ทรัมป์ ‘บ้า’ พอที่จะ ‘ดิ้น’ เข้าสู่สมัยที่ 3?

สุทธิชัย หยุ่น

กาแฟดำ | สุทธิชัย หยุ่น

 

ทรัมป์ ‘บ้า’ พอที่จะ ‘ดิ้น’

เข้าสู่สมัยที่ 3?

 

โดนัลด์ ทรัมป์ บอกว่า “ไม่ได้พูดเล่น” ที่จะนั่งทำเนียบขาวสมัยที่ 3

ผู้คนแย้งทันทีว่าทำได้ไง รัฐธรรมนูญสหรัฐห้ามไว้

ทรัมป์บอก “มันมีวิธีทำก็แล้วกัน!”

หะแรก ผมก็เหมือนคนส่วนใหญ่ในโลกใบนี้ว่าทรัมป์คงจะแค่สร้างความฮือฮาให้ผู้คนตื่นเต้นเท่านั้น

เพราะใครที่อ่านรัฐธรรมนูญสหรัฐก็ต้องบอกว่ามันทำไม่ได้

ประธานาธิบดีอเมริกันคนเดียวที่อยู่ยาวนานที่สุดคือ แฟรงคลิน ดี. โรสเวลต์ (FDR)

แกอยู่ในตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา 12 ปี 39 วัน

คือตั้งแต่ 4 มีนาคม 1933 จนกระทั่งเสียชีวิตในหน้าที่เมื่อ 12 เมษายน 1945

เหตุเพราะได้รับเลือกให้นั่งทำเนียบขาว 4 สมัยติดต่อกัน

เป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาที่ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์

เป็นผู้นำอเมริกาในช่วงภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่และช่วงสงครามโลกครั้งที่สองส่วนใหญ่

แต่มีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญครั้งที่ 22 ที่เรียกว่า 22nd Amendment ซึ่งให้สัตยาบันในปี 1951 จำกัดให้ประธานาธิบดีดำรงตำแหน่งได้เพียง 2 สมัย

พอทรัมป์ชนะเลือกตั้งรอบใหม่ ทีมงานก็เริ่มออกข่าวว่าแค่สองสมัยสำหรับทรัมป์ไม่พอเสียแล้ว!

เพราะทรัมป์มีภารกิจ “กู้ชาติ” และการทำให้อเมริกา “ยิ่งใหญ่อีกครั้ง” นั้นต้องใช้เวลามากกว่าแค่ 4 ปีในเทอมนี้

ไม่นานหลังจากนั้นหัวหน้าฝ่ายยุทธศาสตร์ของทำเนียบขาว ก็กระซิบนักข่าวว่ากำลังสั่งให้ทีมงาน “ทำงานหนัก” เพื่อหาทางให้ทรัมป์ สามารถ “แหกขนบ”

ด้วยการลงเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสมัยที่สามได้

นักข่าวถามตรงๆ ว่า “นี่มันคือการก่อรัฐประหารใช่ไหม?”

หรืออเมริกากำลังจะกลายเป็นประเทศโลกที่สาม?

สตีฟ แบนนอน หัวหน้าฝ่ายยุทธศาสตร์ของทรัมป์บอกหน้าตาเฉยว่า

“เรากำลังหาทางกันอยู่ ผมคิดว่าน่าจะมีทางออก 2-3 ทาง”

นักข่าวแย้งว่ารัฐธรรมนูญมะกันมีสิ่งที่เรียกว่า “term limit” ซึ่งแปลว่ามีการจำกัดวาระของการดำรงตำแหน่งของประธานาธิบดี

แบนนอนย้อนว่า “มันขึ้นอยู่กับว่าคุณจะนิยามคำนี้ว่าอย่างไร”

“ผมมีความเชื่อมั่นว่าประธานาธิบดีทรัมป์ จะลงเลือกตั้งอีกครั้งในปี 2028” แบนนอนย้ำ

เหมือนกับจะป่าวประกาศว่า

ให้มันรู้ไปว่าคนอย่างทรัมป์อยากได้อะไรแล้วไม่ได้!

