พลิก ‘กรุงเทพฯ’ ร้อนให้เป็นเย็น (1)

ทวีศักดิ์ บุตรตัน
The skyline with twilight is photographed during sunset in Bangkok, Thailand, June 2, 2021. REUTERS/Athit Perawongmetha/File Photo Purchase Licensing Rights

ธนาคารโลก และองค์กรเพื่อการลดและฟื้นฟูภัยพิบัติ (the Global Facility for Disaster Reduction) จับมือกับกรุงเทพมหานคร ศึกษาเรื่องการพลิกกรุงเทพฯ ให้เย็นสบาย (Shaping A Cooler Bangkok) มุ่งเป้าแก้ปัญหากรุงเทพฯ ที่เผชิญกับสภาพภูมิอากาศร้อนจัดให้มีอุณหภูมิเย็นขึ้น เป็นเมืองน่าอยู่มากขึ้น ผลการศึกษาชิ้นนี้นำมาตีพิมพ์เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา

“บียอร์น ฟิลิปป์” ผู้จัดการฝ่ายปฏิบัติการว่าด้วยเมืองยึดหยุ่นและที่ดิน ประจำเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก ธนาคารโลก พูดถึงที่มาของการศึกษาว่า

“อุณหภูมิในเมืองที่พุ่งสูงขึ้น ประกอบกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ บีบบังคับให้หลายเมืองในเอเชียต้องเร่งปรับตัวเพื่อปกป้องชีวิต การดำรงอยู่ของผู้คนและการเติบโตทางเศรษฐกิจ

จากการวิจัยของธนาคารโลกเห็นว่าการปรับตัวของเมืองต้องมีข้อมูลที่แม่นยำและการบริหารจัดการอย่างโปร่งใส กรุงเทพมหานครเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของประเทศ ตั้งอยู่ในจุดภูมิศาสตร์โดดเด่นเชื่อมโยงสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงจําเป็นต้องใช้แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดและทำแผนนำร่องด้วยนวัตกรรมใหม่ๆ

ประเด็นหลักในการศึกษาชิ้นนี้เน้นความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นถ้าหากไม่ลงมือทำหรือทำแล้วแต่ยังไม่เพียงพอหมายรวมไปถึงวิกฤตด้านสาธารณสุขและความปั่นป่วนทางเศรษฐกิจ

ธนาคารโลกเสนอแนวทางในอนาคต และทิศทางความก้าวหน้าของกรุงเทพมหานครในเรื่องของการบริหารจัดการด้านความร้อนในเมือง (urban heat management) เรารวบรวมประสบการณ์ระดับภูมิภาคประสานกับข้อมูลเชิงลึกระดับเมืองเพื่อทําให้สภาพแวดล้อมในเมืองน่าอยู่มีความเย็นกว่าที่เป็นอยู่ ปกป้องชุมชนที่มีความเสี่ยง”

 

รายงานฉบับดังกล่าวมีทั้งหมด 5 บท 80 หน้า รวมถึงบทสรุปสำหรับผู้บริหาร

บทแรกเป็นการตั้งคำถามว่า “ทำไมความร้อนสุดขั้วในเมืองนั้นจึงมีความสำคัญ”

บทที่ 2 ว่าด้วยอากาศร้อนสุดขั้วในพื้นที่กรุงเทพมหานคร บทที่ 3 ความร้อนมีผลต่อสุขภาพ โครงสร้างพื้นฐานและเศรษฐกิจ บทที่ 4 แผนและมาตรการที่ใช้แก้ปัญหาความร้อนในเมืองในปัจจุบัน และบทที่ 5 ว่าด้วยยุทธศาสตร์ในการปรับตัวรับมือกับความร้อนในเมือง

ส่วนในบทสรุปสำหรับผู้บริหารนั้นได้ฉายภาพให้เห็นว่า อุณหภูมิโลกในปี 2567 พุ่งทะลุถึงระดับสูงสุดทำลายสถิติหลายครั้งเป็นการตอกย้ำให้เห็นถึงอุณหภูมิที่ร้อนสุดขั้วมีความรุนแรงเพิ่มขึ้นและเกิดผลกระทบเป็นวงกว้าง ภายในปี 2593

