ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 18 - 24 เมษายน 2568 |
---|---|
คอลัมน์ | เรื่องสั้น |
เผยแพร่ |
เรื่องสั้น | ลัดดา สงกระสินธ์
เดินทางไกลบนเส้นรอบวง
แค่เพียงเหตุการณ์เล็กๆ ในช่วงเวลาสั้นๆ เหมือนของเล่นชิ้นเดียวท่ามกลางจำนวนของเล่นมากมายจนเกินจะนับได้ในโรงงานผลิต แต่มันก็ถูกทำให้โดดเด่นขึ้นมาด้วยการใช้ปากกาปาร์กเกอร์แห่งความทรงจำขีดเอาไว้ในท่ามกลางบรรยากาศเวิ้งว้างของความหลัง
เพื่อให้ฉันยังคงอยู่ที่ตรงนั้น ตรงลวดลายตราปั๊มชุ่มหมึก ซึ่งได้ทำการจำลองเหตุการณ์ขึ้นมาซ้ำๆ ด้วยการปั๊มภาพเดิมๆ ลงไปบนหน้ากระดาษแห่งความนึกคิดเดิม เพื่อให้ฉันยังคงอายุ 6 ขวบอยู่เสมอ อุ้มแมวดำประจำตัว เดินเรื่อยไปสู่จุดหมายที่ไม่แน่นอน สู่ความเป็นไปได้อันไม่สิ้นสุด
เพื่อออกตามหาโรงเรียนของพี่
1.
ลูกแมวสีดำ นุ่มเหมือนสำลี นอนขดตัวกลมอย่างกับชาม
ตากลมดิกสีเหลือง ใบหูเหนือหน้าผากทรงสามเหลี่ยมเหมือนขนมเทียนวันตรุษจีน เจ้าหูที่น่ารักนั้น มักเที่ยวขยับดุ๊กดิ๊กขณะลอบฟังความเคลื่อนไหวต่างๆ รอบตัว ด้วยความอยากรู้อยากเห็น หนวดสีขาวพุ่งกระจายออกเหมือนลูกศรแสดงเส้นทางบิน ขนหนวดฟูฟ่องแผ่เต็มคิ้วและแก้มที่นิ่มๆ
นั่นคือลูกแมวของฉันเอง ตัวผู้ ขนสีดำสนิท ไม่มีจุดสีอื่นแทรกแซมเลย ลูกแมวตัวนี้เข้ามาเป็นสมาชิกในบ้านของเรา ราวหนึ่งปีก่อนหน้าที่ฉันจะเข้าเรียนระดับชั้นประถม
ฉันตั้งชื่อว่าน้องกังฟู
2.
ไอติมตัดใต้ต้นสะเดา
ปิดเทอมนี้ฉันอยู่บ้านกับพี่ๆ มันเป็นช่วงเวลาที่สนุกสนานอย่างมาก เราได้ออกไปสำรวจอาณาบริเวณโดยรอบ มีเรื่องราวต่างๆ ให้ค้นหา มีงานบ้านให้เราทำและสนุกไปกับมัน แต่สิ่งเหล่านี้กำลังจะสิ้นสุดลง
พ่อแม่พูดเรื่องเปิดเทอมบ่อยครั้งขึ้น ซึ่งทำให้ฉันใจหาย
ครอบครัวของเราเพิ่งเปลี่ยนจากอาชีพทำนามาปลูกยางพารา ระหว่างรอต้นยางโต ทั้งพ่อและแม่จึงออกไปทำงานนอกบ้าน ฉันนึกกลัวว่าหากวันเปิดเทอมมาถึงจริงๆ ฉันซึ่งยังไม่เข้าโรงเรียนจะอยู่บ้านกับใคร
แล้ววันที่แสนน่ากลัวนั้นก็มาถึงจนได้ พี่ทั้งสามตื่นแต่เช้าตรู่ จัดแจงอาบน้ำแต่งตัว ทุกคนดูร่าเริงแจ่มใสเสียจนน่าโมโห ฉันนั่งอยู่ตรงระเบียงบ้าน เฝ้าจับตามองอิริยาบถของแต่ละคน เงียบงันราวกับเป็นชาเย็นแก้วหนึ่ง น้ำแข็งภายในตัวตนกำลังละลายลง มองเห็นหยดน้ำเกาะพราวอยู่รอบแก้ว ยังคงคิดไม่ตกว่าจะทำยังไงกับตัวเองดี
แล้วอยู่ๆ แม่ก็บอกให้รีบเตรียมตัว อีกเดี๋ยวจะพาไปอยู่กับป้าแมะ
แม่สั่ง เหมือนฉันเป็นเพียงขันน้ำใบหนึ่งซึ่งแม่ต้องการย้ายที่วาง ไม่ใช่ลูกคนหนึ่งซึ่งแม่คิดจะถามความรู้สึก ถามความคิดเห็น หรือแม้แต่จะบอกให้ฉันได้รู้ตัวล่วงหน้าเพื่อเตรียมความพร้อม
บ้านของป้าแมะตั้งอยู่คนละฟากฝั่งคลองกับบ้านเรา แม่เดินมาส่งฉันด้วยสีหน้าอมทุกข์แล้วก็รีบกลับไป
ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นลูกแก้วลูกหนึ่งในกระป๋องสีสเปรย์ เล็กจ้อย โดดเดี่ยว ตกอยู่ในความมืดเพียงลำพังและไม่มีทางออก