 

มีคนแย้งอีกว่าการพยายามจะต่ออายุของทรัมป์แบบจงใจจะฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญคือการก่อรัฐประหารเหมือนประเทศด้อยพัฒนา

สตีฟ แบนนอน ไม่สนข้อกังขานั้น

เขาบอกว่ายังมีความเชื่อมั่นศรัทธาอย่างเต็มเปี่ยมในระบบการปกครองประชาธิปไตย

แต่เพราะว่าคะแนนนิยมที่ทรัมป์ได้รับจากการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา ถือว่า “ซ้ำรอย” การเลือกตั้งปี 1932 ที่ประธานาธิบดี FDR ชนะการเลือกตั้งแบบถล่มทลาย

จนนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งประวัติศาสตร์

แบนนอนอ้างว่า “เวลานี้ เรากำลังอยู่ระหว่างความเปลี่ยนแปลงแบบที่เคยเกิดขึ้นเมื่อปี 1932 หากเรารักษาความนิยมชมชอบของประชาชนต่อนโยบายชาตินิยมเอาไว้ได้”

โดยอ้างว่าตอนนี้ทั้งคนผิวดำและฮิสแปนิก ต่างข้ามฝั่งมาอยู่กับรีพับลิกันมากขึ้นเพราะ “ความเป็นอัจฉริยะ” ของทรัมป์มากขึ้นทุกที

 

คําถามจริงๆ ก็คือว่าจะมี “ปาฏิหาริย์” ทางการเมืองอะไรที่จะทำให้ทรัมป์เป็นประธานาธิบดีสมัยที่ 3 ได้บ้าง?

คำตอบคือมีทั้งประเด็นกฎหมายและสถานการณ์บ้านเมืองที่สอดคล้องกับ “ความไม่ปกติ” จนต้องทำอะไรที่ผิดเพี้ยนไปจากที่ผู้คนเข้าใจกันวันนี้

แน่นอนว่าอุปสรรคใหญ่ที่สุดสำหรับทรัมป์คือ 22nd Amendment

รัฐธรรมนูญสหรัฐ ปัจจุบันห้ามประธานาธิบดีดำรงตำแหน่งเกินสองสมัย เนื่องจากการแก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ 22 ซึ่งระบุว่า :

“ไม่มีบุคคลใดจะได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีมากกว่าสองครั้ง และไม่มีบุคคลใดที่ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีหรือทำหน้าที่เป็นประธานาธิบดีเป็นเวลามากกว่าสองปีของวาระที่บุคคลอื่นได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี จะได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีมากกว่าหนึ่งครั้ง”

No person shall be elected to the office of the President more than twice, and no person who has held the office of President, or acted as President, for more than two years of a term to which some other person was elected President shall be elected to the office of the President more than once. But this Article shall not apply to any person holding the office of President when this Article was proposed by the Congress, and shall not prevent any person who may be holding the office of President, or acting as President, during the term within which this Article becomes operative from holding the office of President or acting as President during the remainder of such term.

ถามว่ามีกรณีใดบ้างที่ทรัมป์จะสร้างปรากฏการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะทำได้?

สรุปได้ว่ามี 5 ทาง…ต้องเน้นว่าเป็น 5 ทางในความหมายด้านทฤษฎีเท่านั้น

เอาเข้าจริงๆ ผู้เชี่ยวชาญในอเมริกาส่วนใหญ่บอกว่ามันเกิดขึ้นได้ยากมากๆ

 

1. การยกเลิกหรือแก้ไข 22nd Amendment ซึ่งเป็นเส้นทางวิบากที่เกือบจะเป็นไปไม่ได้เลย เพราะการจะบรรลุเป้าหมายนี้ต้องได้รับคะแนนเสียงอย่างน้อยสองในสามจากทั้งสองสภาของรัฐสภา และให้สัตยาบันโดยอย่างน้อยสามในสี่ของสภานิติบัญญัติของรัฐ

จัดให้มีการประชุมแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยสองในสามของจำนวนรัฐและให้สัตยาบันโดยสามในสี่ของบรรดารัฐทั้งหลาย

