‘อสูร’ เทพบรรพกาล ที่ถูกทำให้กลายเป็นศัตรูของหมู่เทวดา (จบ)

ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ

ดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่า ปราชญ์ทางด้านสันสกฤตศึกษาอย่าง เซอร์โมเนียร์-วิลเลียมส์ (Monier Monier-Williams, พ.ศ.2362-2442) สันนิษฐานว่า คำว่า “อสูร” นี้ แต่ดั้งเดิมที่สุดคำนี้ควรมีรากมาจาก “อสุ” หมายถึง “สิ่งมีชีวิตในโลกของจิตวิญญาณ” (life of the spiritual world) หรือ “จิตวิญญาณที่จากไป” (departed spirits) ซึ่งก็ดูจะเป็นที่ยอมรับกันดีในหมู่ปราชญ์ทางด้านภาษาโบราณท่านต่างๆ

ดังนี้คำว่า “อสูร” จึงไม่ควรจะมีที่มาเรื่องของการดื่ม หรือไม่ดื่มสุรา อันมีลักษณะเป็นตำนานอธิบายเหตุที่เกิดขึ้นในชั้นหลัง เพื่ออธิบายความหมายหรือที่มาของคำศัพท์ ที่มีปรากฏอยู่ในปรัมปราคติของทั้งพุทธศาสนา และศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ซึ่งดูจะไม่เข้าใจถึงรากศัพท์ของคำว่า อสูร นี้แล้ว

พจนานุกรมรากคำฉบับโลกดิจิทัลอย่าง en.wiktionary.org ยังได้อธิบายเพิ่มเติมด้วยว่า คำว่า “อสุ” ในบริบทของฤคเวทสังหิตานี้ สามารถแปลความว่า “เจ้าบ้าน” (master of the house) ได้ด้วยอย่างน่าสนใจ เพราะใกล้เคียงหับความหมายของคำว่า “อหุ” ในคัมภีร์อเวสตะ อันเก่าแก่ของศาสนาโซโรอัสเตอร์ ในเปอร์เซีย (คือ อิหร่านโบราณ) ซึ่งก็มีความหมายใกล้เคียงกันเพราะคำนี้แปลความหมายได้ว่า “เจ้า”, “ชีวิต” หรือ “การคำรงอยู่” (lord, life, existence)

เสียง “ส” ในภาษาสันสกฤต กับเสียง “ห” หรือ “ฮ” ในสำเนียงของพวกเปอร์เซียอย่างชัดเจน ดังจะเห็นได้จากเสียงคำศัพท์หลายคำของชนในอินเดียและอิหร่านแต่ครั้งโบราณ

ดังมีตัวอย่างที่สำคัญคือ คำว่า “อินเดีย” เองนี่แหละครับ

 

คําว่า “อินเดีย” (India) เป็นคำที่ชาวต่างชาติใช้เรียกดินแดนชมพูทวีป ตามชื่อของแม่น้ำ “สินธุ” ซึ่งก็คือแม่น้ำสายแรกที่พวกเขาได้พบเห็น เมื่อข้ามเทือกเขาฮินดูกูชทางตอนเหนือของอินเดีย ผ่านทางช่องเขาไคเบอร์ (Khyber pass) ซึ่งเป็นช่องทางสำคัญในการเดินทางจากพื้นที่บริเวณเอเชียกลาง เข้ามาสู่ขอบข่ายของความเป็นชมพูทวีป

พวกเปอร์เซียโบราณเรียกแม่น้ำสายดังกล่าว และดินแดนแถบนี้ว่า “ฮินด์” (Hind) ตามสำเนียงของภาษาดาร์ดิค (Dardic) ซึ่งเป็นภาษาถิ่นพวกพวกอินโด-อารยัน ในแถบไคเบอร์ ทางตอนเหนือของประเทศปากีสถานปัจจุบัน (แน่นอนว่า พวกที่อยู่ละแวกช่องเขาไคเบอร์ก็ด้วย) ที่ออกเสียงคำนี้ว่า “สีนท์” (sind)