ป้าแมะใช้พร้าแต่งทางกล้วย แต่งกอไผ่หวาน แล้วก็ทำอะไรของแกไปเรื่อยเปื่อย ฉันนั่งมองครู่ใหญ่จึงลุกเดินไปหน้าซอย ป้าแมะตะโกนเรียกแต่ฉันทำหูทวนลม ข้ามถนนกลับไปยังสะพานเมา ฝั่งบ้านตัวเอง
สะพานเมาที่ว่านั้น ตั้งมั่นอยู่ตรงใจกลางระหว่างฝั่งสองฝั่ง ที่เรียกว่าสะพานเมา ก็เพราะพ่อเคยเมาเหล้าแล้วขับรถมอเตอร์ไซค์ตกลงไปในคลองนั้นตั้งหลายครั้งหลายหน ฉันยืนอยู่กลางสะพาน ไม่รีบร้อนที่จะข้ามไปไหน
ป่านนี้น้องกังฟูคงหลับสบายอยู่ข้างโอ่งน้ำตรงหน้าครัว ส่วนคนอื่นเขาก็ออกไปที่อื่นกันหมดแล้ว
สาหร่ายสีเขียวเต้นไหว น้ำใสสะอาดไหลรินเบาๆ ลูกครอกปลาช่อนตัวสีแดงว่ายวนตามแม่ของมัน ฉันเฝ้ามองและเอาแต่คิดว่า ดูสิ ลูกครอกปลาช่อนเหล่านี้มันมีแม่ และมันก็ได้อยู่กับแม่
ตัวจิงโจ้น้ำเดินบนผิวน้ำ ฉันได้เข้าใจความมหัศจรรย์ของมันในภายหลัง ได้รู้ว่าขาของมันมีเส้นขนเล็กๆ จำนวนมากและมีต่อมไขมันซึ่งช่วยกักเก็บอากาศ ข้างฝ่ายน้ำเองก็มีแรงพยุงเรียกว่าแรงตึงผิว ดังนั้น แม้จะมีแรงกดเล็กน้อยจากมวล แต่ผิวน้ำก็แสดงออกเพียงรอยบุ๋มซึ่งแทบจะไม่เป็นที่สังเกต แล้วก็ไม่อาจทำให้เจ้าจิงโจ้น้ำจมลง
เตร็ดเตร่อยู่ที่สะพาน ในสมองเฝ้าจินตนาการถึงพ่อ แม่ และพี่ ป่านนี้พวกเขาแต่ละคนจะทำอะไรกันอยู่บ้าง จะยุ่งวุ่นวายกับโลกข้างนอกนั้นมากมายขนาดไหน หรือจะมีใครบางคนนึกเป็นห่วงฉันขึ้นมา แล้วเลือกจะกลับบ้านก่อนเวลา เมื่อคิดเข้าข้างตัวเองได้อย่างนั้น จึงคอยชะเง้อมองไปยังสุดสายถนนทั้งสองด้านบ่อยๆ
รออย่างสิ้นหวัง อดทนข้ามผ่านความหิวโหยจนล้าเหนื่อย แล้วในที่สุด ขบวนแถวของเด็กนักเรียนซึ่งมีทั้งพี่ๆ และเด็กข้างบ้านก็พากันปั่นจักรยานกลับมา ฉันสปริงตัวเหมือนแมวที่พุ่งขึ้น ตะปบเอารางวัลแห่งชีวิตของตัวเองซึ่งแขวนลอยอยู่ในอากาศลงมาจนได้ และใช้เท้าเหยียบย่ำมันลงจมโคลนจนสาแก่ใจ
ตอนค่ำ ป้าแมะข้ามสะพานเมาเข้าซอยมาหาพ่อกับแม่ พูดคุยบุ้ยใบ้มาทางฉัน
พอเช้าวันใหม่ แม่ก็พาฉันไปฝากกับป้าอีกคนชื่อป้ารำพึง ถึงแม้บ้านเราจะอยู่ใกล้กันมาก แต่แม่ก็ยังพาฉันเดินไปส่งจนถึงบ้านของป้าด้วยตัวเอง ฉันคุ้นเคยกับป้ารำพึงดีเพราะชอบไปเล่นกับลูกๆ ของแกเป็นประจำ
แต่วันนี้ฉันเอาแต่นั่งนิ่ง มองใบกระท้อนสีเขียวและสีแดงขนาดใหญ่บนต้น พยายามมองหาหนอนกระท้อนด้วยแต่ไม่เห็นสักตัว มองกลับไปที่บ้าน เห็นรถกระบะของพ่อเคลื่อนตัวออกไปช้าๆ พี่ๆ วิ่งขึ้นวิ่งลงบันได ส่งเสียงตะโกนเจี๊ยวจ๊าวดูน่าสนุกสนาน ไม่มีใครแสดงอาการเสียอกเสียใจที่ฉันไม่ได้รวมกลุ่มอยู่ตรงนั้นด้วย
เมื่อพี่ๆ ปั่นจักรยานออกไปสักครู่หนึ่งฉันก็ลุกขึ้น เดินไปปากซอยบ้าง ฉันฉุดฝุ่นสีแดงบนพื้นดินขึ้นมาแรงๆ จนมันฟุ้งเปื้อนเต็มนิ้วเท้าทั้งสิบและหน้าแข้ง ผ่านดงสับปะรดใบแข็ง ถึงถนน แล้วเลี้ยวกลับไปยังสะพานเมา
