ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 18 - 24 เมษายน 2568 |
---|---|
คอลัมน์ | จ๋าจ๊ะ วรรณคดี |
ผู้เขียน | ญาดา อารัมภีร |
เผยแพร่ |
ถ้าเอ่ยถึงสมัยสุโขทัย สิ่งแรกที่นึกถึง คือ ‘สังคโลก’ หรือ ‘เครื่องสังคโลก’ เป็นเครื่องปั้นเคลือบที่ผลิตขึ้นในอาณาจักรสุโขทัย แหล่งผลิตอยู่ที่เมืองศรีสัชนาลัยและเมืองสุโขทัย
อย่างไรก็ดี สมัยสุโขทัยใช่จะมีเพียงสังคโลก ผ้านานาชนิดที่มีจุดประสงค์การใช้แตกต่างกันไปก็มีไม่น้อย
วรรณคดีสมัยสุโขทัยเรื่อง “ไตรภูมิพระร่วง” กล่าวถึงผ้าสำหรับ ‘คนเป็น’ และ ‘คนตาย’ ไปจนถึงผ้าที่ใช้กับสัตว์
ณ ดินแดนอุตตรกุรุทวีป หรืออุดรกุรุทวีป ใครอยากได้ผ้า ไม่ต้องซื้อไม่ต้องหา แค่อธิษฐานใต้ต้นไม้สวรรค์ก็สมปรารถนาทุกประการ
“แลในแผ่นดินอุดรกุรุทวีปนั้น มีต้นกัลปพฤกษ์ต้นหนึ่ง โดยสูงได้ ๑๐๐ โยชน์ โดยกว้างได้ ๑๐๐ โยชน์ โดยรอบปริมณฑลได้ ๓๐๐ โยชน์ แลต้นกัลปพฤกษ์นั้น ผู้ใดจะปราถนาหาทุนทรัพย์สรรพเหตุอันใดๆ ก็ดี ย่อมได้สำเรทธิในต้นไม้นั้นทุกประการแล ถ้าแลคนผู้ใดปราถนาจะใคร่ได้เงือนแลทองของแก้ว แลเครื่องประดับนิทั้งหลายเป็นต้นว่า เสื้อส้อยสนิมพิมพาภรณ์ก็ดี แลผ้าผ้าผ่อนท่อนแพรพรรณสิ่งใดๆ ก็ดี แลเข้าน้ำโภชน อาหารของกินสิ่งใดก็ดี ก็ย่อมบังเกิดปรากฏขึ้นแต่ค่าคบต้นกัลปพฤกษ์นั้นก็ให้สำเรทธิความปราถนาแก่ชนทั้งหลายนั้นแล”
(อักขรวิธีตามต้นฉบับ)
ผ้าและเครื่องประดับในดินแดนนี้สามารถใช้ร่วมกันได้โดยไม่มีผู้ใดหวงแหนถือครองเป็นของตน ดังจะเห็นได้จากตอนที่อาบน้ำชำระกายว่ายน้ำเล่น
“เมื่อจะพากันลงอาบน้ำนั้นเขาถอดเอาเครื่องประดับนั้นออกวางไว้เหนือหาดทรายแลฝั่งน้ำนั้นด้วยกันแล้ว แล้วก็ลงอาบเหล้นหว้ายเหล้นในน้ำนั้น ถ้าแลผู้ใดขึ้นมาก่อนไส้ ผ้าใครก็ดี เครื่องประดับใครก็ดี เอานุ่งเอาห่มเอามาประดับก่อนแล ส่วนว่าผู้ขึ้นมาภายหลังเล่าไส้ เครื่องประดับใครก็ดี ผ้าใครก็ดี เอามานุ่งมาห่ม แลเขาก็มิได้ว่าของตนของท่าน เขาบ่ห่อนยินร้ายแก่กัน ด้วยความดั่งนี้แล เขาบ่ห่อนด่าบ่ห่อนเถียงกันเลย”
(อักขรวิธีตามต้นฉบับ)
ผ้าสำหรับมหาจักรพรรดิแม้เป็นผ้าสีขาวแต่มีลักษณะประณีต มีชื่อเรียกโดยเฉพาะ