นอกจากนี้ ยังมีดินแดนที่ทอดยาวไปทางทิศตะวันตกของแคว้นปัญจาบ ในประเทศปากีสถานปัจจุบัน ซึ่งก็ทอดยาวไปตามเส้นทางของแม่น้ำสินธุ จนไปไหลออกมหาสมุทรที่ทะเลอาหรับ ซึ่งเรียกว่า แคว้นสินธ์ (Sindh, หรือที่มักจะสะกดกันว่า ซินด์) ในประเทศปากีสถาน แน่นอนว่าคำว่า “สินธ์” ในที่นี้ก็ย่อมมาจากคำว่า “สินธุ” ที่เป็นทั้งชื่อของแม่น้ำเช่นกัน

ต่อมาพวกกรีกก็เรียกชื่อชมพูทวีป ตามเปอร์เซียอีกทอดหนึ่ง แต่ออกเสียงตามสำเนียงตนเองว่า “อินโดส” (Indos)

ก่อนที่จะกลายเป็นคำว่า “อินดัส” (Indus) ซึ่งเป็นคำที่ใช้เรียกแม่น้ำสินธุ ในโลกภาษาอังกฤษตราบจนกระทั่งปัจจุบันนี้

และเรียกชมพูทวีปว่า “อินเดีย” ซึ่งก็หมายถึงประเทศอันเป็นที่ตั้งของแม่น้ำอินดัส หรือแม่น้ำสินธุนั่นเอง

ผู้คนที่ปากีสถานในโลกโบราณนั้น ก็คือดินแดนชายขอบของปริมณฑลจักรวรรดิเปอร์เซีย ดังมีพยานปรากฏอยู่ในข้อความบางตอนของจารึกของพระเจ้าดาริอุสที่ 1 (Darius I, ครองราชย์ระหว่าง พ.ศ.22-58) บนหน้าผา ที่ภูเขาศักดิ์สิทธิ์เบฮิสตุน (Behistun) ในประเทศอิหร่าน ที่จารขึ้นเมื่อ พ.ศ.25 ได้อ้างว่า พื้นที่บริเวณแคว้นคันธาระ (Gandhara) นั้น เป็นส่วนหนึ่งในจักรวรรดิเปอร์เซียของพระองค์

ในขณะที่จารึกหลักต่อๆ มาของพระองค์ ที่สถาปนาขึ้นเพียงสองสามปีหลังจากจารึกที่เบฮิสตุน ก็ได้อ้างไว้ด้วยเช่นกันว่า จักรพรรดิพระองค์นี้ได้ผนวกแคว้นฮินดุษ (Hindush) เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในจักรวรรดิเปอร์เซียของพระองค์แล้วด้วย

คำอ้างในจารึกข้างต้นสอดคล้องกับหลักฐานของโลกยุโรปในช่วงหลังจากนั้น และข้อเท็จจริงที่ว่า ปราชญ์ทางเนสันสกฤตศึกษาทั้งหลายต่างก็ยอมรับกันเป็นอย่างดีด้วยว่า ทั้งคำศัพท์ต่างๆ และข้อความหลายส่วนในคัมภีร์ฤคเวทนั้น แสดงให้ถึงทั้งอิทธิพล และความสัมพันฑ์เกี่ยวข้องกับคัมภัร์อเวสตะ

ดังนั้น ถ้าคำว่า “อหุ” ในคัมภีร์อเวสตะ กับ “อสุ” ในฤคเวทสังหิตา จะมีรากศัพท์คำเดียวกัน หรือเป็นคำเดียวกัน แต่ออกเสียงต่างกันไปตามแต่ละสำเนียงภาษา โดยมีรายละเอียดของความหมายแตกต่างกันไปบ้างก็ไม่เห็นจะเป็นเรื่องแปลกอะไรนัก

 