ใกล้สะพานเมามีลานดินแดง บนลานดินแดงมีต้นไม้ใหญ่น้อยขึ้นหนาแน่น ต้นสะเดาผิวขรุขระคล้ายหนังคางคก ฉันชอบป่ายปีนกิ่งก้านของมัน สูดหายใจรับลมซึ่งพัดมาเป็นครั้งคราว รู้สึกสดชื่นจริงๆ
เถาวัลย์ดอกสีเหลืองเลื้อยคลุมทั่วบริเวณ บอบบางราวกับกระดาษที่อ่อนไหวเป็นอย่างมากต่อการแตะต้องของลม ฉันมองหาทำเลสำหรับสร้างเพิงพัก จากนั้นปีนลงมา เที่ยวเดินเก็บเศษไม้และดึงเถาวัลย์มาใช้แทนเชือก
เสียงแตรหวานแหลม รถขายซาลาเปาใกล้เข้ามา ฉันโดดแผล็วลงไปในคลองทันทีเพราะไม่ต้องการให้คนขับรถซาลาเปามองเห็น กลัวเขารู้ว่าฉันอาจจะหิวอยู่ก็เป็นได้ ไม่อยากให้เขาสงสาร แล้วก็ไม่อยากสงสารตัวเองด้วย ไม่อยากมองเห็นซาลาเปาก้อนกลมที่วางเรียงรายละลานตาเต็มตู้กระจก ไม่อยากจะเปิดโอกาสให้สมองคิดวนเวียนถึงภาพของมันไปตลอดทั้งวัน
คลองนั้นลึกพอที่จะบังฉันจนมิด ต้นไม้ใบหญ้าเขียวชอุ่มเหมือนดึงม่านผืนหนาหนักสีเขียวอ่อนเข้มมาบังซ้ำ พื้นโคลนนิ่ม น้ำครึ่งค่อนแข้ง หอยขมหอยโข่งคลานไปมา ปลาเล็กปลาน้อยว่ายวน ยักย้ายจากตรงนั้นไปตรงนี้ ฉันเดินลุยน้ำไปเรื่อย จงใจทำลายความเงียบอันสงบงามของเวิ้งแอ่งที่เรียบตึงและทำให้หมู่ปลาอารมณ์เสีย
พี่ๆ จะกลับจากโรงเรียนถึงบ้านก็ช่วงบ่ายคล้อยไปโน่น ระหว่างนั้น ฉันต้องหาอะไรเล่นรอเวลา
เสียงแตรรถซาลาเปาเงียบไปนานแล้ว เสียงเพลงของพุ่มพวง ดวงจันทร์ ดังสะเทือนเลื่อนลั่นเข้ามาแทน
ลูกค้าเดินออกมายืนรอเรียงรายตรงตำแหน่งต่างๆ ของถนน ป้ารำพึงเองก็ตามเสียงนั้นออกมาเช่นกัน
คนขับรถพุ่มพวงไม่ต้องเปิดประตูลงมา เพราะผู้หญิงคนที่นั่งอยู่ด้านหลังรถจะเป็นคนขายของให้ลูกค้าเอง ป้ารำพึงจับนั่นพลิกนี่ หยิบใบมีดเล็กๆ ซึ่งผูกห้อยเอาไว้ตัดเอาของที่ต้องการออกมา รอบรถมีทั้งถุงใส่ผัก ขนมหวาน ของแห้ง ปลาเค็ม ฯลฯ ห้อยแขวนอยู่ ป้ารำพึงเปิดลังใส่อาหารสด แล้วก็เปิดอีกลังที่ใส่ไอติม
ฉันนั่งมองภาพเหตุการณ์ชีวิตที่ดำเนินไปเรื่อยนั้นด้วยสายตาซึ่งเพียงแต่จะหาอะไรมองเท่านั้น
ซื้อของเสร็จ ป้ารำพึงก็ข้ามสะพานเมามายังจุดที่ฉันอยู่ หิ้วถุงมาหลายใบ ป้าทักทาย แต่ฉันวางท่าห่างเหินราวกับไม่เคยไปวิ่งเล่นเจี๊ยวจ๊าว มุดราวผ้าขยับตู้ตั่งเตียงรื้อข้าวของที่บ้านของแกจนวุ่นวายไปหมดเป็นประจำ
ป้ายื่นไอติมตัดสีม่วงอ่อนหวานมาให้แท่งหนึ่ง และราวกับมันได้พูดขึ้นอย่างสุภาพเอียงอายว่า “สวัสดีเด็กน้อย กินเราเถอะๆ” ฉันมองมันอย่างสะดุ้งสะเทือนแล้วก็รีบก้มหน้าลง แดดยามสายร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ และเจ้าไอติมแท่งนั้นก็พลอยรีบร้อนละลายตัวเองตามไปด้วย มันละลายเร็วมากเสียจนฉันเกือบจะเวียนหัวเลยทีเดียว
ไอติมหวานๆ นั้นหยดลงพื้นแล้วก็ซึมหายไปอย่างดุเดือด มันกำลังสร้างข้อต่อรองกับฉัน
ถ้าฉันรับของจากป้า ก็เท่ากับว่ายอมรับป้า แล้วถ้าป้าให้กลับบ้าน ฉันก็ต้องตามแกกลับไปสถานเดียว