ด้วยสภาพการเมืองวันนี้ โอกาสที่ข้อเสนอนี้จะได้รับเสียงสนับสนุนให้ผ่านได้นั้นแทบเป็นไปไม่ได้

เพราะหากจะเกิดกรณีนี้ได้แปลว่านักการเมืองทั้งสองพรรคในสองสภาและในรัฐต่างๆ จะต้องยินยอมพร้อมใจกันแก้กติกาอันศักดิ์สิทธิ์เพื่อทรัมป์คนเดียว

 

แต่ทรัมป์อาจเลือกทางที่ 2 นั่นคือหาทางไปเป็นรองประธานาธิบดีก่อน

ทำไมต้อง “เดิมอ้อม” อย่างนั้น?

เพราะรัฐธรรมนูญสหรัฐไม่ได้ห้ามประธานาธิบดีที่ดำรงตำแหน่งสองสมัยเป็นรองประธานาธิบดี

หากอดีตประธานาธิบดีได้รับเลือกเป็นรองประธานาธิบดี และประธานาธิบดีที่ดำรงตำแหน่งลาออก ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ หรือถูกถอดถอน รองประธานาธิบดี (ซึ่งเคยเป็นประธานาธิบดีมาก่อน) จะขึ้นดำรงตำแหน่งแทนตามกฎหมายแก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ 25 (25th Amendment)

แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีนักกฎหมายรัฐธรรมนูญแย้ง

เพราะกฎหมายอีกฉบับคือ 12th Amendment ระบุว่าบุคคลที่ไม่มีคุณสมบัติเป็นประธานาธิบดีตามรัฐธรรมนูญจะไม่สามารถดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดีได้

ซึ่งบางฝ่ายตีความว่าเป็นการห้ามอดีตประธานาธิบดีที่ดำรงตำแหน่งครบสองสมัยจากการเป็นรองประธานาธิบดี

แต่ทรัมป์อาจจะดิ้นรนไปอีกทาง นั่นคือ

 

3. ดำรงตำแหน่งในฐานะที่ปรึกษาหรือบทบาทที่ไม่เป็นทางการ

อดีตประธานาธิบดีอาจมีบทบาทในการบริหารรัฐบาลโดยไม่จำเป็นต้องดำรงตำแหน่งอย่างเป็นทางการ

เช่น การทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาหรือผู้มีอิทธิพลเหนือประธานาธิบดีที่สังกัดพรรคเดียวกัน แม้จะไม่ใช่การดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการ แต่ก็อาจเป็นการสืบทอดอำนาจทางนโยบายและยุทธศาสตร์การบริหารได้

หรือไม่ก็ใช้กลยุทธ์ “หักดิบ”

 

นั่นคือหนทางที่ 4 คือเพิกเฉยหรือไม่ท้าทาย 22nd Amendment เพื่อดูซิว่าใครจะทำอะไรเขาได้

เป็นแนวทางที่มีความเสี่ยงสูงแน่นอน

ทรัมป์อาจพยายามลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมัยที่สาม โดยอ้างว่าการกฎหมายแก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ 22 นี้ “ขัดต่อรัฐธรรมนูญ” หรือไม่ก็ควรจะต้อง “ตีความใหม่”

ซึ่งจะนำไปสู่ข้อพิพาททางกฎหมายที่อาจต้องให้ศาลสูงสุด

 

แนวทางที่ 5 คือยุทธศาสร์ “หัวชนฝา”…แบบประกาศโลกที่สาม

นั่นคือการประกาศภาวะฉุกเฉินแห่งชาติ

เพื่อทรัมป์จะได้ใช้ “อำนาจพิเศษ” ในตำแหน่งประธานาธิบดี

แต่นั่นก็คือการก่อ “รัฐประหาร” ที่คงไม่พ้นถูกตราหน้าว่า “สิ้นคิด”

แต่ก็มีคนเตือนว่าอย่าได้ประเมิน “ความบ้า” ของทรัมป์ต่ำเกินไป

อะไรๆ ที่เคยคิดว่าเป็นไปไม่ได้ก็เห็นกำลังเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตามิใช่หรือ?