ที่สำคัญก็คือ ในคัมภีร์อเวสตะนั้น ยังปรากฏคำว่า “อหุระ” อยู่อีกด้วย

เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปในหมู่ผู้สนใจภาษาโบราณอีกเช่นกันว่า คำดังกล่าวมีความหมายตรงกับคำในภาษาอังกฤษว่า “lord”

และควรสังเกตด้วยว่า คำว่า “lord” ในโลกภาษาอังกฤษนี้ นอกจากจะแปลว่า “เจ้า” แล้วยังมีควาหมายถึง “เจ้าผู้ครองที่ดิน” (สอดคล้องกับที่คำว่า “อสูร” ในฤคเวทแปลว่า “เจ้าของบ้าน” ) และ “พระเจ้า” ได้อีกด้วย

ในคัมภีร์อเวสตะนั้น ได้ใช้คำว่า “อหุระ” สำหรับเป็นคำนำหน้าพระนามของเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ตามความเชื่อในศาสนาโซอัสเตอร์ เช่น อหุระ มิธรา (Ahura Mithra. มักอธิบายกันว่าคือ พระมิตรา ในฤคเวท), อหุระ อาปัม นาปัต (Ahura Apam Napat, พระนามของเทพเจ้าแห่งสายน้ำองค์นี้ก็ปรากฏในคัมภีร์พระเวทด้วยเช่นกัน) และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง อหุระ มาซดา (Ahura Mazda) ผู้เป็นเทพเจ้าสูงสุดในศาสนาโซโรอัสเตอร์

น่าสนใจด้วยว่า ในภาษาของชาวฮิตไตต์ (ชนกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งในวัฒนธรรมเมโสโปเตเมีย) มีศัพท์คำว่า “ฮัซซู” ที่แปลว่า “กษัตริย์” โดยมีผู้สันนิษฐานว่า น่าจะมีรากที่มาเดียวกันกับคำว่า “อหุระ” และ “อสูร”

ในขณะที่นักอินเดียศึกษา ชาวฟินแลนด์ ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับวัฒนธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ (วัฒนธรรมที่ให้กำเนิดคัมภีร์ฤคเวท) อย่าง อาสโก ปาร์โปลา (Aslo Patpola,พ.ศ.2484-ปัจจุบัน) ได้ตั้งข้อสังเกตว่า ศัพท์คำว่า “อาซีร์” (?sir) ซึ่งแปลว่า “เจ้า” หรือ “เจ้าชาย” ในภาษานอร์สโบราณ น่าจะมีรากมาจากภาษาอินโด-อารยันดั้งเดิม (Proto Indo-Aryan) ที่ส่งทอดเข้ามาในภาษูราลิคดั้งเดิม (Proto Uralic. ภาษาที่ใช้กันในกลุ่มชนที่เทือกเขาอูราล ในเขตประเทศรัสเซีย และคาซัคสถาน) ซึ่งนี่ก็หมายความว่า ศัพท์ในภาษานอร์สโบราณคำนี้ มีรากที่มาเดียวกันกับคำว่า “อสูร” และ “อหุระ” นั่นเอง

ดังนั้น ถ้าจะว่ากันด้วยหลักฐานที่คกทอดอยู่ในภาษาโบราณอย่างนี้แล้ว จึงไม่น่าแปลกใจที่จะมีหลักฐานอยู่ในคัมภีร์ทางศาสนาพุทธที่เรียกพวกอูรว่า “ปูรวเทวะ” (บาลีว่า บุพพเทพ) ซึ่งหมายถึง “เทพเจ้าแห่งปางบรรพ์” อยู่ด้วย

และนี่ก็ย่อมแสดงให้เห็นไปพร้อมกันด้วยว่า ผู้คนในดินแดนชมพูทวีปนั้น พอจะมีเค้าความทรงจำเกี่ยวกับความยิ่งใหญ่ของอะไรที่พวกเขาเรียกว่า “อสูร” มาก่อน พร้อมกันกับที่ชวนให้น่าสังเกตว่า ทำไมเหล่าเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่แต่ครั้งบรรพกาลเหล่านี้ จึงต้องถูกทำให้กลายเป็นปีศาจร้าย (demonization) ที่อยู่ตรงข้ามกับเทพเจ้า หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย?

