ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 18 - 24 เมษายน 2568 |
---|---|
คอลัมน์ | หลังลับแลมีอรุณรุ่ง |
ผู้เขียน | ธงทอง จันทรางศุ |
เผยแพร่ |
หลังลับแลมีอรุณรุ่ง | ธงทอง จันทรางศุ
GI-สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์
‘บ่งชี้’ แล้วต้องรักษาคุณภาพ
วันนี้มีเรื่องส่วนตัวที่น่าหมั่นไส้มาเล่าให้ท่านทั้งหลายฟังอีกแล้วครับ
ประเด็นไม่มีอะไรมากไปกว่าคนที่อยู่ในวัยอย่างผมนั้น พอจัดสรรเวลาให้ตัวเองได้เดินทางท่องเที่ยวในประเทศบ้าง ต่างประเทศบ้าง บางครั้งก็เป็นการปะปนกันกันระหว่างการไปทำงานกับการท่องเที่ยว
ข้อนี้โปรดกรุณาอย่าเพิ่งหมั่นไส้นะครับ
เรื่องที่จะชวนท่านทั้งหลายหมั่นไส้คือ เวลาเดินทางไปไหนมาไหนอย่างที่ว่า ผมอดไม่ได้ที่พยายามจะลองกินอาหารท้องถิ่น
และถ้าจะต้องซื้อของติดไม้ติดมือกลับมาบ้านเพื่อเป็นที่ระลึกหรือเป็นของฝากใครก็แล้วแต่ ผมนิยมที่จะต้องซื้อของท้องถิ่นจากเมืองนั้นมาเป็นการเฉพาะ
โดยราคาไม่จำเป็นต้องแพงมากมายอะไร ทำได้อย่างนี้ก็มีความสุขแล้วครับ
ของยี่ห้อแบรนด์เนมต่างๆ ไม่มีโอกาสได้มาสัมผัสเนื้อตัวผมได้ง่ายๆ
หรือพูดในทางกลับกัน ผมก็ไม่ได้มีโอกาสสัมผัสของแบรนด์เนมต่างๆ ได้ง่ายเหมือนกัน
ตัคยได้ยินชื่อเมืองนี้ติดอยู่ที่ฉลากข้างขวดมัสตาร์ดมาช้านานแล้ว แต่เพิ่งได้พบกับเมืองดีจองแบบตัวเป็นๆ คราวนี้เอง
นอกจากชื่อเมืองที่ปรากฏอยู่ที่ฉลากข้างขวดมัสตาร์ดแล้ว ผมอยากได้ความรู้เพิ่มเติมขึ้นอีกอย่างหนึ่งว่า ใช่ว่าใครจะใช้ชื่อมัสตาร์ดดีจองได้ง่ายๆ หากแต่ต้องมีการตรวจสอบรับรองจากหน่วยงานที่มีหน้าที่ในเรื่องนี้ ถ้าสอบผ่านการตรวจจึงจะได้รับอนุญาตให้มีตราเล็กๆ หนึ่งตราลงพิมพ์ไว้ในฉลากข้างขวดได้
ตรานี้เป็นการรับรองว่ามัสตาร์ดที่อยู่ในขวดเป็นของแท้ที่มาจากเมืองดีจองไม่มีมัสตาร์ดจากแหล่งอื่นปะปน ผู้บริโภคซึ่งเป็นแฟนคลับของมัสตาร์ดเมืองดีจองสามารถมีความสบายใจได้ว่าตัวเองไม่ได้ถูกหลอกแต่อย่างใด
อารมณ์ประมาณคล้ายกันกับตราสัญลักษณ์ฮาลาลที่ประทับอยู่ข้างผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อเป็นเครื่องหมายยืนยันว่าอาหารดังกล่าวได้ผลิตขึ้นถูกต้องตามหลักการของศาสนาอิสลามทุกประการ
ย้อนกลับไปพูดถึงเรื่องตรารับรองความเป็นของแท้สำหรับมัสตาร์ดเมืองดีจอง เรื่องราวอย่างนี้เมืองไทยของเราก็มีความนิยมมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เช่น ถ้าเดินทางไปเที่ยวเมืองชลบุรี ผมก็ต้องนึกถึงข้าวหลามหนองมน หรือทุกวันนี้ถ้าไปอยุธยาก็ต้องซื้อโรตีสายไหมกลับบ้านมาทุกทีสิน่า
การที่เรามีชื่อสินค้าแล้วห้อยท้ายด้วยชื่อของสถานที่หรือเมืองซึ่งเป็นแหล่งผลิตของสินค้านั้นๆ แต่เดิมก็เป็นเรื่องปฏิบัติการตามประเพณีที่สืบทอดกันมา จนมาชั้นหลังนี่เองจึงมีกฎหมายมารองรับแนวปฏิบัติเรื่องนี้
โดยเรียกกันง่ายๆ ว่า เป็นเรื่องของ “สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์”