“ครั้นว่า ธ แจกทานสิ้นแล้ว ธ จิงชำระสระพระเกศ แลสรงน้ำด้วยกละออมทองคำอันอบไปด้วยเครื่องหอมได้ละพันกละออมแล้ว ธ จิงทรงผ้าขาวอันเนื้อละเอียดนั้น แล้ว ธ จึงเสวยโภชนาหารอันมีรสอันดี ดุจมีในสวรรค์นั้น แล้ว ธ จึงเอาผ้าขาวอันเนื้อละเอียดอันชื่อว่าทุกูลพัสตร์มาห่มแลพาดเหนือจะงอยบ่า แล้วจิงสมาทานเอาศีล ๘ อัน”
(อักขรวิธีตามต้นฉบับ)
นอกจากใช้ผ้าเป็นเครื่องแต่งกาย ยังใช้ห่อหุ้มร่างไร้ชีวิตตั้งแต่สามัญชนไปจนถึงมหาจักรพรรดิราช ดังที่ “ไตรภูมิพระร่วง” บรรยายว่า
“ผิแลว่าเมือเขาแลตายจากกัน เขาบ่มิได้เป็นทุกข์เป็นโศก แลมิได้ร้องไห้รักกันเลย เขาจิงเอาศพนั้นอาบน้ำแลแต่งแง่ ทากระแจะแลจวงจันทน์ น้ำมันอันหอม แลนุ่งผ้าห่มผ้าให้ แล้วประดับนิด้วยเครื่องถนิมอาภรณ์ทั้งปวงให้แล้ว แล้วจิงเอาอศภนั้นไปวางไว้ในที่แจ้ง” (อศภ = ซากศพ)
หลังจากมหาจักรพรรดิราชสวรรคตก็จัดเตรียมพระศพ ดังนี้
“ชะโลมด้วยกระแจะจวงจันทน์ และจิงเอาผ้าขาวอันเนื้อละเอียดนั้นมาตราสังศพพระญาจักรพรรดิราชนั้น แล้วจิงเอาสำลีอันดีด้วยสะพัดได้แลร้อยคาบมาห่อชั้นหนึ่ง แล้วเอาผ้าขาวอันละเอียดมาห่อชั้น ๑ เล่า แล้วเอาสำลีอันละเอียดมาห่อเล่าดั่งนั้นนอกผ้าตราสังทั้งหลายเป็น ๑,๐๐๐ ชั้น คือว่าห่อผ้า ๕๐๐ ชั้น แลสำลีอันอ่อนนั้นก็ได้ ๕๐๐ ชั้น จิงรดด้วยน้ำหอมอันอบแลได้ ๑๐๐ คาบ แล้วเอาใส่ในโกศทองอันประดับนิดำถมอ แลรจนาด้วยวรรณลวดลายทั้งหลายอันละเอียดนักหนา”
“ไตรภูมิพระร่วง” ยังเล่าถึงการตระเตรียมที่อยู่ของ ‘ช้างแก้ว’ หรือ ‘หัตถีรัตนะ’ ของมหาจักรพรรดิราชไว้ล่วงหน้า
“เมื่อนั้นฝูงลูกเจ้าเหง้าขุนทมุนทนายจิงให้ปลูกโรงช้างอันหนึ่ง งามนักหนาหลังคาแลเสานั้นเทียรย่อมเงินแลทอง กับด้วยแก้ว ๗ ประการ แล้วจิงทากระแจะจวงจันทน์อันหอมไว้ในกลางโรงช้างนั้น จิงปูผ้าหลายชั้นเหนือแท่นทองอันมีในโรงช้างนั้น เบื้องบนดาดด้วยผ้าพิดานมีแก้ว ๕ เป็นตาบดูเรือง แล้วจิงใส่บนชัพพนิกา (= ชวนิกา คือ ม่าน, ฉาก) ย่อมแกว่งไปแกว่งมางามนักหนาด้วยแก้ว ๗ ประการไส้ แก้วเข้าฤดูงามดั่งดาวในเมืองฟ้า เหนือผ้าแลเสื้อนั้นหอม อบแลรมด้วยกระแจะจวงจันทน์ ท่านเอาเข้าตอกดอกไม้อันหอมทุกสิ่งมาลาดลงเหนือๆ นั้น ท่านกรองเป็นสร้อยผูกย้อยเป็นพู่พวงทั่วกลางโรงช้างนั้น ท่านแสร้งแต่งล้วนแต่ด้วยแก้ว ๗ ประการ แลมีรัศมีเขียวขาวแดงเหลือง ดูเรืองดูรุ่งดูเหลื้อมดูใส ในโรงช้างนั้นท่านใส่ผ้าเขียวผ้าขาวผ้าดำผ้าแดงผ้าเหลืองเรืองด้วยแก้ว ๗ ประการ ยิ่งดูยิ่งเรืองดั่งวิมานเทพยดาในเมืองฟ้าและหอมกรุ่น
