
ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 18 - 24 เมษายน 2568 |
---|---|
คอลัมน์ | วิรัตน์ แสงทองคำ |
ผู้เขียน | วิรัตน์ แสงทองคำ |
เผยแพร่ |
เกี่ยวกับกระแสอิทธิพลจีนในสังคมไทย สร้างแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่ เป็นไปอย่างกว้างขวาง และลงลึก
“จับภาพสังคมธุรกิจไทย จากยุคสงครามเวียดนาม ซึ่งมีอิทธิพลของโลกตะวันตก โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา พ่วงด้วยอิทธิพลตะวันออกจากญี่ปุ่น ผ่านสินค้าและบริการ ชักนำวิถีชีวิตสมัยใหม่สู่สังคมไทย ขยายวงกว้างขึ้นจากเมืองสู่หัวเมือง อิทธิพลนั้นยังคงอยู่…ครั้นหลังวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจปี 2540 กระแสอิทธิพลใหม่ พัฒนาอีกขั้น เชื่อมโยง เข้าถึงกิจกรรมทางสังคม เข้าถึงพฤติกรรมการบริโภคของปัจเจกชนอย่างกว้างขวาง และลงลึกยิ่งขึ้น อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน…”
ผมเองเคยอรรถาธิบายไว้พักใหญ่ๆ ดูเหมือนจะกว้างและหยาบเกินไป เมื่อเทียบเคียงกับความเป็นจริงในปัจจุบัน ขณะนั้นให้ความสำคัญเกี่ยวกับปรากฏการณ์เฉพาะบางมิติในสังคมธุรกิจไทย โฟกัสการมาถึงธุรกิจโมเดลใหม่ๆ จากแพลตฟอร์มการค้าปลีกออนไลน์ สู่ยานยนต์ไฟฟ้า
ในปี 2555 Lazada Group แพลตฟอร์มค้าปลีกทางออนไลน์ (eCommerce platform) เปิดฉากธุรกิจครั้งแรกในอาเซียน รวมทั้งในไทย จุดเปลี่ยนสำคัญมาถึงในปี 2559 เมื่อ Lazada เข้าไปอยู่ในเครือข่าย Alibaba แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ในช่วงจังหวะเดียวกันนั้นเอง (ปี 2558) ได้ปรากฏโฉมคู่แข่งอีกราย มาจากประเทศเดียวกัน-Shopee
จากนั้นไม่นาน ทั้งสองราย กลายเป็นผู้นำผู้สร้างสรรค์ธุรกิจโมเดลใหม่ กลายเป็นผู้ยึดครองการค้าปลีกออนไลน์ในสังคมไทยค่อนข้างเบ็ดเสร็จ สามารถเข้าถึงผู้บริโภคไทยอย่างกว้างขวางกว่าที่เป็นอยู่
ที่สำคัญได้สะสมข้อมูลพฤติกรรมการจับจ่ายใช้สอย เป็นฐานข้อมูลชุดใหญ่ไปด้วย เชื่อกันว่าสามารถเข้าถึง เข้าใจ ผู้คนสังคมไทยมากกว่าที่คาดคิดกัน
ในอีกด้าน อีกธุรกิจหนึ่งดูเป็นจริงเป็นจังอย่างเป็นระบบ ตั้งต้นตามแบบแผน จากการมาถึงไทย ค่อนข้างเงียบๆ ก่อนจะเข้าสู่โหมดครึกโครมในเวลาต่อมา สอดคล้องกับกระแสอุตสาหกรรมยานยนต์ยุคใหม่
โดยเฉพาะสามารถทะลวงเข้าสู่ใจกลางรากฐานธุรกิจญี่ปุ่นอันมั่นคงในสังคมไทย
เริ่มต้นด้วย บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์-ซีพี จำกัด (SAIC Motor – CP) เป็นความร่วมมือกันระหว่าง บริษัท เซี่ยงไฮ้ ออโตโมทีฟ อินดัสทรี คอร์ปอเรชั่น (SAIC : Shanghai Automotive Industry Corporation) และ เครือเจริญโภคภัณฑ์ ก่อสร้างโรงงานประกอบรถยนต์ในประเทศไทยแห่งแรกในปี 2556