ป้ายังคงยื่นไอติมค้างเอาไว้อย่างกล้าหาญ ปล่อยให้มันละลายไปเรื่อยๆ ต่อหน้าต่อตาเราทั้งสองคน ราวกับว่าแกต้องการคำยืนยันอันเป็นที่สุด ซึ่งฉันก็ไม่ยอมรับมันมา เพื่อแสดงคำยืนยันอันเป็นที่สุดเช่นเดียวกัน
ท้ายที่สุดป้าก็พูดขึ้นว่า ถ้าจะอยู่ที่นี่ก็ได้ แต่ห้ามออกไปที่ถนน แล้วก็ห้ามเล่นน้ำ ซึ่งฉันก็ตอบแกไปด้วยความเย็นชาอย่างหยาบคาย ป้าพูดว่า เอาตามที่ตัดสินใจ ถ้าหิวก็กลับไปบ้านป้าแล้วกัน จากนั้นแกก็เดินกลับไปคนเดียว ฉันมองตามหลัง เห็นภาพแกตัวเล็กลงเรื่อยๆ ตามระยะทางซึ่งค่อยๆ ไกลออกไป รู้สึกเศร้าและรู้สึกสงสาร
มันเป็นวันที่ฉันจดจำเอาไว้เสมอ ซึมซับความเมตตาอารีของป้ามาโดยไม่รู้ตัว ป้าไม่ดุว่าหรือตำหนิอะไรเลย แกก็แค่ให้เท่านั้น และฉันรู้ดีว่าหัวใจสำคัญของเรื่องราวเหล่านี้อยู่ในความหมายของการกระทำนั่นเอง เรื่องราวเล็กๆ ใต้ต้นสะเดา ที่ได้สอนให้ฉันรู้จักการอดทนต่อเด็กที่เกินจะทนได้อย่างนับครั้งไม่ถ้วนในเวลาต่อมา
บ่ายคล้อย รู้สึกหิวข้าวและกระหายน้ำ จวนเจียนจะหมดเรี่ยวแรงเอาดื้อๆ จึงเดินกลับบ้านของตัวเอง
น้องกังฟูนอนขดตัวอยู่บนผ้าขี้ริ้วหน้าประตู เมื่อได้ยินเสียงไม้ลั่น แมวน้อยลืมตามอง หาวปากกว้าง บิดตัว ปลี่ยนท่าทาง แล้วลุกขึ้นเหยียดตัว เดินเข้ามาพันแข้งพันขา ฉันรู้สึกใจชื้นขึ้นมา นั่งลงใกล้ๆ เอาหน้าซุกลงในแพขนนุ่มนิ่มอบอุ่นนั้น สูดลมหายใจลึก
ในครัวมืดอย่างกับคืนข้างแรม ฉันวิ่งไปยังโอ่งมังกร รีบดื่มน้ำอย่างรวดเร็วที่สุด รู้สึกตัวอ่อนตัวนวลและบาดเจ็บราวกับกำลังถูกผีแทะกินไปแล้วครึ่งตัว ตอนออกมาก็อุ้มน้องกังฟูมาด้วย
ถ้าเราวิ่งได้เร็วพอ หากว่าผีมันคิดจะจับมันก็อาจจะจับไม่ทัน
ยามบ่ายที่เหลือนั้นดำเนินไปอย่างเฉื่อยเนือย ระหว่างเดินทางไปยังลานดินแดง ฉันปล่อยให้น้องกังฟูได้วิ่งเล่นลัดเลาะไปในธรรมชาติ ไล่ตะปบตั๊กแตน แวะเคี้ยวหญ้ากกดอกขาวต้นอ้วนและเขียวสด ซุ่มมองนกเขาคู่หนึ่งที่เดินไปมาบนพื้นดิน กังฟูส่ายก้นดุ๊กดิ๊กตอนจะกระโดดเข้าไปหานกเขาคู่นั้น ซึ่งบินพรูขึ้นสู่อากาศในทันที
ตอนเย็น พี่ๆ กลับมาจากโรงเรียนอย่างธรรมดา และทักทายฉันอย่างธรรมดา ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้ฉันทนไม่ได้ เหมือนพวกเขาไม่ได้รู้สึกเลยแม้แต่น้อย ว่าชั่วโมงนาทีมันยืดยาวโหดร้ายขนาดไหนเมื่อพวกเขาไม่อยู่ พี่ๆ เอ่ยชื่อเพื่อน พูดถึงเด็กบ้าเด็กบอที่ฉันต่อไม่ติดสักคน เหมือนฉันเป็นคนอื่นโดยสิ้นเชิง ถูกกันออกจากเรื่องราวทั้งหมด
ไม่มีใครพูดถึงเด็กที่ปีนขึ้นปีนลงต้นไม้จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของสีเขียว เด็กที่สังเคราะห์แสงอยู่คนเดียวตลอดทั้งวัน ฉันท้อแท้และต้องการต่อสู้เพื่อเรียกร้องเอาความสำคัญของตัวเองคืน
ตอนเข้านอน น้องกังฟูเดินขึ้นมาเหยียบบนผ้าห่มบริเวณหน้าท้อง แล้วก็ย่ำนวดเป็นเวลานาน
พ่อรู้ว่าฉันดื้อ พี่รู้ว่าฉันโกรธและต่อต้าน แมวเท่านั้นที่รู้ว่าฉันเศร้าอย่างแท้จริง
3.