 

กรุงเทพมหานครซึ่งมีแนวโน้มอุณหภูมิที่พุ่งสูงอยู่แล้ว สามารถมองเห็นความเสี่ยงจากอากาศร้อนจัดสุดขั้วที่มีต่อสุขภาพ มีผลกระทบกับผลผลิต การเติบโตทางเศรษฐกิจ โครงสร้างพื้นฐานของประเทศ

เกาะความร้อนในเมือง หรือ Urban Heat Island ส่งผลให้เกิดความรุนแรงขึ้นมีนัยยะสำคัญต่อพื้นที่นั้นๆ โดยเฉพาะพื้นที่มีประชากรอยู่อย่างหนาแน่น ในพื้นที่ที่มีคนอยู่ในกลุ่มเปราะบางและพื้นที่ชานเมืองโดยรอบ

อุณหภูมิเฉลี่ยในเขตเมืองของกรุงเทพมหานคร ในช่วงตั้งแต่ปี 2503-2543 อยู่ที่ 28-30 องศาเซลเซียส เมื่อถึงปลายศตวรรษนี้

ถ้าหากชาวโลกยังคงปล่อยก๊าซพิษสู่ชั้นบรรยากาศโลกในระดับปานกลาง อุณหภูมิจะสูงขึ้น 2.5 องศาเซลเซียส และหากปล่อยก๊าซพิษในปริมาณที่สูงมาก อุณหภูมิจะพุ่งเป็น 4.5 องศาเซลเซียส

นั่นหมายถึงว่าจะเกิดคลื่นความร้อนถี่ขึ้นนานขึ้น และในช่วงกลางคืนคลื่นความร้อนไม่ได้ลดลงยิ่งจะส่งผลร้ายต่อประชาชน

พื้นที่ใจกลางเมือง ได้แก่ เขตปทุมวัน บางรัก และราชเทวี มีอากาศร้อนจัดสูงสุด ส่วนพื้นที่ทางตอนเหนือและฝั่งตะวันออกของกรุงเทพฯ มีที่โล่งกว่า ความร้อนน้อยกว่าใจกลางเมือง

อากาศร้อนจัดมีผลกับประชาชนทั้งทางตรงทางอ้อม ในทางตรงจะเกิดอาการฮีตสโตรก ทางอ้อมจะทำให้ระบบหายใจติดขัดและกระทบกับระบบหมุนเวียนเลือด การเต้นของหัวใจผิดปกติ

เฉพาะปี 2562 อุณหภูมิที่ร้อนจัดทำให้คน กทม.เสียชีวิตราว 421-1,174 คน ถ้าค่าเฉลี่ยอุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้นอีก 1 องศาเซลเซียส อัตราการเสียชีวิตเพราะอากาศร้อนจัดเพิ่มขึ้นถึง 2,333 คนต่อปี ถ้าอุณหภูมิสูงขึ้น 2 องศาเซลเซียส อัตราการเสียชีวิตเพิ่มปีละ 2,363-3,814 คน

จะเห็นได้ว่า อากาศที่เพิ่มขึ้นทุกๆ เซลเซียสมีผลต่อสุขภาพของประชาชนโดยตรง โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง ที่เป็นประชากรสูงวัยอายุเกิน 65 ปีมีประมาณ 1 ล้านคน กลุ่มเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี ราว 880,000 คน เผชิญความเสี่ยงสูจากความร้อนในเมือง

นอกจากนี้ ชุมชนที่มีรายได้น้อย อยู่ในบ้านพักเสื่อมโทรม ระบบระบายอากาศไม่มีประสิทธิภาพ และพื้นที่สีเขียวมีน้อย มีอัตราเสี่ยงสูงจะเกิดปัญหาสุขภาพในช่วงอากาศร้อนจัดสุดขั้ว

อากาศร้อนจัดยังมีผลกระทบกับภาคเศรษฐกิจ ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง ฉะนั้น อุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นทุกๆ 1 องศาเซลเซียส จะทำให้แรงงานลดประสิทธิภาพการทำงานลงเฉลี่ย 3.3-3.4% ประเมินเป็นมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจราว 44,700 ล้านบาทต่อปี หรือเทียบเท่า 0.8% จีดีพีของ กทม.ในปี 2562