มีคำอธิบายในทางตำราว่า สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์หรือ GI Geographical Indication คือ เครื่องหมายที่ใช้กับสินค้าที่มาจากแหล่งผลิตที่เฉพาะเจาะจงซึ่งคุณภาพหรือชื่อเสียงของสินค้านั้นๆ เป็นผลมาจากการผลิตในพื้นที่ ดังกล่าว
GI จึงเปรียบเสมือนแบรนด์ของท้องถิ่นที่บอกคุณภาพและแหล่งที่มาของสินค้า ผู้ซื้อก็พอใจที่ตัวเองได้สินค้าต้นฉบับ มีคุณลักษณะตามความประสงค์
พูดง่ายๆ คือ ไม่ถูกใครแหกตาขายของ ข้างฝ่ายคนที่เป็นผู้ผลิตสินค้าซึ่งมีสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์กำกับ ก็มีความภาคภูมิใจในสินค้าของตัวเอง และความรู้สึกอย่างนี้จะชักนำให้มีความจำเป็นที่จะต้องรักษาคุณภาพของสินค้าตัวเองให้คงที่ได้มาตรฐานอยู่เสมอ
ลองนึกดูก็แล้วกันครับว่า ถ้าวันไหนกินข้าวหลามหนองมนแล้ว คุณภาพต้อยต่ำลงไปกว่าที่เคยกิน ต่อให้ติดป้ายบอกว่าเป็นข้าวหลามหนองมน 10 ป้าย คนเขาก็เลิกซื้ออยู่ดี
ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าได้มีการขึ้นทะเบียนชื่อข้าวหลามหนองมนเป็นสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ไว้กับทางราชการแล้ว เฉพาะแต่พ่อค้าแม่ขายที่ทำข้าวหลามขายอยู่ที่หนองมนแห่งเดียวเท่านั้นถึงจะใช้ชื่อแบบนี้ได้ ถ้าไปทำข้าวหลามอยู่ที่ตำบลอื่น จังหวัดอื่น แม้จะใช้สูตรเหมือนกันกับข้าวหลามหนองมนเปี๊ยบเลยก็ตาม ผู้ทำข้าวหลามเจ้านั้นก็ไม่สามารถใช้ชื่อว่าข้าวหลามหนองมนได้
มัสตาร์ดเมืองดีจองก็เช่นเดียวกัน มัสตาร์ดเมืองนี้ของเขาดีจริง มีมาช้านาน และได้ขึ้นทะเบียนขอความคุ้มครองจากทางราชการแล้ว คนอื่นจะมาขโมยชื่อไปใช้ง่ายๆ หาได้ไม่
ถ้าเรามองให้กว้างไกลไปกว่าชื่อตำบลชื่ออำเภอหรือจังหวัด สินค้าของเมืองไทยเราที่มีคุณภาพดี เป็นที่นิยมไม่เฉพาะแต่ภายในประเทศก็ยังมีอีกหลายอย่าง เป็นต้นว่า ข้าวหอมมะลิจากทุ่งกุลาร้องไห้ หรือทุเรียนหมอนทองจากจังหวัดระยอง จังหวัดจันทบุรี
นี่กำลังจะเข้าฤดูทุเรียนอีกรอบปีหนึ่งแล้ว เมื่อสองเดือนก่อนผมเดินทางไปประเทศลาวซึ่งการขนส่งจากทุเรียนบ้านเราไปขายเมืองจีนต้องใช้เส้นทางผ่านประเทศลาวที่ว่านี้ ได้คุยกันกับผู้ประกอบการชาวลาวซึ่งซื้อทุเรียนไทยไปขายเมืองจีน เฉพาะบริษัทที่ผมคุยด้วยนี้บริษัทเดียว ปีที่แล้วดูเหมือนจะซื้อทุเรียนไปในราว 40,000 ล้านบาท เล่นเอาบ้านเราแทบไม่มีทุเรียนกินกันเลยทีเดียว
แต่ก็มีข้อคิดนะครับว่า สินค้าที่มีชื่อเสียงพร้อมทั้งเสียงบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์เหล่านี้ เราก็ต้องคอยระมัดระวังคุณภาพของเราให้รักษามาตรฐานคงที่อยู่เสมอ
ชาวจังหวัดระยอง ชาวจังหวัดจันทบุรีก็ดี ต้องรักษาชื่อเสียงของตัวเองไว้ให้จงได้ อย่าได้คิดอ่านเอาทุเรียนเขมรเข้ามาปลอมตัวเป็นทุเรียนไทยเป็นอันขาด
ขืนทำอย่างนั้นเข้าเมื่อไหร่แล้วลูกค้าจับได้ไล่ทัน อย่าได้หวังเลยว่าเขาจะหวนคืนมาซื้อทุเรียนบ้านเราอีก เหมือนอย่างที่โบราณท่านบอกไว้ว่า “ซื่อกินไม่หมด คดกินไม่นาน”