เดินทางไกลบนเส้นรอบวง
เหตุการณ์ซ้ำเดิมอยู่เป็นเวลานาน แต่ก่อนที่มันจะกลายเป็นถาวร ฉันก็เลือกความเปลี่ยนแปลง
อย่างเงียบและลับ
สายวันต่อมา หลังจากทุกคนออกจากบ้านไปหมดแล้ว ฉันก็อุ้มน้องกังฟูขึ้นมาแนบอก
บอกน้องว่า “ไปกันเถอะกังฟู” แล้วก็เริ่มเดิน
เลี้ยวบางครั้งด้วยสัญชาตญาณ ตื่นตาตื่นใจกับนกหัวขวานสีฟ้าหลายต่อหลายตัว ดอกหญ้าหางกระรอกสีทองฟูสวยเป็นพวงล้อลม หญ้าดอกแดงขึ้นปนกับดอกปืนไส้นก พ้นช่วงที่มีบ้านเรือนหนาแน่น เจอเงาสวนยางร่มครึ้ม ถนนแดงเหมือนหลอดที่ถูกบิดจนโค้งหักศอก บ่อลูกรังยังคงมีรอยฟันของรถแบ๊กโฮขุดลึกลงไป เหมือนเหว เหมือนเส้นทางสำหรับพุ่งตรงไปสู่นรก
ในที่สุดก็เจอป้ายสีขาวตระหง่าน บ่งบอกความเป็นโรงเรียนอย่างเต็มที่ ฉันเลี้ยวเข้าไปทันที เห็นอาคารซึ่งดูเล็กกว่าที่เคยคิด ใกล้เข้าไปเรื่อยๆ คาดหวังว่าจะมีใครสักคนมองมาเห็นและเรียกให้หยุด แต่ก็ไม่มีใครมองมาสักคน
ฉันอุ้มน้องกังฟูไว้ ไม่รัดแน่น แต่รัดกุม โดยใช้วงแขนล็อกขาน้องไว้แต่ไม่ลงน้ำหนักกอด เพื่อไม่ให้แมวรู้สึกอึดอัดจนต้องดิ้นหนี ด้วยวิธีนี้ ฉันจึงพาแมวน้อยเดินทางมาตั้งไกลจนได้
ผ่านหน้าอาคารเข้าไปสู่สวนป่า ฉันปล่อยกังฟูลง แมวน้อยไม่ได้เดินห่างออกไปไหนไกล เอาแต่ดมกลิ่นเพื่อสำรวจพื้นที่มากกว่า
สักครู่ เห็นชายคนหนึ่งเที่ยวเดินตรวจตราแท็งก์น้ำทรงสี่เหลี่ยมอยู่ด้านหลังอาคาร ขอบของแท็งก์น้ำนั้นมีหมุดกลมเหมือนติดกระดุมเงินเอาไว้เรียงราย ระหว่างที่เที่ยวหันหน้าไปทางนั้นทางนี้ เขาก็หันมาเห็นฉันเข้า
เขาหยุดสายตาไว้ แล้วค่อยๆ เดินตรงเข้ามา ฉันนั่งนิ่งบนม้าหินแต่ใจนั้นเต้นโครมคราม ตกเป็นฝ่ายตั้งรับ
ตาสีน้ำตาล คิ้วเข้มรูปทรงสามเหลี่ยม ผมตัดเกรียน สวมชุดสีกากี เขาน่าจะเป็นคุณครู
“หนูเป็นใครเนี่ย” เขาถามขึ้น แค่คำแรกก็ตลกเลย
ถามอะไรอย่างนี้ ถามว่าหนูเป็นใคร แล้วฉันจะไปรู้ได้ไงว่าฉันเป็นใคร
ฉันหันหน้าไปมองป่าหลังโรงเรียนที่มีเถาวัลย์ยาวระย้า ส่วนเหนือพื้นดินขึ้นไปนั้นลื่นวาว แสดงว่าต้องมีเด็กๆ มาห้อยโหนเล่นอย่างสนุกสนานจนแทบจะเป็นบ้าเป็นหลังไปอย่างแน่นอน ฉันนึกชอบโรงเรียนนี้ทันที
“หนูมาจากไหนเนี่ย” เขาถามใหม่ เน้นเสียงอย่างกับจิ๊กโก๋ แต่ฉันไม่ตอบ เขาควรรู้ดีอยู่แล้วว่าฉันต้องมาจากบ้าน คนอย่างฉันไม่มาจากที่อื่นหรอก รอคอยคำถามใหม่ รอให้เขาตั้งสติคิดให้ดีกว่าเดิมเสียก่อนแล้วค่อยถามมาก็ได้ ฉันไม่รีบ ไม่คิดจะหนีไปไหนอยู่แล้วเพราะตั้งใจมาหาพี่ และบางทีเขาอาจช่วยพาฉันไปหาพี่ก็เป็นได้
“หนูพูดได้ไหม” เขาถามอีก คราวนี้เสียงเบาลงและเปลี่ยนท่าทางเป็นพินิจพิเคราะห์
ฉันเกือบจะหัวเราะออกมาทีเดียว แต่ก็ยังคงวางท่าสงบ เวลาขำมากๆ ฉันสามารถซ่อนอารมณ์ไว้ได้อย่างหมดจดเหมือนเช่นในเวลาที่ทุกข์ทรมานมากๆ ได้เหมือนกัน จึงเอาแต่จ้องมองดวงตาสีน้ำตาลของเขา เห็นเฉดสีไล่ระดับอ่อนเข้ม ตาเขาสวยมากๆ มันสะกดฉันได้นานทีเดียว