กระแสคลื่นใหญ่อีกระลอกมาถึงในไม่ช้า รถยนต์ไฟฟ้า (Battery Electric Vehicle หรือ BEV) เป็น “ชิ้นส่วน” เล็กๆ ต่อเนื่อง แห่งภาพสะท้อนการพัฒนาอย่างจริงจังนับทศวรรษในจีนแผ่นดินใหญ่
ข้อมูลในปี 2561 ระบุว่า จีนเป็นทั้งผู้ผลิตและผู้ซื้อรถยนต์ไฟฟ้ามากที่สุดในโลก
รถไฟฟ้าจีนมาถึงไทยครั้งแรกราวปี 2563 จากนั้นไม่นานตามกันเป็นขบวนอย่างครึกโครม ในไม่ช้า ไทยจะกลายเป็นศูนย์กลาง (hub) รถไฟฟ้าจีนแห่งภูมิภาค
งานแสดงสินค้ารถยนต์ในไทยครั้งล่าสุดเพิ่งผ่านไป ยอดจองในงานที่อ้างถึง พอจะให้ภาพหนึ่งซึ่งเป็นไปได้ ธุรกิจรถยนต์จีนซึ่งมี BEV เป็นเรือธง สามารถแย่งชิง ยึดครองตลาดไทยได้อย่างพอฟัดพอเหวี่ยงกับเครือข่ายธุรกิจรถยนต์แห่งญี่ปุ่น
ส่วนที่ได้เปรียบเครือข่ายธุรกิจรถยนต์ญี่ปุ่นอย่างเห็นได้ชัด น่าจะเป็นการมีฐานข้อมูลผู้ใช้ที่กว้างกว่า ผ่านระบบขับขี่กึ่งอัตโนมัติที่มีใน BEV ในฐานะ BEV จีนเป็นผู้นำตลาดในไทยอย่างแท้จริง
ในอีกมิติมีความเป็นไปในเชิงลึกมากว่านั้น อย่างที่เคยเสนอไว้คร่าวๆ เช่นกัน เริ่มจากภาพที่ปรากฏในปี 2561
“…โครงสร้างและระบบเกษตรกรรมไทย กำลังเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ การเปลี่ยนแปลงซึ่งเชื่อว่าจะมาอย่างรวดเร็ว แรงปะทะซึ่งเป็นภาพสะท้อนภาพใหญ่เกษตรกรรม กำลังเผชิญกระแสคลื่นลม รุนแรงและผันผวนมากขึ้น”
นั่นคือภาพเกี่ยวกับ Alibaba Group ธุรกิจยักษ์ใหญ่แห่งประเทศจีน ผู้นำการค้าออนไลน์ของโลก กับ แผนการเปิดตลาดผลไม้ไทย อ้างอิงโดยเฉพาะทุเรียน สู่ตลาดที่ใหญ่มากๆ เป็นไปอย่างพายุบุแคม ดูตื่นเต้นยิ่งนัก
ทว่า กลไกแห่งความเคลื่อนไหวนั้น มีบางสิ่งซ่อนอยู่ ธุรกิจต่างชาติ (รวมทั้งผู้คน) ได้เข้ามาอยู่ในห่วงโซ่ (Value chain) เกษตรกรรมไทย อย่างฝังแน่น เป็นไปอย่างเงียบๆ อ้างอิงกรณี “ล้งจีน” (ผู้ค้าส่งจีน นำสินค้าจากเกษตรกรไทยโดยตรง ส่งออกไปยังจีนแผนดินใหญ่) ถือเป็นครั้งสำคัญของโครงสร้างเกษตรกรรมพื้นฐานไทย มีต่างชาติเข้ามามีบทบาทอย่างสำคัญมากขึ้นๆ
ภาพข้างบนมีเชิงชั้น และรายละเอียดมากทีเดียว จะว่าเป็นภาพใหญ่บางมิติ ว่าด้วยความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจจีน-ไทย คงจะได้ ระหว่างผู้บริโภคในฐานะปัจเจกด้วยกัน เป็นฐานกว้าง เชื่อมโยงกัน ในฐานะผู้ซื้อ-ขาย บริการและสินค้าบริโภค ทั้งโดยตรงและโดยอ้อม ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ว่าด้วยความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจไทยระหว่างประเทศ
มีความแตกต่างจากยุคที่ผ่านๆ มา ทั้งในยุคอาณานิคมเมื่อศตวรรษที่แล้ว หรือในยุคสงครามเวียดนาม กับประเทศใหญ่ซึ่งทรงอิทธิพล ไม่ว่าสหรัฐ และญี่ปุ่น
