เพลง ‘ชีวิต’

หนุ่มเมืองจันท์facebook.com/boycitychanFC
ภาพจากเฟซบุ๊ก: Wednesday Song

“หนึ่ง-จักรวาล” เป็นอัจฉริยะด้านดนตรีที่หาคนเทียบเคียงได้ยากในเมืองไทย

เขาเคยอยู่สลัมคลองเตยมาก่อน

เรียนรู้เรื่องดนตรีด้วยตัวเองมาตั้งแต่เด็ก

มีคีย์บอร์ดแบบเด็กๆ 1 ตัวที่พ่อได้มาจากโกดังในคลองเตย

คุณพ่อสอนดนตรีแบบง่ายๆ ก็คือ บอก “หนึ่ง” ว่าถ้าได้ยินเสียงเพลงที่ร้องแบบไหนก็ให้กดคีย์ตามเสียงนั้น

ให้ใช้ “หู” ในการเล่นดนตรี

“หนึ่ง” ไม่รู้จักตัวโน้ต ไม่รู้จักคอร์ด

ทุกอย่างเขาเรียนรู้ด้วยตัวเองมาตั้งแต่เด็ก

อายุ 6 ขวบมีวงดนตรีเด็กของตัวเอง

เขาบอกว่าตอนนั้นเล่นผิดเล่นถูก ผู้ใหญ่ก็ให้อภัย

ผมชอบวิธีการสอนดนตรีของคุณพ่อหนึ่ง เขาจะสอนให้ “หนึ่ง” ใช้จินตนาการ

ประโยคหนึ่งที่เขาจำได้ดี คือ “จินตนาการ” สำคัญกว่า “วิชาการ”

คุณพ่อไม่มีเงินจ้างครูมาสอนดนตรีให้

แต่ “จินตนาการ” ไม่ต้องใช้เงิน

เวลาไปที่ไหน คุณพ่อก็จะสอนให้สังเกตสิ่งรอบข้าง ไปเที่ยวน้ำตกก็ให้ฟังเสียงน้ำตก ไปทะเลก็ให้ฟังเสียงคลื่น

และให้คิดต่อเป็นเสียงดนตรี

บางครั้งไม่มีเสียงธรรมชาติ มีแต่เสียงคนเปิดวิทยุฟังเพลง

คุณพ่อก็ให้สังเกตว่าคนแต่ละกลุ่มเขาฟังเพลงอะไร

เหมือนจะสอนว่าการเล่นดนตรี ไม่ใช่เพียงแค่เล่นเพลงที่นักร้องจะร้องเท่านั้น

“คนดู” หรือ “สิ่งแวดล้อม” ต่างๆ ก็เป็นสิ่งสำคัญ

ต้องดูด้วยว่าเขาแต่งตัวอย่างไร ท่าทางเป็นอย่างไร

และทายว่าเขาชอบฟังเพลงแนวไหน

“หนึ่ง” บอกว่าเขาเรียนรู้มาตั้งแต่เด็ก เพราะจะมีผู้ใหญ่แต่ละคนมาขอร้องเพลง

เขาจะเริ่มทายตั้งแต่ท่าทางการเดิน การจับไมโครโฟน ความมั่นใจ

และคิดก่อนเล่นว่าคนนี้จะร้องเพลงเป็นหรือไม่เป็น

เพราะหรือไม่เพราะ

ประสบการณ์ช่วงนั้นเขาเอามาใช้ในรายการ I can see your voice

ใครเป็นนักร้องเสียงเพราะ

หรือนักร้องเสียงเพี้ยน

 

ตอนที่ผมเชิญ “หนึ่ง-จักรวาล” เป็นแขกรับเชิญในช่วง “เพลย์ลิสต์”

เลือกเพลงอะไรก็ได้ที่มีความหมายในชีวิตของเขา

“หนึ่ง” จะเล่าเรื่องราวก่อนเข้าเพลง

เพลงแรกที่เขาเลือกคือ “นักร้องบ้านนอก” ของ “พุ่มพวง ดวงจันทร์”

เพราะเป็นความประทับใจของเด็กคนหนึ่งที่มีโอกาสเล่นดนตรีให้ “พุ่มพวง” ในงานหนึ่ง

“หนึ่ง” เล่นให้ “พุ่มพวง” ตั้งแต่อายุ 10 ขวบครับ

เพลงที่สองที่เลือก คือ Imagine

“หนึ่ง” เป็นคนที่เติบโตมาจากการด่า

เขาจะไม่อยู่ในคอมฟอร์ตโซน

ทุกครั้งที่เริ่มรู้สึกว่าเล่นเพลงแนวไหนได้ เขาจะเปลี่ยนไปอีกแนว

ไปให้นักร้องด่า

เพราะเขาเล่นเพลงนั้นไม่ได้ นักร้องจะด่า

ถูกด่าเพลงไหน เขาก็จะมานั่งแกะเพลงนั้น

ใช้วิธีโทรศัพท์ไปขอเพลงตามวิทยุ แล้วเอาโน้ตเพลงนั้นมาดูว่าตัวโน้ตที่เขาไม่รู้จักตัวไหนตรงกับเสียงไหน

เพื่อที่จะเรียนรู้เรื่องตัวโน้ต

อย่างตอนที่ไปเล่นเพลงสากล เขาไม่รู้จักเพลง Imagine ของ “จอห์น เลนนอน”

