ผลสะเทือนของลัทธิมาร์กซ์ ต่อพรรคปีกก้าวหน้า ในยุโรปตะวันตก (1)

บทความพิเศษ | ธเนศวร์ เจริญเมือง

 

ผลสะเทือนของลัทธิมาร์กซ์

ต่อพรรคปีกก้าวหน้า

ในยุโรปตะวันตก (1)

 

“เท่าที่ผมเข้าใจนะ เรามิได้ละทิ้งความเชื่อแบบเก่าในเรื่องเสรีภาพ, ความยุติธรรม และการช่วยเหลือตนเอง แต่ในบางเงื่อนไข คนเราช่วยตัวเองไม่ได้ รัฐจึงควรเข้าไปช่วยดูแล ก็คือรัฐที่เป็นตัวแทนโดยตรงของประชาชนทั้งมวล ในงานนี้ เราต้องมี 3 เงื่อนไขให้รัฐ คือ 1.รัฐต้องให้ความสำคัญแก่เรื่องนี้เป็นอันดับต้นๆ 2.ต้องทำให้ได้จริง และ 3.การเข้าไปทำงานของรัฐ (State interference) จะต้องไม่ลดทอนการพึ่งพาตนเอง (self-reliance) แม้ว่างานนี้จะช่วยให้ความเลวร้ายในสังคมหมดไป แต่จะต้องไม่ลดทอนวิถีการพึ่งพาตนเอง และความร่วมมือกันแบบอาสาสมัคร (voluntary association) ที่ได้สร้างความยิ่งใหญ่ให้แก่คนอังกฤษอย่างเด็ดขาด…”

Arnold Toynbee (1852-1883) นักประวัติศาสตร์เศรษฐกิจชาวอังกฤษ

งาน “Lectures on the Industrial Revolution in England” 1884

ทำให้คำว่า “การปฏิวัติอุตสาหกรรม” แพร่หลายไปทั่วโลก

เขาทุ่มเททำงานเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของกรรมกร การจากไปในวัย 30 ปีถือเป็น a great loss.

 

กรณีศึกษาที่ 1 : ยุโรปตะวันตก

นี่คือกลุ่มรัฐที่ควรได้รับผลสะเทือนโดยตรงในฐานะที่เป็นดินแดนต้นกำเนิดและรากฐานของแนวคิดของมาร์กซ์-เองเกลส์ (ทั้ง 2 คนใช้ชีวิตอยู่ใน 4 ใน 10 ประเทศนี้ตลอดชีวิต) เราขอพูดถึง 10 ใน 15 ประเทศของยุโรปตะวันตก ได้แก่ อังกฤษ, เบลเยียม, ฝรั่งเศส, เยอรมนี, ลักเซมเบิร์ก, เนเธอร์แลนด์, สวิตเซอร์แลนด์, อิตาลี, สเปน และโปรตุเกส

เมื่อมาร์กซ์เสียชีวิตที่อังกฤษในวัย 65 ปี (1883) แน่นอนว่า งานของเขาและเองเกลส์ ซึ่งเพ่งไปที่ขบวนการต่อสู้ของกรรมกรและปัญหาของระบบทุนนิยมเป็นหลักก็คือหัวข้อที่ควรศึกษาต่อไป มีกลุ่มคนที่ยอมรับแนวคิดดังกล่าวหรือคนที่คัดค้าน-โต้แย้งเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว และแน่นอน งานของทั้งสอง โดยเฉพาะแถลงการณ์ชาวคอมมิวนิสต์, สังคมนิยม : ยูโทเปียและแบบวิทยาศาสตร์ และว่าด้วยทุน 3 เล่ม ก็มีคนนำไปศึกษามากขึ้นๆ ซึ่งเป็นเรื่องปกติ และอ่านเพื่อซึมซับ-ขยายงานหรืออ่านเพื่อโต้แย้งก็เป็นเรื่องปกติ

เราเริ่มต้นที่เยอรมนี รัฐที่มาร์กซ์และเองเกลส์ถือกำเนิด และมาร์กซ์ถูกเนรเทศออกไปครึ่งค่อนชีวิต