“หนูเดินมาที่นี่เองเหรอ หรือว่าแค่ผ่านมารอใคร” เขาเลิกคิ้วขึ้น ชี้นิ้วลงไปบนแผ่นดินขณะพูดคำว่า ที่นี่
กังฟูน้อยเริ่มวิ่งเร็วๆ แถมยังปีนต้นไม้เล่น ฉันจึงลุกขึ้นวิ่งไปอุ้มเอามา เพราะกลัวน้องจะเที่ยวไถลไปไกล ฉันเอามือลูบไปมาตามแนวเส้นขนของเจ้าแมวอ้อน พร้อมกับเดินมานั่งบนม้าหินตัวเดิม
การเดินทางวันนี้ น้องกังฟูเป็นผู้ที่อยู่เคียงข้างฉันอย่างน่าศรัทธา ซึ่งฉันจะไม่ลืมเลย
“หนูมาหาใครที่นี่เหรอ” เขาลองถามใหม่
ฉันเงียบ มือก็ลูบหัวและลำตัวของน้องกังฟูไปมา เพื่อให้แมวน้อยนอนสงบบนตัก
เขาเกือบจะถอนใจแต่ก็มีท่าทีระวัง คงรู้ว่าหากถอนใจแรงเกินไปอาจถูกตัดสินว่าเขากำลังเบื่อหน่าย หรือเกิดความรู้สึกเป็นปฏิปักษ์ขึ้นระหว่างเรา แล้วเมื่อนั้นฉันก็จะกลายเป็นกล่องดำที่เขาไม่มีวันหาเจอ ฉันให้คะแนนสำหรับความพยายามสะกดไม่ให้ไหล่ของเขายกขึ้น ในยามที่เขาลอบถอนใจเบาๆ นั้น
ฉันเงยหน้า จ้องตาเขาอีกเพื่อรอฟังคำถามต่อไป ถ้าไม่เที่ยวจ้องอยู่แบบนั้นเขาอาจกลับขึ้นอาคารไปแล้วก็ได้ แต่เพราะรู้ว่าฉันยังคงรอคอยความช่วยเหลืออยู่ เขาจึงไม่ไป
แน่นอนว่า ขณะที่ฉันตีตาราง กรอกคะแนนบวกคะแนนลบให้เขาอยู่ในใจสำหรับแนวทางการตั้งคำถามเหล่านี้ เขาเองก็คงกำลังตีตาราง กรอกคะแนนระดับความสามารถด้านการสื่อสาร ระดับความสามารถในด้านการเข้าสังคม และระดับพัฒนาการของฉันอยู่ด้วยเหมือนกัน เขาคงจะกากบาทลงในช่องที่เขียนตัวเลขจำนวนน้อยๆ และโน้ตเพิ่มเติมลงไปด้วยว่า เป็นเด็กที่มอมแมมมากทีเดียว เปื้อนฝุ่นไปหมดตั้งแต่หัวจรดเท้า อาจจะพูดไม่ได้ เข้าข่ายเด็กใบ้ เน้นสื่อสารกับผู้อื่นด้วยการมองและพยักหน้า เป็นเพื่อนสนิทกับแมวสีดำ โดยรวมแล้ว ดูเป็นเด็กที่มีพัฒนาการช้า
“แล้วหนูตั้งใจเดินมาที่ต้นไม้ต้นนี้เหรอ” เขาถามอีก
ฉันพยักหน้า
“ผ่านหน้าอาคารเรียนหลังนั้นไหม”
ฉันพยักหน้าอีก
“แล้วมาหาใคร”
“พี่” ฉันตอบ จ้องตาเขาเขม็ง เหมือนเขาเป็นคนที่จะต้องรับผิดชอบต่อเรื่องราวทั้งหมดนี้ ต้องรับผิดชอบที่ฉันมาหาพี่แล้วก็ได้มาเจอเขา ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับฉันในเวลานี้เป็นความรับผิดชอบของเขา ฉันเกือบจะร้องไห้ออกมาแล้วด้วยซ้ำ ตอนที่พูดคำว่า พี่
ครูคนนั้นเดินนำหน้า ขึ้นบันไดห้าขั้น ปิ่นโตเถายาวสีเหลืองแบบสี่ชั้นตั้งเด่นอยู่บนระเบียง ฉันจำมันได้ดี สามชั้นแรกใส่ข้าวของพี่แต่ละคน ชั้นบนสุดใส่กับข้าว รอบปิ่นโตรายล้อมด้วยทัพเพอร์แวร์พลาสติกสีฉูดฉาด
ฉันคิดถึงบ้าน แต่ไม่ได้อยากกลับไป คิดถึงอย่างดูแคลนนิดๆ ในแง่ที่ว่า บ้านที่ต้องการเหนี่ยวรั้งฉันเอาไว้เป็นนักเป็นหนา และทำทุกวิถีทางเพื่อตรึงฉันไว้ แล้วดูสิ ใครกันเดินมาจนถึงโรงเรียนแห่งนี้จนได้
ครูเดินมาถึงห้องริมสุดของอาคาร ฉันยืนหลบมุมให้ผนังบังเอาไว้ ครูชะโงกเข้าไปในห้องเรียน