 

ควรสังเกตด้วยว่า ในคัมภีร์อเวสตะ ของศาสนาโซโรอัสเตอร์นั้นก็มีศัพท์คำว่า “เดวา” (Daeva) ซึ่งก็แน่นอนว่า ตรงกันกับคำสันสหฤตว่า “เทวะ” หรือ “เทพ” นั่นแหละครับ

แต่บรรดา “เดวา” หรือหมู่เทพในคัมภีร์อเวสตะนั้น กลับหมายถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ก่อให้เกิดความโกลาหล และมุ่งทำลายระบบระเบียบต่างๆ ในคัมภีร์คถา (Gatha) อันเป็นหนังสือศักดิ์สิทธิ์ ที่เก่าแก่มากกว่า 3.000 ปีขึ้นไป อีกเล่มหนึ่งของศาสนาโซโรอัสเตอร์มีข้อความระบุว่า เหล่าเดวาเป็น “หมู่เทพเจ้าที่ (จะต้อง) ถูกปฏิเสธ”

ข้อความในคัมภีร์คถา สอดคล้องกับจารึกหลักหนึ่งของราชวงศ์อาเคมีริด แห่งเปอร์เซีย ที่เรียกกันว่า “จารึกเดวา” ( Inscription) ซึ่งสร้างขึ้นเมื่อราว 2,500 ปีที่แล้วดังมีข้อความว่า

“ในอาณาจักรเหล่านี้เคยมีสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งแต่ก่อนเคยบูชาเดวา ต่อมาด้วยพระกรุณาของอหุระ มาซดา ข้าพเจ้าได้ทำลายวิหารเดวานั้นลง และประกาศว่า ‘ห้ามบูชาเดวา’ ที่ซึ่งเคยบูชาเดวามาก่อน ข้าพเจ้าใช้บูชาหุระ มาซดา มรเวลาที่เหมาะสม และในลักษณะที่เหมาะสม”

ปราชญ์ทางด้านภาษาระบุว่า คำว่า “เดวา” ในภาษาเปอร์เซีย และ “ดทวา” ในภาษาสันสกฤตนั้น เป็นคำพ้องเสียงกับ “deus” ซึ่งหมายถึง “พระเจ้า” ในภาษาละติน และ “Zeus” (พระนามเทวราชบนสวรรค์ของกรีก)

ในภาษาเปอร์เซียยุคหลังจากนั้น “เดวา” ถูกเรียกว่า “ดิวส์” (Divs) และได้ส่งทองคำที่ออกเสียงในทำนองใกล้เคียงกันนี้ไปสู่ดินแดนตุรกี และกลุ่มชนชาวเคิร์ด รวมไปถึงแถบประเทศจอร์เจีย ในยุโรปตะวันออก ซึ่งก็ล้วนแล้วแต่มีความหมายในเชิงลบเช่นเดียวเหมือนกันทั้งหมด

เอาเข้าจริงแล้ว ทั้ง “อสูร” และ “เทพ” จึงต่างก็ถูกทำให้กลายเป็นปีศาจร้ายในกลุ่มรัฐ หรือวัฒนธรรมที่ไม่ได้นับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เหมือนเป็นคู่ตรงข้ามกันคู่นี้แบบไม่ต่างกันนัก ขึ้นอยู่กับว่ากลุ่มผู้นับถือฝ่ายใดเป็นผู้ที่ถือครองอำนาจในดินแดน หรือรัฐแห่งไหนนั่นเอง •

 

On History | ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ

‘อสูร’ เทพบรรพกาล ที่ถูกทำให้กลายเป็นศัตรูของหมู่เทวดา (1)