ครั้นมีการประกาศนามพรรคคอมมิวนิสต์รัสเซีย, ชัยชนะของการปฏิวัติรัสเซียและการสถาปนาสหภาพโซเวียตรัสเซียในปี 1917 โดยมีภาพของมาร์กซ์-เองเกลส์ในฐานะผู้นำทางความคิดปรากฏให้โลกได้เห็น ผู้ที่เห็นด้วยกับแนวคิดดังกล่าวย่อมยินดียิ่งและมีคนสนใจติดตามและศึกษาแนวคิดนั้นและทำงานมากขึ้นๆ เป็นลำดับ

ตั้งแต่ผลงานสำคัญคือ แถลงการณ์ชาวคอมมิวนิสต์ (1848) ของชาวเยอรมันทั้งสอง กลุ่มศึกษาแนวคิดเรื่องสังคมนิยมและคอมมิวนิสต์จึงเพิ่มมากขึ้นในแต่ละประเทศ ครั้นเกิดการปฏิวัติในรัสเซียในปี 1917 เราจึงได้เห็นการรวมกลุ่มต่างๆ เข้าด้วยกันในแต่ละประเทศ

ด้านหนึ่งก็คือการแสดงความสมานฉันท์และเชื่อมั่นในพลังที่จะร่วมกันผลักดันงานต่อๆ ไปในฐานะพรรคคอมมิวนิสต์ (ดังในตาราง)

และแน่นอน ย่อมมีกลุ่มหรือพรรคสังคมนิยมที่มีแนวทางของตนเองแตกต่างออกไป เกิดผลสะเทือนที่หลากหลายในโลกส่วนต่างๆ

ตารางแสดงปีก่อตั้ง และประเทศที่มีการก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์

 

ผลสะเทือนข้อที่หนึ่ง ประเทศที่อยู่ห้อมล้อมแนวคิดของมาร์กซ์-เองเกลส์ คือยุโรปตะวันตก ล้วนได้ก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์อย่างเป็นทางการภายในช่วง 4 ปีแรก (1918-1921) เรียกได้ว่าอย่างรวดเร็ว (ยังไม่รวมประเทศที่มีพรมแดนและมีความสัมพันธ์หลายด้านใกล้ชิดกับรัสเซีย ที่เราเรียกโดยรวมว่ายุโรปตะวันออก)

หมายความว่านับตั้งแต่เศรษฐกิจทุนนิยมเริ่มมีปัญหาเกี่ยวกับคุณภาพชีวิตของกรรมกรในรอบ 1 ศตวรรษที่ผ่านมา ก็เริ่มมีกลุ่มปัญญาชนและกรรมกรที่ศึกษาปัญหาเศรษฐกิจทุนนิยม และทางออก ได้เกิดกลุ่มสังคมนิยมทั้งหลายในแต่ละประเทศ มีทัศนะและแนวทางต่างกันที่ได้หันมาผนึกกำลังกันเพราะผลของการปฏิวัติ 1917

ผลสะเทือนสำคัญเกิดขึ้นแล้วหลังจาก “แถลงการณ์ชาวคอมมิวนิสต์” ในปี 1848 ซึ่งชี้ว่าทุนนิยมจะต้องล่มสลาย และตั้งแต่ปีนั้น แนวคิดเกี่ยวกับสังคมนิยมก็มีทางเลือกมากขึ้น แถมยังมีแนวคิดคอมมิวนิสต์เพิ่มขึ้นอีกให้ศึกษาและคาดหวัง

และยิ่งมีคนสนใจมากขึ้นไปอีกหลังจากการปฏิวัติรัสเซียประสบชัยชนะ

 

ข้อที่สอง จากข้อมูลที่ปรากฏ ยุโรปตะวันตกทั้ง 10 ประเทศที่ได้เอ่ยนาม ต่างเผชิญกับปัจจัยที่เป็นจุดแข็งและปัญหา 4 ด้าน ที่มีทั้งเหมือนกันและต่างกัน

4 ปัจจัยที่ว่านั้นได้แก่

1. สถานการณ์หรือปัจจัยนอกประเทศ

2. สถานการณ์ในประเทศ

3. ปัจจัยหรือปัญหาสำคัญในประเทศ โดยเฉพาะบทบาทของพรรคหรือองค์กรการเมืองต่างๆ

และ 4. ภาคประชาสังคม

 