คนงานที่ทำงานกลางแจ้งในเขตก่อสร้าง คนขายหาบเร่แผงลอยริมถนน คนขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้างและคนขับแท็กซี่ ได้รับผลกระทบโดยตรงจากอากาศร้อนสุดขั้ว

 

อุณหภูมิเพิ่มขึ้นเพียง 1 องศาเซลเซียส มีผลกับรายจ่ายค่ากระแสไฟฟ้า ต้องเปิดเครื่องปรับอากาศมากขึ้น ค่าเฉลี่ยสูงขึ้นราว 7% เฉลี่ยต้องใช้กระแสไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเดือนละ 35-40 กิโลวัตต์-ชั่วโมง (kilowatt-hour : kWh) หรือต้องจ่ายค่าไฟเพิ่มเดือนละ 400-450 บาท

รายจ่ายเพิ่มแต่รายได้คงที่จะเป็นปัญหาใหญ่ของคน กทม.ในกลุ่มรายได้ต่ำ

อุณหภูมิเพิ่ม 1 องศาเซลเซียส ที่ต้นทุนค่ากระแสไฟฟ้าเพิ่มราว 17,310 ล้านบาทต่อปี เมื่อปริมาณการใช้ไฟฟ้ามากขึ้น การผลิตต้องเพิ่มขึ้น ปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ก็ย่อมเพิ่มขึ้นเช่นกัน ประเมินว่าเฉพาะส่วนนี้มีการปล่อยก๊าซพิษราว 2 ล้านเมตรติกตันต่อปี หรือเทียบเท่า 0.7% ของปริมาณก๊าซพิษทั้งประเทศที่ปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศ

อากาศร้อนจัดๆ ยังส่งผลต่อการเรียนการสอนในโรงเรียนต่างๆ ประสิทธิภาพการเรียนการสอนลดลง รวมไปถึงโครงสร้างพื้นฐานเช่นถนน สายไฟฟ้า รัฐบาลต้องเพิ่มงบฯ ซ่อมแซม

 

ในซีกของกรุงเทพมหานครขณะนี้ได้ร่วมมือกับภาครัฐและเอกชน จัดตั้งศูนย์ทำความเย็น เพิ่มพื้นที่สีเขียว และนำระบบเตือนภัยความร้อนมาใช้ เช่นทำ “สบายสแควร์” ป้ายรถเมล์ติดแอร์

พลังงานแสงอาทิตย์แห่งแรกในประเทศไทยร่วมกับบริษัทคูลคูล และศูนย์การค้าซีคอน ดีเวลลอปเมนท์

สบายสแควร์เป็นต้นแบบในการอนุรักษ์พลังงานและช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม เพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้ใช้บริการรถโดยสารสาธารณะ ป้องกันความร้อนและฝุ่นควันพิษ

กทม.มีนโยบายเพิ่มพื้นที่สีเขียว ปลูกต้นไม้ 1 ล้านต้น ร่วมกับเอกชนทำป่าในเมืองหลวง (metro forest) ช่วยสร้างสภาพแวดล้อม เป็นปอดให้กับคนเมือง

ป่าในเมืองที่ กทม.ร่วมกับบริษัท ปตท.ตั้งอยู่ในเขตประเวศ เนื้อที่กว่า 12 ไร่ ปลูกต้นไม้หลากหลายชนิด

ธนาคารโลกให้ความเห็นว่า การที่ภาคเอกชนจับมือกับกทม.เป็นตัวอย่างที่ดียิ่ง ไม่เพียงช่วยทำให้ปรับลดอุณหภูมิในเมืองให้เย็นลง แต่ประชาชนจะได้รับประโยชน์และยังช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานอีกด้วย

สัปดาห์หน้าขอนำรายงานผลการศึกษาของธนาคารโลกเรื่องการพลิกกรุงเทพฯ ให้เย็นสบายมาจำแนกในรายละเอียดในแต่ละบท •

 

สิ่งแวดล้อม | ทวีศักดิ์ บุตรตัน

[email protected]