ไม่รู้จักแม้กระทั่งคำแปลภาษาไทย

พอรู้ว่า Imagine แปลว่า “จินตนาการ”

เขาก็นึกถึงคำของคุณพ่อ

“จินตนาการ” สำคัญกว่า “วิชาการ”

ตอนที่คุยถึงเพลงนี้บนเวที “หนึ่ง” ก็เล่าถึงการเล่นเพลงตามกลุ่มคนที่เข้ามาฟัง

สมมุติว่าอยู่ชายทะเล

เพลง Imagine ก็จะเป็นแนวบอสซ่า

แล้วเขาก็เล่นโชว์ให้ดูแบบสดๆ ไม่ได้เตี๊ยมกับวงและนักร้องล่วงหน้า

ถ้าไปเล่นที่ข้าวสาร ก็จะเล่นแนวเร็กเก้

เพลงเดียวกัน แต่ท่วงทำนองแตกต่างกัน

…สนุกมาก

 

ก่อนวันงาน ผมกับ “เอก-สยามพิฆ” คุยกับ “หนึ่ง”เรื่อง “ตอนจบ” ของช่วงเพลย์ลิสต์

ตอนแรก ผมเสนอให้ “หนึ่ง” โชว์การทำเพลงทั้ง 5 เพลงที่เลือกมาให้เป็นเพลงใหม่

“หนึ่ง” บอกว่าทำได้ แต่ถ้าทำเขาอยากจะทำให้ดีเลย

ซึ่งต้องซ้อมร่วมกับวง

ดูเงื่อนไขเวลาแล้วเป็นงานใหญ่เกินไป เราก็เลยเลิกล้มความคิดนี้

“หนึ่ง” จึงเสนอแนวทางใหม่ว่าให้ชวนคนดูมา 1 คน ขึ้นมากดคีย์บอร์ดด้วยกัน

เขาจะดูคนดูทั้งหมดในโรงละคร

ดูคนที่ขึ้นมา

ดูวิธีการกดคีย์บอร์ด

แล้ว “หนึ่ง” จะแต่งเพลงใหม่ขึ้นมาตอนนั้นเลย

บอกตามตรงว่าตอนนั้นผมยังจินตนาการไม่ออกว่าสุดท้ายแล้วมันจะออกมา เป็นเพลงได้อย่างไร

แต่ผมเชื่อในความมหัศจรรย์ของ “หนึ่ง”

พอมาถึงช่วงสุดท้าย เราก็เริ่มตามแผนที่วางไว้

ประกาศเชิญชวนคนดูให้มาร่วมสนุกกันบนเวที

มีเสียงหนึ่งตะโกนมาจากกลางโรงละคร

เธอชูมือและโบกมือจนเห็นได้ชัดเจน

“แต๋ม” ศุภจี สุธรรมพันธุ์ “ซีอีโอดุสิตธานี” เพื่อนผมเองครับ

ขอยืนยันว่าไม่ได้เตี๊ยมกับเพื่อน

ผมเพิ่งรู้ตอนที่เจอกันหน้างานว่าเธอเป็นแฟนคลับของ “หนึ่ง-จักรวาล”

“แต๋ม” ขอให้ผมพาไปถ่ายรูปกับ “หนึ่ง” ที่หลังเวที

ไม่แปลกที่เธอจะลุกขึ้นโบกมือ แบบจะเอาให้ได้ 555

เธอคงอยากขึ้นมาแจมกับศิลปินในดวงใจ

ผมตัดสินใจเชิญ “แต๋ม” ขึ้นมา

“หนึ่ง” ดูบุคลิก การแต่งตัวของ “แต๋ม”

แล้วให้กดคีย์บอร์ดแค่โน้ตตัวเดียว

เชื่อไหมครับว่าเขาสังเกตน้ำหนักของการกด

ให้จังหวะการกดไปเรื่อยๆ

แล้ว “หนึ่ง-จักรวาล” ก็โชว์ความมหัศจรรย์ขึ้นมา

ผมยืนดู “แต๋ม” กดโน้ตตัวเดียวซ้ำๆ เป็นจังหวะ

ส่วน “หนึ่ง” ก็บรรเลงด้วยท่วงทำนองพลิ้วไหวไปเรื่อยๆ

ระหว่างที่ฟัง ผมก็นึกเล่นๆ ว่าถ้าบทเพลงนี้คือการเล่าเรื่องชีวิตของคนคนหนึ่ง

ความไพเราะของบทเพลง

จะไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวเราเพียงคนเดียว

แต่ยังขึ้นอยู่กับคนรอบข้าง สิ่งแวดล้อมรอบตัวด้วย

เราจึงไม่ใช่แค่ตัวเรา

แต่เราคือส่วนหนึ่งของโลกใบนี้

ขอเพียงแค่เรารักษาจังหวะชีวิตของตัวเองให้ดี

เปิดใจต้อนรับให้โน้ตตัวอื่นๆ เข้ามาประสานต่อได้อย่างกลมกลืน

ความไพเราะของชีวิตก็บังเกิด

เหมือนกับเพลงเพลงนี้ •

 

ฟาสต์ฟู้ดธุรกิจ | หนุ่มเมืองจันท์