เปิดแผนปฏิบัติการ ยุทธศาสตร์ประเทศไทย รับมือภาษีทรัมป์-เปลี่ยนโลก

บทความพิเศษ | ศัลยา ประชาชาติ

 

เปิดแผนปฏิบัติการ

ยุทธศาสตร์ประเทศไทย

รับมือภาษีทรัมป์-เปลี่ยนโลก

 

หลังจากเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2568 ประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” ลงนามในคำสั่งบริหารเพื่อเก็บภาษีศุลกากรแบบต่างตอบแทน (Reciprocal Tariff) กับสินค้านำเข้าจากประเทศคู่ค้าทั่วโลก เพื่อลดการขาดดุลการค้าของสหรัฐ ซึ่งประเทศไทยโดนภาษีตอบโต้ 36%

เรียกว่าทั้งโลกตกอยู่ในภาวะปั่นป่วนกลายเป็น “สึนามิเศรษฐกิจโลก” ขณะที่ตลาดหุ้นทั่วโลกก็ดำดิ่ง นักเศรษฐศาสตร์ทั้งหลายต่างประเมินว่าการค้าโลกจะหดตัว เศรษฐกิจโลกจะเข้าสู่ภาวะถดถอย

โลกป่วน-เกมเปลี่ยนแบบที่ยังไม่มีใครรู้ว่าจะเปลี่ยนไปแบบไหน

โดยเฉพาะล่าสุด ทรัมป์ประกาศจะขึ้นภาษีจีนอีก 50% (สินค้าจีนที่เข้าสหรัฐต้องเสียภาษี 104%) หลังจากที่จีนตอบโต้ขึ้นภาษีสหรัฐอีก 34% และดูว่าเกมนี้จะดุเดือดเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

ไม่มีใครรู้ว่าสงครามการค้าโลกครั้งนี้จะจบแบบไหน แต่บางคนตั้งคำถามว่าจะทำให้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามโลกครั้งที่ 3 หรือไม่

 

สําหรับประเทศไทย ที่ดูเหมือนรัฐบาลมีความเคลื่อนไหวรับมือมาตรการภาษีทรัมป์น้อยมาก ทำให้นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ถูกตั้งคำถามถึงภาวะผู้นำ โดยเฉพาะเมื่อนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ “ลอว์เรนซ์ หว่อง” ออกทีวีสื่อสารเตือนประชาชนรับมือสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจะสั่นสะเทือนเศรษฐกิจทั่วโลก และแนวโน้มของสงครามการค้าเต็มรูปแบบมีสูงมาก แม้ว่าสิงคโปร์จะโดนภาษีตอบโต้เพียง 10%

และนายกฯ สิงคโปร์ยังเตือนว่า ครั้งสุดท้ายที่โลกเจออะไรแบบนี้นั่นคือช่วงปี 1930 ที่สงครามการค้านำไปสู่สงครามย่อย และในที่สุดก็กลายเป็นสงครามโลกครั้งที่ 2

อย่างไรก็ดี ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ ประธานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) และที่ปรึกษาด้านนโยบายของนายกรัฐมนตรี ซึ่งได้รับแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษา คณะทำงานนโยบายการค้าสหรัฐอเมริกา เมื่อมกราคม 2568 ที่ผ่านมา ให้สัมภาษณ์ว่า การประกาศเก็บภาษีศุลกากรกับทุกประเทศทั่วโลกกว่า 180 ประเทศของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อ 2 เมษายนที่ผ่านมา เป้าหมายของทรัมป์คือต้องการเปลี่ยนอเมริกาและเปลี่ยนโลก

พร้อมอธิบายว่า ก่อนวันที่ 2 เมษายน ไม่มีใครรู้ว่าทรัมป์จะมารูปแบบไหน ดังนั้น คณะทำงานนโยบายการค้าสหรัฐอเมริกาที่มีปลัดกระทรวงพาณิชย์เป็นประธาน และอาจารย์พันศักดิ์ วิญญรัตน์ ประธานที่ปรึกษานโยบายของนายกฯ เห็นว่าจะต้องเก็บกระสุนไว้ เพราะถ้าไปรีบเจรจาก็จะเป็นการให้ของฟรีไปหมด

นอกจากนี้ ดร.ศุภวุฒิอธิบายว่า “ทรัมป์ทำตัวเป็นจักรพรรดิ ต้องการให้คนอื่นวิ่งเข้าหา แต่วิ่งเข้าไปแล้วได้อะไรรึเปล่า ต้องคิดให้ดีๆ เกมเปลี่ยนโลก เปลี่ยนอเมริกาของทรัมป์เราคิดไม่เหมือนคนอื่น และผมว่าเราคิดถูก”

“สิ่งที่เราทำคือไปดูว่า โลกหลังที่ทรัมป์ต้องการเปลี่ยนสถานะของโลกและอเมริกาแล้ว ประเทศไทยจะอยู่กับเขาอย่างไร โดยคณะทำงานก็หาแนวทางออกมา แต่จะสำเร็จหรือไม่ ตอบไม่ได้”

 

ดร.ศุภวุฒิกล่าวว่า สิ่งสำคัญคือเราต้องเข้าใจแนวคิดทรัมป์ต้องการเก็บภาษีเพราะ 1.ประเทศต่างๆ เกินดุลการค้าสหรัฐ ทำให้สหรัฐถูกเอาเปรียบ 2.ทรัมป์ต้องการเอาเงินที่ได้จากการขึ้นภาษีไปโปะงบประมาณเพื่อต่ออายุลดภาษีให้คนรวยในสหรัฐ และ 3.ทรัมป์ต้องการกลับไปตั้งโรงงานและผลิตสินค้าที่อเมริกา ทรัมป์มีแนวคิดที่ว่าผลิตเอง-ใช้เอง-รวยเอง