“แคน” เขาเรียกชื่อเล่นคำเดียวของพี่อย่างสนิทสนม “ออกมานี่หน่อย มีคนมาหา”
พี่แคนเดินออกมาด้วยท่าทีสบายๆ
ฉันยิ้มแปล้อย่างไม่อาจจะควบคุมมัดกล้ามเนื้อบนใบหน้าได้เลยแม้แต่จุดเดียว
พี่แคนตาค้างเหมือนเจอผี ทั้งตาค้างและอ้าปากค้าง ฉันเห็นเขาไม่ขยับตัวอยู่นานทีเดียว ขณะที่ฉันยังคงยิ้ม ดีใจสุดขีด ไม่กระโดด ไม่เดินเข้าไปหา ไม่พูดอะไร ฉันแค่ยิ้ม พลางคิดคำนึงถึงเรื่องราวต่างๆ มากมายสับสนภายในใจทั้งเรื่องดีและเรื่องร้าย พี่แคนต้องนึกชมว่าฉันเก่งมากแน่ๆ ที่อุตส่าห์เดินมาได้เองจนถึงโรงเรียนอย่างนี้
กลับบ้านไปฉันจะเล่าให้เขาฟังว่ามันน่ากลัวอย่างไร แต่ฉันก็ผ่านมาได้อย่างไร เจอครูอย่างไร เขาช่างซักช่างถามอย่างไร และช่วยให้เจอพี่อย่างไร พี่แคนบอกภายหลังว่า “อึ้งไง เข้าใจไหมว่าอึ้ง” ฉันเข้าใจนะ อึ้งก็คืองงอยู่
มีครูอีกหลายคนทั้งหญิงและชาย เดินมาดูฉันกับกังฟูน้อยที่ตอนนี้แหกปากร้องเสียงลั่น ครูผู้หญิงคนที่สวมกระโปรงสีฟ้าบอกว่า “แมวของเธอคงจะหิวมากแล้วล่ะ” และบอกพี่แคนว่าต่อไปให้พาน้องมาโรงเรียนได้ทุกวัน โดยให้น้องนั่งหน้าห้องเรียนของพี่คนไหนก็ได้ ฉันมีพี่ 3 คน จึงนั่งได้ตลอดอาคาร แต่ไม่อนุญาตให้พาแมวมาอีก
ครูว่า การอุ้มแมวเดินมาแบบนี้เป็นเรื่องอันตรายมาก เพราะแมวอาจตื่นตกใจแล้วกระโดดหนีหายไป หรือวิ่งไปเจอรถที่ขับมาพอดี หรือเจอหมาดุ หรืออื่นๆ ที่อาจทำให้ฉันต้องเสียใจภายหลัง ครูกำชับอย่างเข้มข้นว่า ต่อไปนี้เวลาทำอะไรต้องคิดให้รอบคอบเสียก่อน โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับความปลอดภัยของชีวิตตัวเองและชีวิตผู้อื่น ฉันเชื่อตามคำที่ครูพูดมาทั้งหมด แม้ว่าในเรื่องเดียวกันนี้ หากพี่ๆ เป็นคนพูดฉันจะไม่มีวันยอมเชื่อเลย
แล้วครูผู้หญิงก็เอาชามใส่ข้าวใส่น้ำมาให้กังฟูน้อย เที่ยวพูดเสียงสองเสียงสามระหว่างที่เฝ้ามองน้องกิน
ฉันได้ไปโรงเรียนพร้อมพี่ทุกวัน ในฐานะส่วนเกิน
แล้ววันหนึ่ง พ่อเลิกงานกลับบ้านเร็วแต่ไม่เจอฉัน พอโรงเรียนเลิก พวกเราซึ่งนึกคำโกหกไม่ทันจึงโดนฟาดกันถ้วนหน้า พ่อโยนเชือกควายลงตรงหน้าพี่ บอกว่า “ถ้าพูดภาษาคนกับมันไม่รู้เรื่อง ก็พูดด้วยเชือกควายนี่”
ด้วยคำสั่งเฉียบขาดรุนแรงนั้น ได้ทำให้พี่ๆ เป็นตัวของตัวเองกันขึ้นมาด้วยสัญชาตญาณที่ต้องสู้เพื่อน้อง จึงยังคงพาฉันไปโรงเรียนด้วยเหมือนเดิมทุกวัน
พี่แคนกลายเป็นเด็กที่เงียบลงไป ฉันรู้สึกได้ถึงน้ำหนักความต้องการของตัวเองที่กลายไปเป็นภาระของคนอื่น แต่ก็ปล่อยวางความต้องการนั้นลงไม่ได้ ฉันต่อสู้จนได้รับมันมาแล้ว มีทางออกที่ครูมอบให้มาแล้ว ฉันคืนมันให้พ่อไม่ได้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ฉันต้องการไปโรงเรียนทุกวัน
พ่อไม่ได้ฟาดเราอีก พี่บอกว่า พ่ออาจทำเป็นหลับตาเอาไว้ข้างหนึ่งก็เป็นได้
4.