ความสัมพันธ์ซึ่งอ้างอิง ท่ามกลางกระแสหลั่งไหลนักท่องเที่ยวจีน เพียงชาติเดียวที่มีจำนวนมากมายมากที่สุดอย่างไม่เคยเกิดขึ้น จับภาพมาตั้งแต่ปี 2559 ด้วยมีสัดส่วนมากกว่า 25% ของบรรดานักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่มาเยือนประเทศไทย กลายเป็นแรงปะทะครั้งใหญ่ เป็นไปอย่างแตกต่าง เป็นกระแสที่มาแรง รวดเร็ว และผันผวน
ทั้งที่มีการกล่าวอ้างในเชิงลบ เกี่ยวกับรูปแบบกลุ่มทัวร์ “ทัวร์ศูนย์เหรียญ” สิ่งที่น่าสนใจจากนั้น เป็นไปอย่างซับซ้อน มาจากกลุ่มนักท่องเที่ยวอิสระ หรือที่เรียกว่า FIT (Free and Independent Traveler)
ผลพวงอย่างหนึ่งของ FTT มาจากกระบวนการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างปัจเจก ที่มีมากขึ้น ซับซ้อนขึ้น จากกลุ่มเล็กๆ ก่อตัวกลายเป็นชุมชน อย่างกรณีที่เรียก “นิวไชน่าทาวน์” ที่ซับซ้อน อ่อนไหว และผันแปร เป็นอีกครั้งที่เกิดขึ้นในสังคมไทย แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับ “ไชน่าทาวน์” ที่เยาวราช ถือว่ากำเนิดตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5
จากการท่องเที่ยวชั่วครั้งคราว สู่โอกาสทางธุรกิจหลากหลายรูปแบบ รวมทั้งที่แอบแฝง และผิดปกติ จากจุดเล็กๆ ขยายใหญ่ จาก “จีนเทา” ไปสู่ศูนย์กลางการหลอกลวงทางไซเบอร์ (Scam) ระดับโลกไปแล้ว เฉพาะประเทศไทยมีความสูญเสียหลายหมื่นล้านบาทต่อปี
เพิ่งมีความพยายามแก้ปัญหานี้ครั้งใหญ่ ด้วยความร่วมมือกับทางการจีน เป็นฉากตอนสำคัญว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างรัฐ จีน-ไทยที่ไม่เคยเกิดขึ้นเช่นกัน ซึ่งเป็นที่รู้กันทั่วไปว่า “ตัวการ” ใหญ่ของขบวนการที่ว่าข้างต้น มาจากที่นั่น
เรื่องราวกระจ่างชัดและขยายมิติมากขึ้นอีก ปะทุรุนแรงอย่างยิ่ง เป็นที่รับรู้และเข้าใจในวงกว้างอย่างแท้จริง จากกรณี ตึก สตง. (สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน) ถล่มลงอย่างพรั่นพรึง เป็นตึกแห่งเดียวในกรุงเทพฯ ด้วยแรงสะเทือนจากแผ่นดินไหวไกลถึงพันกิโลเมตร
และแล้วปรากฏภาพผู้รับเหมาก่อสร้าง (ตัวจริง) เป็นธุรกิจก่อสร้างจากจีน ภายใต้ร่างเงารัฐต่อรัฐ ปักหลักอยู่อย่างเงียบๆ ในสังคมไทยไม่กี่ปีมานี้ กับงานอีกนับสิบโครงการ ที่เป็นของรัฐ
เรื่องข้างต้นมีปัญหาอย่างมิพักสงสัย ด้านหนึ่งสะท้อนถึงระบบราชการไทยที่มีปัญหา ที่ต้องการการแก้ไขอย่างเร่งด่วน ในอีกด้านหนึ่ง สะท้อนปัญหาว่าด้วยความสัมพันธ์ที่กว้างขึ้น ระหว่างรัฐต่อรัฐในหลายมิติ
เมื่อมีการแก้ไขและการจัดการความสัมพันธ์จากกรณีหนึ่งได้ จึงจะมีความเป็นไปได้ ในการทบทวนภาพใหญ่อย่างที่ว่ามา •
วิรัตน์ แสงทองคำ | www.viratts.com
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022