“เราต้องเจรจาภายใต้กรอบ 3 แนวทางนี้ โดยคณะทำงานก็สรุปเป็นยุทธศาสตร์ว่าประเทศไทยมีศักยภาพในการแปรรูปอาหารแล้วขายทั่วโลก ขณะที่อเมริกาเป็นฐานการผลิตสินค้าเกษตรที่ดีมาก เช่น ถั่วเหลือง ข้าวโพด ข้าวสาลี เป็นต้น ในขณะที่ผู้ประกอบการแปรรูปของไทยก็ต้องการวัตถุดิบเหล่านี้ เพราะผลผลิตในประเทศไม่เพียงพอ”

เช่น กรณีข้าวโพด จากข้อมูลของทีมกระทรวงพาณิชย์ พบว่าในประเทศไทยมีผลผลิต 5 ล้านตัน ขณะที่มีความต้องการใช้งานถึง 10 ล้านตัน แต่ก็ติดปัญหาเรื่องหลักเกณฑ์การนำเข้าหรือการกำหนดโควต้าต่างๆ ของกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงเกษตรฯ

ซึ่งเหล่านี้ก็เป็นปัญหาที่รัฐบาลต้องไปจัดการแก้ไข เพราะถือว่าเป็นการฉุดรั้งศักยภาพการแปรรูปอาหารของไทย

 

นอกจากนี้ คณะทำงานก็มีการทำงานร่วมกับกระทรวงการคลัง ทำแพ็กเกจภาษีศุลกากรใหม่ สำหรับสินค้าบางรายการที่ทางสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐอเมริกา (USTR) ระบุว่า ภาษีศุลากรระหว่างไทยกับสหรัฐมีความเหลื่อมล้ำ คือไทยเก็บภาษีศุลกากรจากสินค้าสหรัฐสูงเกินกว่าที่สหรัฐจัดเก็บจากสินค้าไทยมาก ก็จะปรับให้ใกล้เคียงกัน

รวมถึงการแสดงเจตจำนงการซื้อและนำเข้าก๊าซธรรมชาติจากสหรัฐเพิ่มขึ้น จากที่สหรัฐมีแผนลงทุนสร้างท่อก๊าซอลาสกา เพื่อส่งก๊าซไปขายให้เกาหลีใต้และญี่ปุ่น และปัจจุบันก็ยังพร้อมนำเข้าก๊าซ LNG จากอเมริกาเพิ่ม ก็เป็นกรอบแนวทางการเจรจาที่คณะทำงานได้เสนอนายกรัฐมนตรี

“เราไม่ได้วิ่งไปหา และไม่ได้ตอบโต้ แต่กำลังหาทางออกว่าไทยจะอยู่กับอเมริกาในยุคของนายทรัมป์ได้อย่างไร ซึ่งมี 2 ประเด็นที่ต้องเข้าใจคือ มันมีทางออก กับต้องหาทางออก”

 

ดร.ศุภวุฒิกล่าวเพิ่มเติมว่า อีกประเด็นปัญหาสำคัญที่ประเทศไทยต้องมีการจัดการ คือที่ผ่านมาประเทศไทยดีใจที่มีตัวเลขของส่งเสริมการลงทุนเยอะๆ แต่กลับกลายเป็นการส่งเสริมให้บริษัทจีนเข้ามา re-export ซึ่งประเทศไทยไม่ได้ประโยชน์ โดยปล่อยให้บริษัทจีนเข้ามาตั้งฐานและ re-export สินค้าจีนไปสหรัฐ ซึ่งเป็นประเด็นที่ทำให้ไทยเกินดุลสหรัฐมากขึ้น

“เรื่องนี้อาจารย์พันศักดิ์ก็เคาะให้บีโอไอต้องทบทวนแก้ไข ปรับนโยบายกฎเกณฑ์ส่งเสริมการลงทุนใหม่ ซึ่งคณะทำงานชุดนี้ก็มีเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ร่วมอยู่แล้ว”

“ต่อไปการที่จะส่งเสริมอุตสาหกรรมการผลิตอะไร ต้องตอบคำถามให้ได้ว่า สินค้าที่ผลิตจะสามารถแข่งกับสินค้าจีนได้หรือไม่ และส่งไปขายที่ตลาดสหรัฐได้ไหม” ดร.ศุภวุฒิกล่าว

โดยในอนาคต การดึงลงทุนโดยตรงต่างประเทศ (FDI) ต้องเป็นการเสริมศักยภาพตามยุทธศาสตร์ของประเทศในการเป็น เช่น การส่งเสริมให้ประเทศไทยมีการเลี้ยงหมูคุโรบูตะคุณภาพสูงเพิ่มขึ้น

“ต่อไปเราอาจอยากได้เทคโนโลยีและโนว์ฮาว มากกว่าเงินทุน” ดร.ศุภวุฒิกล่าว

นั่นคือแผนยุทธศาสตร์เบื้องต้นสำหรับเตรียมรับมือแรงกระแทกจากมาตรการขึ้นภาษีของสหรัฐอเมริกา เท่าที่ไทยจะทำได้ในเวลานี้