ข้อ 2.1 ผลสะเทือนของปัจจัยภายนอก

พรรคคอมมิวนิสต์ของทุกประเทศที่กล่าวมาล้วนให้ความเคารพอย่างสูงแก่สหภาพโซเวียต นโยบายและคำสั่งของผู้นำพรรคโซเวียต ตลอดจนโคมินเทิร์น (Comintern-Communist International) องค์การคอมมิวนิสต์สากลที่เลนินก่อตั้งขึ้นและเป็นผู้นำในปี 1919

นอกจากนี้ ยังปรากฏว่า พรรคเหล่านั้นแทบทั้งหมดได้รับความช่วยเหลือในด้านต่างๆ จากสหภาพโซเวียต ซึ่งเป็นรัฐสังคมนิยมเดียวในโลกอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์เริ่มเปลี่ยนไปอย่างช้าๆ หลังจากเลนินที่ได้รับความเคารพและชื่นชมเป็นอย่างสูงเสียชีวิตในปี 1924 สตาลินก้าวขึ้นสู่อำนาจ

ขณะที่ทรอตสกี้ถูกขับออกจากกรมการเมืองของพรรคในปี 1926 ถูกขับออกจากพรรคในปี 1927 และถูกเนรเทศ 2 ปีต่อจากนั้น

และทรอตสกี้ยังคงออกแถลงการณ์คัดค้านแนวคิดโซเวียตเป็นสังคมนิยมรัฐเดียวของสตาลิน และเรียกร้องให้ปฏิวัติสังคมนิยมทั่วยุโรป เขาถูกสังหารอย่างทารุณที่เม็กซิโกในปี 1940

ความแตกแยกในพรรคคอมมิวนิสต์รัสเซียทำให้บางพรรคในต่างประเทศเริ่มสงสัยในเรื่องราวที่เกิดขึ้น พรรคคอมมิวนิสต์ในบางประเทศเริ่มระมัดระวังในการแสดงท่าที

อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่ยังคงสนับสนุนการนำของสหภาพโซเวียตอย่างแข็งขันต่อไป

จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์ด้วยกันในเวลาต่อมา ได้แก่

กุมภาพันธ์ 1948 พรรคคอมมิวนิสต์เชโกสโลวะเกีย โดยการสนับสนุนของกองทัพสหภาพโซเวียตเข้ายึดอำนาจรัฐ

พฤศจิกายน 1956 ประชาชนฮังการี (The Hungarian Uprising) หลายหมื่นชุมนุมคัดค้านรัฐบาลที่ขึ้นต่อสหภาพโซเวียต เรียกร้องให้คืนสิทธิเสรีภาพแก่ประชาชน หลังการชุมนุม 12 วัน โซเวียตก็ส่งกองทัพเข้าปราบปราม มีผู้เสียชีวิตหลายพันคน ชาวฮังการีประมาณ 2 แสนคนหนีออกนอกประเทศ

1962-1964 ความขัดแย้งระหว่างสหภาพโซเวียตกับจีน กรณีครุสชอฟ ผู้นำรัสเซียวิจารณ์นโยบายของสตาลิน และข้อเสนอของครุสชอฟเรื่องการดำรงอยู่ร่วมกันอย่างสันติ และกรณีสหภาพโซเวียตแสดงท่าทีเป็นมิตรกับอินเดีย ซึ่งจีนเห็นว่าทั้งหมดนี้คือ ลัทธิแก้ (Revisionism) หมายถึงหันเหจากลัทธิมาร์กซ์-ลัทธิเลนิน

มกราคม-สิงหาคม 1968 ประชาชนชาวเช็ก (Prague Spring) เรียกร้องให้รัฐบาลฟื้นฟูสิทธิเสรีภาพของประชาชนและปฏิรูปเศรษฐกิจประเทศ สหภาพโซเวียตส่งกำลังเข้ากรุงปราก และจัดตั้งรัฐบาลฝ่ายตนขึ้นแทน

1978-1979 เวียดนามยกองทหารเข้ายึดครองกัมพูชาเพื่อล้มล้างรัฐบาลเขมรแดง

กุมภาพันธ์-มีนาคม 1979 จีนส่งกองทัพเข้าโจมตีเวียดนามตอนเหนือ โดยอ้างว่าเพื่อสั่งสอนพรรคเวียดนาม

พฤศจิกายน 1989 กำแพงเบอร์ลินล่ม ประชาชนชาวเยอรมันเดินข้ามพรมแดนไปมาหากันเป็นครั้งแรก

