูงมาก นำไปสู่ปัญหาหนี้สินและความเหลื่อมล้ำ เป็นบทเรียนสำคัญว่าการปล่อยให้ “ตลาด” เป็นผู้จัดการในบริการพื้นฐานอาจไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุดเสมอไป
ประเทศเกาหลีใต้เป็นกรณีที่น่าสนใจเพราะมีการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายอย่างรวดเร็วในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา จากการที่ครอบครัวต้องแบกรับค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาและสาธารณสุขเองเกือบทั้งหมด มาสู่การขยายระบบสวัสดิการอย่างต่อเนื่อง
ปัจจัยสำคัญคือการรวมตัวของกลุ่มผู้ปกครองที่ผลักดันนโยบายสวัสดิการสำหรับเด็ก และการสร้างความตระหนักรู้เรื่องสิทธิและสวัสดิการผ่านสื่อสาธารณะและองค์กรภาคประชาสังคม
สู่การเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบาย
การสร้างความรู้เรื่องสวัสดิการไม่ได้จบที่การให้ข้อมูลเท่านั้น แต่ควรนำไปสู่การมีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายด้วย ผู้ปกครองที่มีความรู้เรื่องสวัสดิการสามารถรวมตัวกันเพื่อผลักดันการปรับปรุงระบบสวัสดิการได้
เช่น การเรียกร้องให้เพิ่มงบประมาณด้านการศึกษาหรือสาธารณสุข การเสนอให้ปรับปรุงคุณภาพของบริการในโรงเรียนหรือโรงพยาบาลของรัฐ หรือการติดตามการใช้งบประมาณด้านสวัสดิการให้เกิดประโยชน์สูงสุด
นอกจากนี้ การกดดันพรรคการเมืองก็เป็นสิ่งสำคัญ ปัจจุบันพรรคการเมืองส่วนใหญ่มักเน้นนโยบายเศรษฐกิจเสรีนิยม ที่มุ่งเน้นการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยละเลยการพัฒนาระบบสวัสดิการอย่างจริงจัง
การมีประชาชนที่ตระหนักถึงความสำคัญของสวัสดิการจะเป็นแรงกดดันให้พรรคการเมืองหันมาให้ความสำคัญกับประเด็นนี้มากขึ้น และนำเสนอนโยบายที่ตอบโจทย์ความต้องการด้านสวัสดิการของประชาชนอย่างแท้จริง
ความรู้เรื่องสวัสดิการยังนำไปสู่การสร้างข้อเสนอเชิงนโยบายที่มาจากฐานราก เมื่อประชาชนเข้าใจระบบสวัสดิการและเห็นข้อบกพร่องจากประสบการณ์จริง พวกเขาจะสามารถเสนอแนวทางแก้ไขที่สอดคล้องกับความต้องการที่แท้จริง ไม่ใช่การกำหนดนโยบายจากมุมมองของนักการเมืองหรือข้าราชการเพียงฝ่ายเดียว
ที่สำคัญ การเติบโตของความตระหนักรู้เรื่องสวัสดิการจะส่งผลต่อการสนับสนุนการเมืองแนวก้าวหน้า กลุ่มการเมืองที่มีแนวคิดก้าวหน้ามักให้ความสำคัญกับการพัฒนาระบบสวัสดิการ เพราะเชื่อว่ารัฐมีหน้าที่ดูแลคุณภาพชีวิตขั้นพื้นฐานของประชาชน
การมีประชาชนที่เข้าใจเรื่องนี้จะช่วยให้กลุ่มการเมืองเหล่านี้ได้รับการสนับสนุนมากขึ้น และมีพื้นที่ในการนำเสนอนโยบายที่เน้นสวัสดิการโดยไม่ถูกลดทอนคุณค่าว่าเป็นเพียง “นโยบายประชานิยม”
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022