ครูเกรียงไกร
ครูผู้ชายที่เจอฉันเป็นคนแรกนั้นชื่อครูเกรียงไกร เป็นครูประจำชั้น ป.5 ตั้งแต่วันแรกที่เจอกันครูก็ไปเปิดตู้เหล็กในห้องพักครู หยิบสมุดและดินสอออกมา เหลาดินสอจนแหลมแล้วยื่นให้ ซึ่งฉันก็รับมาโดยไม่ยกมือไหว้
ฉันชินกับการเล่นเงียบๆ คนเดียวอยู่แล้ว การนั่งหน้าห้องเรียนของพี่โดยไม่รบกวนใครจึงเป็นเรื่องง่าย
ตลอดระยะเวลาตั้งแต่วันแรกจนกระทั่งสิ้นเทอม ครูทุกคนที่เดินไปมาบนระเบียงจะแวะมาหาเสมอ ฉันเริ่มพูดกับครูบางคนบ้างแล้ว เพื่อพิสูจน์ว่าฉันไม่ได้สูญเสียทักษะการเชื่อมประสานโดยสิ้นเชิงต่อสังคม
ครูเกรียงไกรเดินมาหาบ่อยที่สุด คุยนั่นนี่ โดยที่ฉันแทบไม่ตอบเขาเลย บางครั้งเขาก็เพียงพึมพำคนเดียว เช่น “ขยันขีดเส้นนี่นา แบบนี้หัดเขียนหนังสือได้แล้ว” สายตาพินิจเส้นที่ฉันขีดเขียน พร้อมทั้งตรวจตราความหนาบางของหน้าสมุดที่ถูกใช้ไปแล้วกับหน้าที่ยังเหลืออยู่ มองความสั้นลงของดินสอ
ฉันไม่ได้โกรธอะไรเขา ตรงกันข้าม ฉันรู้สึกขอบคุณเขาอยู่เสมอ แต่การขอบคุณไม่จำเป็นต้องพูดด้วย
เราหยั่งวัดกันและกันอย่างเงียบๆ โดยที่ฉันระวังตัวแจ เพราะรู้ว่าเขาเป็นเพียงคนเดียวที่จะแฮ็กเข้ามาในจิตใจของฉันได้ จิตใจที่ไม่ต้องการจะให้ใครเข้ามารู้
ครูเกรียงไกรเดินเข้ามาด้วยความคาดหวังบนใบหน้า แล้วก็กลับไปด้วยไหล่ที่ตั้งตรงจากความสบายใจซึ่งได้ช่วยเหลือดูแล แต่ก็ลู่ลงเล็กน้อย เพราะยังค้นไม่พบว่าจิตวิญญาณของคนที่เขาช่วยมาได้ครึ่งหนึ่งนั้น อีกครึ่งของมันหลบหนีไปซ่อนอยู่เสียที่ไหน และจิตวิญญาณดวงนั้นสงบสบายดี หรือว่ายังคงต้องการความช่วยเหลืออยู่อีก
เช้าวันหนึ่ง หลังจากที่ครูเกรียงไกรแวะมาหาและพูดคุยกับความเงียบจากฉันอยู่เป็นเวลานาน เขาก็เดินจากไป ฉันมองตามหลังจนกระทั่งเขาเลี้ยวเข้าไปในห้อง ป.5 เพื่อไปหาบรรดานักเรียนที่คงจะพูดคุยโต้ตอบกับเขาเสมอ
ฉับพลันคิดถึงป้ารำพึง ฉันก้มลงมองสมุดกับดินสอที่ครูให้ ซึ่งตั้งสงบอยู่ข้างๆ ตัว ฉันอยากเขียนคำว่ากังฟูได้ อยากเป็นเด็กนักเรียน แต่ตอนนี้เพิ่งหัดลากเส้นกับลองเขียนอักษรง่ายๆ เพียงบางตัวเท่านั้น แล้วก็ยังต้องเขียนด้วยการดูแบบในทุกจังหวะการลากเส้น อย่างไรก็ตาม วันนี้ฉันหมดแรงเสียแล้ว อาจจะทำอะไรไม่สำเร็จทั้งนั้น
หงายฝ่ามือขึ้นมองนิ้วเล็กๆ ทั้งสิบที่ซีดเซียวและขาดความรู้ แม้แค่จะเขียนชื่อแมวที่ตัวเองรักมากก็ยังทำไม่ได้หากไม่มีใครสอน ฉันนั่งนิ่งงันราวกับเป็นชาเย็นแก้วหนึ่ง ก้อนน้ำแข็งภายในกำลังละลายลง มีหยดน้ำเกาะพราวอยู่โดยรอบ ได้แต่นึกสงสัยในตัวเอง แต่ก็ยังมีความคาดหวังในตัวเอง
ไม่แน่ว่า เมื่อน้ำแข็งในชาเย็นแก้วนี้ละลายลงจนหมด ตัวฉันอาจกลมกลืนกับสิ่งแวดล้อมโดยรอบได้มากขึ้น ทั้งในด้านบุคลิกภาพและอุณหภูมิภายในจิตใจ รอดูไปก่อน บางที ฉันอาจเปลี่ยนไป ฉันแค่ต้องการเวลา
ลองจดจ่อการรับรู้ไปยังสุ้มเสียงโดยรอบ สิ่งที่มีขอบเขตพ้นเลยไปจากตัวเอง ได้ยินเสียงเด็กๆ ในห้องเรียน ดังจอแจ หลับตาเพื่อรวมศูนย์สมาธิไปยังเสียงเหล่านั้น มันจึงดังกระหึ่มขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งท่วมท้นระเบียงอาคาร
มีคนอื่นอยู่กับเราด้วย ตลอดเวลา เราไม่ได้เป็นศูนย์กลางของจักรวาลอย่างที่เราคิด
และเราก็ไม่ได้โดดเดี่ยวเท่ากับที่เราคิด •
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022