ผ้าที่ใช้ตบแต่งโรงช้างมีตั้งแต่ผ้าหลายชั้นปูเหนือแท่นทอง ผ้าประดับเพดานนั้นวาวแววด้วยแก้วทั้งห้าทำเป็นรูปตาบ เครื่องประดับคอ หรืออก ลักษณะเป็นแผ่นสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน
นอกจากผ้าและเสื้อแล้ว…ที่พิเศษสุดคือใช้ผ้าห้าสีในโรงช้าง ห้าสีในที่นี้เรียกรวมกันว่า ‘เบญจรงค์’ ประกอบด้วยแม่สีทั้งห้า ได้แก่ ดำ แดง ขาว เขียว (คราม) เหลือง
ผ้าห้าสีนี้คงเป็นที่นิยมในสมัยสุโขทัย ดังจะเห็นได้จาก “สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน” โดยพระราชประสงค์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 เล่มที่ 15 อธิบายไว้โดยละเอียดว่า
“ในจดหมายเหตุของราชทูตจีน หรือบันทึกพวกพ่อค้า มีข้อความกล่าวถึงผ้าที่ใช้ในสมัยนั้นอยู่บ้าง ดังเช่น ผ้าที่นำมาทำเป็นฉลองพระองค์ของพระเจ้าแผ่นดิน
‘…เสี่ยงอี่ (ภูษาเฉียง) ยาวสามเชียะ ใช้แพรตึ๊งห้าสี เหียอี (ภูษาทรง) ทำด้วยด้ายห้าสี เอ๋ย, บ๊วย (ฉลองพระบาท, ถุงพระบาท) ทำด้วยแพรตึ๊งสีแดง…ใช้ผ้าขาวพันศีรษะ ใช้หมวกทำด้วยแพรตึ๊ง และทำด้วยกำมะหยี่ นุ่งห่มใช้ผ้าสองผืน…ผ้าห่มทำด้วยด้ายห้าสียกดอก ผ้านุ่งทำด้วยด้ายห้าสี แต่เอาไหมทองยกดอก…’
บันทึกนี้บอกให้ทราบได้ว่า ในสมัยสุโขทัยนั้น ผ้าที่มีค่า คือ ผ้าไหม ผ้าแพร ผ้ากำมะหยี่ และรองลงมาคือ ผ้าที่ทอด้วยด้ายหรือฝ้าย และย้อมเป็นสีต่างๆ ที่เรียกว่า ห้าสี คงได้แก่ สีดำ สีขาว สีแดง สีเขียว และสีเหลือง ครั้งนั้นเรียกว่า ผ้าเบญจรงค์ คนจีนในสมัยนั้นเรียกคนไทยว่า เสียน และว่าคนไทยทอผ้าได้ดี รู้จักเย็บผ้า ซึ่งในสมัยนั้นนับเป็นเทคนิคใหม่และยาก ดังบันทึกของโจวต้ากวาน พ.ศ.1839 ว่า
‘ชาวเสียนใช้ไหมทอเป็นแพรบางๆ สีดำ ใช้เป็นเครื่องนุ่งห่ม ผู้หญิงเสียนนั้นเย็บชุนเป็น…’
คราวที่กรุงสุโขทัยรับรองพระมหาเถรจากนครพัน มาจำพรรษาเมื่อ พ.ศ.1904 กษัตริย์ได้รับสั่งให้ใช้ผ้าเบญจรงค์ปูลาดพื้น
‘…แล้วเสด็จให้ปูลาดซึ่งผ้าเบญจรงค์ไม่ให้พระบาทลงยังพื้นธรณีทุกแห่ง…’
การใช้ผ้าหรือพรมปูลาดพื้นต้อนรับพระเจ้าแผ่นดิน หรือพระสังฆราชในการเสด็จพระราชดำเนินนั้น เป็นประเพณีของไทยมาช้านาน ถือเป็นการแสดงคารวะอย่างสูง”