นอกจากต้องรักษาคุณภาพของสินค้าที่มีสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ไว้ให้คงที่ได้มาตรฐานแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ผมเห็นว่าถ้ามีใครทำได้ก็จะเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าของเรายิ่งขึ้นไปอีก
ที่พูดมานี่เรื่องอะไรหรือครับ ผมหมายถึงเรื่องหีบห่อ หรือที่ภาษาฝรั่งเรียกว่า packaging ไงครับ
ผู้อ่านหลายท่านรวมทั้งผมย่อมได้เคยเดินทางไปประเทศญี่ปุ่นกันมาแล้ว แต่ละเมือง แต่ละจังหวัดของเขา ต่างก็มีผลิตภัณฑ์ที่เป็นของพื้นเมืองซึ่งได้รับตราสัญลักษณ์สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ด้วยกันทั้งสิ้น ส่วนมากก็เป็นขนมอย่างโน้นอย่างนี้ ซึ่งเคยมีเพื่อนนินทาให้ผมฟังว่า
ขนมญี่ปุ่นนั้นมีเพียงสี่อย่างยืนพื้นอยู่ คือ แป้งห่อถั่ว ถั่วห่อแป้ง แป้งหวานห่อแป้งจืด และแป้งจืดหอแป้งหวาน หมดกระบวนท่าเพียงแค่นี้
แต่ทำไมทุกเมื่อเชื่อวันก็ยังมีขนมที่ขายดีเป็นเทน้ำเทท่าได้แทบทุกร้านไป สังเกตไหมครับว่าหีบห่อของเขาสวยงาม มีลวดลายลูกเล่น มีแผ่นพับบอกคำอธิบายประวัติความเป็นมาของร้านร้านค้าแต่ละร้านหรือวิธีทำขนมแต่ละอย่าง ให้อ่านแล้วรู้สึกว่ามันช่างดีอะไรอย่างนี้
เหมาะสำหรับซื้อติดมือกลับบ้านเป็นที่สุด
เป็นอันว่า โดยสรุปแล้วของฝากติดไม้ติดมือจากเมืองฝรั่งเศสคราวนี้นอกจากมัสตาร์ดดีจองแล้ว คือความรู้สึกหวงแหนสารพัดสิ่งที่เป็นสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์เราที่โดดเด่นไม่แพ้ใครอื่นเลย เราต้องรักษาคุณภาพไว้ให้ได้ เจ้าของสินค้าในแต่ละท้องถิ่นต้องมองเห็นอนาคตระยะยาว อย่าลดฝีมือ อย่าให้ผู้ร้ายเข้ามาปลอมปน และถ้าเราสามารถต่อยอดทำการแปรรูปให้เกิดความแปลกใหม่ มีรูปหีบห่อบรรจุสินค้าที่สวยงาม มีตำนานเล่าประกอบว่าสินค้าของเราวิเศษอย่างไร ถ้าทำอย่างนี้ได้ ขี้คร้านจะขายดิบขายดีไปไม่รู้จบ
และถ้าเรามองให้กว้างไปกว่านั้นอีกนิดหนึ่ง คือมองเมืองไทยของเราให้เห็นภาพรวมของทั้งประเทศ ว่าประเทศไทยนี่แหละคือสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ที่มีคุณค่ายิ่ง และเป็นมรดกที่เราได้รับสืบทอดมาจากปู่ย่าตายาย
เมื่อย้อนกลับไปอ่านหนึ่งย่อหน้าข้างต้นก็จะได้ความคิดว่า เราต้องคิดรักษามาตรฐานความเป็นไทย ไม่ว่าจะเป็นความเป็นไทยในทางกายภาพ ทางคุณภาพ หรือแม้กระทั่งในสิ่งที่เป็นนามธรรม เช่น ความมีน้ำใจ ความเป็นมิตรกับผู้มาเยือน การไม่เอารัดเอาเปรียบใคร ไม่หลอกขายสินค้าด้อยคุณภาพ ขณะเดียวกันก็พยายามเพิ่มมูลค่าเข้าไปสมทบกับสิ่งที่เรามีมาแต่ดั้งเดิมให้ทรงเสน่ห์ยิ่งขึ้น
ถ้าทำได้แบบนี้ประเทศไทยก็จะมีชื่อเสียงโดดเด่นและขายดีไม่รู้จบเหมือนกัน
ขออภัยที่วันนี้ วิญญาณผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยเข้าสิง เลยพูดอะไรเพ้อเจ้อครับ
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022