ธันวาคม 1989 ประกาศสิ้นสุดยุคสงครามเย็น

3 ตุลาคม 1990 เยอรมนี 2 ฝ่ายรวมกันเป็นหนึ่งและสถาปนาสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี (FRG)

26 ธันวาคม 1991 สหภาพโซเวียตล่มสลาย พร้อมกับการสิ้นสุดของพรรคคอมมิวนิสต์รัสเซีย

ความขัดแย้งต่างๆ ที่เกิดขึ้น และนโยบายปราบปรามประชาชนที่เรียกร้องสิทธิเสรีภาพในประเทศสังคมนิยมต่างๆ หลายครั้ง ทำให้ความนิยมต่อพรรคคอมมิวนิสต์ในประเทศที่มีการเลือกตั้งลดลงเป็นลำดับ

และทุกครั้ง พบว่าหากมีพรรคคอมมิวนิสต์ใดแสดงท่าทีวิจารณ์นโยบายของสหภาพโซเวียต คะแนนนิยมก็จะกลับคืนมา

 

ข้อ 2.2 ผลสะเทือนของปัจจัยอำนาจนิยมภายนอกประสานกับภายใน

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคือ นอกจากพฤติการณ์แบบอำนาจนิยมของสหภาพโซเวียต สิ่งที่เกิดขึ้นในแต่ละประเทศก็มีผลสะเทือนเช่นกัน ลัทธินาซีของฮิตเลอร์ในเยอรมนีก่อสงครามกับฝรั่งเศสในสงครามโลกครั้งที่ 2 ด้วยการส่งกองทัพเข้าไปโจมตีประเทศรอบๆ ส่งผลให้พรรคคอมมิวนิสต์ของประเทศเหล่านั้นออกมาร่วมยืนแถวหน้าในการต่อสู้กับกองทัพผู้รุกราน

การเติบโตของกลุ่มอำนาจนิยมนำโดยฮิตเลอร์เริ่มขึ้นในทศวรรษ 1930s ส่งผลให้พรรคคอมมิวนิสต์เยอรมันกลายเป็นพรรคนอกกฎหมาย ต้องลงใต้ดิน และต่อจากนั้น ได้มีชาวพรรคคอมมิวนิสต์ราว 3 หมื่นคนถูกสังหาร และอีกราว 2 แสนคนถูกคุมขังในค่ายกักกันนาซี

สงครามโลกครั้งที่ 2 เริ่มได้ไม่นาน ในปี 1940 กองทัพนาซีเยอรมันก็บุกเข้ายึดครองเนเธอร์แลนด์ ส่งผลให้พรรคคอมมิวนิสต์เนเธอร์แลนด์กลายเป็นพรรคผิดกฎหมาย ต้องต่อสู้ใต้ดิน พรรคคอมมิวนิสต์เนเธอร์แลนด์จับมือกับพรรคเล็กคือ พรรคสังคมนิยมปฏิวัติ ในการต่อต้านฝ่ายนาซี และได้นำกรรมกรเนเธอร์แลนด์ชุมนุมประท้วงและหยุดงานครั้งใหญ่ที่สุดในปี 1941 หลังสงครามโลกยุติ พรรคคอมมิวนิสต์เนเธอร์แลนด์ได้รับเลือกตั้งเป็นครั้งแรกในสภาล่าง และอีกครั้งในการเลือกตั้งครั้งต่อมาเป็น 10 ที่นั่ง และได้อีก 1 ที่นั่งในการเลือกตั้งของสภาสูง

เมื่อกองทัพเยอรมันนาซีบุกผ่านเนเธอร์แลนด์เข้ายึดครองฝรั่งเศส พรรคคอมมิวนิสต์ฝรั่งเศสก็กลายเป็นพรรคผิดกฎหมาย และมีบทบาทสำคัญในการต้านนาซีในช่วง 3 ทศวรรษต่อจากนั้น แม้ว่าจะได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเป็น 20% ของคะแนนที่ได้ในการเลือกตั้งระดับชาติ แต่พรรคคอมมิวนิสต์ก็ไม่ได้เข้าร่วมกับรัฐบาลฝ่ายก้าวหน้า

จนถึงปี 1981 จึงได้เข้าร่วมกับรัฐบาลสังคมนิยมนำโดยประธานาธิบดีมิตเตคร็อง และถอนตัวในปี 1984