นอกจากผ้าห้าสี หรือผ้าเบญจรงค์แล้ว “ไตรภูมิพระร่วง” ยังกล่าวถึงราชสีห์ตระกูลสูงในป่าหิมพานต์โดยเปรียบสีขนกับผ้าแดงสูงค่าที่พาดผ่านเหนือร่างราชสีห์ว่า
“ไกรสรสีหะนั้นมีฝีปากแลปลายตีนทั้ง ๔ นั้นแดง ดั่งท่านเอาน้ำครั่งละลายด้วยน้ำชาดหรคุณทา ทั้งปากทั้งท้องแดงดั่งนั้นโสด เป็นแนวแดงแต่หัวตลอดรอบจนหลัง อ้อมลงในแค่งขา ปากหลังแดงดั่งรัดสะเอวนั้น งามดั่งท่านแส้งแต้มตนราชสีห์นั้น มีสร้อยอันอ่อนดั่งนั้น งามดั่งท่านเอาผ้าแดงอันมีค่าได้แสนตำลึงทอง แลเอามาพาดเหนือตนไกรสรสีหะนั้น” (อักขรวิธีตามต้นฉบับ)
น่าสังเกตว่าทั้งวรรณคดีเรื่อง “ไตรภูมิพระร่วง” สมัยสุโขทัยและเอกสารชาวจีนไม่ว่าจะเป็น “จดหมายเหตุของราชทูตจีน” หรือ “บันทึกของพ่อค้าจีน” กล่าวถึงผ้าที่มีใช้ในสมัยสุโขทัยใกล้เคียงกัน เช่น ผ้าห้าสี หรือผ้าเบญจรงค์ ซึ่งทอด้วยด้ายหรือฝ้ายแล้วย้อมเป็นสีดำ ขาว แดง เขียว (คราม) และสีเหลือง รวมไปถึงผ้าแพร โดยเฉพาะใน “ไตรภูมิพระร่วง” เล่าถึงผ้าขาวเนื้อละเอียดหรือ ‘ผ้าทุกูลพัสตร์’ (คำนี้พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานอธิบายว่าเป็นผ้าอย่างดี หรือผ้าเนื้อละเอียด) เป็นผ้าชั้นดีที่มหาจักรพรรดิราชใช้ขณะทรงรับศีล
‘ธ จึงเอาผ้าขาวอันเนื้อละเอียดอันชื่อว่าทุกูลพัสตร์ มาห่มแลพาดเหนือจะงอยบ่า แล้วจิงสมาทานเอาศีล ๘ อัน’ (อักขรวิธีตามต้นฉบับ)
ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากทรงรับศีล ๘ แล้ว ‘ธ จิงเสด็จลงไปนั่งกลางแผ่นดินทองอันประดับนิด้วยแก้ว แลรุ่งเรืองงามดั่งแสงพระอาทิตย์นั้นแล กอปรด้วยฟูก เมาะ เบาะแพร แลหมอนทอง สำรับ ย่อมประดับด้วยแก้วสัตตพิธรัตนะแท่นทองนั้นอยู่ในปราสาทแก้วอันรุ่งเรืองงามนักหนา’ (อักขรวิธีตามต้นฉบับ)
ข้อความว่า ‘ฟูก เมาะ เบาะแพร’ บอกให้รู้ว่าฟูก เมาะ และเบาะที่ประทับของมหาจักรพรรดิราชนั้นหุ้มด้วยผ้าแพรสูงค่างามประณีต
มาถึงตรงนี้จะเห็นได้ว่าทั้งวรรณคดีและเอกสารทางประวัติศาสตร์ ล้วนเป็นหลักฐานยืนยันทักษะความเชี่ยวชาญการทอผ้าของคนไทยสมัยสุโขทัยได้เป็นอย่างดี
‘ผ้าเรา’ ทอเองใช้เองได้ แล้วซื้อ ‘ผ้าเขา’ ทำไม?
ฉบับหน้าอย่าพลาด •
จ๋าจ๊ะ วรรณคดี | ญาดา อารัมภีร
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022