ไม่รีบแล้วจะให้รอหาอะไร? | คำ ผกา

คำ ผกา

คำ ผกา

 

ไม่รีบแล้วจะให้รอหาอะไร?

 

มาทำความเข้าใจเรื่อง พ.ร.บ.สถานบันเทิงครบวงจร ที่กำลังเป็นประเด็นกัน

เพราะฉันเห็นว่ามันกำลังจะถูกจุดชนวนไปเลยเถิดจนถึงขั้นสร้างวาทกรรมว่ารัฐบาลนี้จะเอาการพนันมามอมเมาลูกหลานของเรา

หรือความพยายามจะทำให้สังคมเชื่อว่ารัฐบาลเร่งรีบเร่งรัดให้นำ พ.ร.บ.นี้เข้าสภาให้ได้

ภายใต้โวหาร “รีบร้อน รีบเร่ง รีบทำ”

ฉันอยากพาไปทบทวนว่ารัฐบาลนี้ไม่ได้เร่งทำ พ.ร.บ.สถานบันเทิงครบวงจร

เพราะก่อนหน้านี้สิ่งที่รัฐบาลตั้งนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน ให้ความสำคัญและเร่งรัดคือ พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม ไม่ใช่แค่เรื่องคนเท่ากันหรืออคติทางเพศ

แต่ พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียมคือหลักประกันหนึ่งที่จะทำให้โลกเห็นว่าภายใต้รัฐบาลพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้ง มีความเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญในเรื่องการเมืองเชิงอัตลักษณ์ ในมิติเศรษฐกิจรัฐบาลตั้งเป้าที่จะจัดงาน world pride

และวางเป้าหมายให้เราเป็นประหนึ่งเมืองน่าเที่ยวสำหรับเพศทางเลือกเป็นจุดหมายปลายทางของการมาจัดงานแต่งงาน ฯลฯ

หลังจาก พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม ก็เป็น พ.ร.บ.ให้สัญชาติไทยกับคนไร้สัญชาติที่เกิดในเมืองไทยและอยู่ในประเทศมายาวนาน ซึ่งทำให้เราได้รับการยกย่องอย่างมากว่านี่คือการแก้ปัญหาคนไร้รัฐคนไร้สัญชาติที่สำคัญที่สุดในโลก

จากนั้นก็เป็นการแก้กฎหมายสรรพสามิตที่จะเปิดให้ผู้ผลิตสุรารายย่อยได้อยู่ในธุรกิจอย่างถูกกฎหมาย หลังจากต่อสู้กันมายาวนานในนามของสุราชุมชน สุราเสรี และสุราก้าวหน้า

ทำไปพร้อมๆ กับความพยายามจะปรับกฎหมายห้ามขายเหล้าในวันพระ หรือการกำหนดช่วงเวลาจำหน่ายสุรา ที่มันเป็นอุปสรรคต่อการทำธุรกิจและสะท้อนมรดกของความเป็นรัฐศาสนาที่ล้าหลัง

ซึ่งปรากฏว่าทำได้แบบทำไม่ได้ คือยกเว้นให้เฉพาะในบางพื้นที่

นอกจากนี้ ยังมี พ.ร.บ.ตั๋วร่วม มีเรื่องการแก้กฎหมายเพื่ออำนวยความสะดวก ลดอุปสรรคให้การขออนุญาตขออนุมัติจากหน่วยงานราชการ เพราะเราทุกคนรู้ว่านี่คืออุปสรรคขวากหนามในการทำมาหากินของประชาชน ทำให้ประชาชนมีภาระ มีต้นทุนในการใช้ชีวิตหรือค้าขายอย่างไม่จำเป็น

ถ้ามองเห็นภาพใหญ่ทั้งหมดนี้ก็จะเข้าใจว่า พ.ร.บ.สถานบันเทิงครบวงจรเป็นเพียงหนึ่งในหลายๆ กฎหมาย หนึ่งในหลายๆ โครงการที่รัฐบาลนี้ต้องการจะผลักดัน

เราบ่นกันมานานหลายทศวรรษไม่ใช่หรือว่า นานมากแล้วที่เราไม่มีรัฐบาลที่สร้างความเปลี่ยนแปลงหรือมีโครงการที่ทำให้ประเทศเกิดการเปลี่ยนผ่านจากยุคหนึ่งไปสู่อีกยุคหนึ่ง

สมัยชาติชาย ชุณหะวัณ มีเรื่องเปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า

สมัยทักษิณ ชินวัตร มีเรื่องโอท็อป, เอสเอ็มอี, กองทุนหมู่บ้าน, กระจายอำนาจ, one stop service ฯลฯ

สมัยยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะทำ Thailand 2020 เป็นเมกะโปรเจ็กต์ของการเปลี่ยนโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ รวมทั้งมีโครงการแก้ปัญหาเรื่องน้ำอย่างบูรณาการทั้งระบบ แต่ถูกขัดขวางจนนำมาซึ่งการรัฐประหารโดยใช้การปลุกระดม สร้างวาทกรรม ยิ่งลักษณ์ลักหลับกฎหมายนิรโทษกรรมเพื่อเอาพี่ชายกลับบ้าน

มาถึงรัฐบาลนี้ การมีสถานบันเทิงครบวงจรเทียบไม่ได้ด้วยซ้ำกับ Thailand 2020

สำหรับฉันมันเป็นเพียงการหาผลิตภัณฑ์ใหม่ให้ประเทศมีจุดขาย เพื่อหาเงินเข้าประเทศได้มากขึ้น

 

ประเทศไทยซึ่งเกิดการรัฐประหารสองครั้งในรอบยี่สิบปี

มันแปลว่าประเทศนี้ถูกแช่แข็งมายี่สิบปีท่ามกลางความเปลี่ยนทางภูมิรัฐศาสตร์โลกและความเปลี่ยนแปลงทางนวัตกรรม เทคโนโลยี กะพริบตาไปทีเดียว โลกเราแทบจะขับเคลื่อนด้วยสิ่งที่เรียกว่าเอไอ

เราปฏิเสธไม่ได้ว่าเราตกทุกขบวนของความเปลี่ยนแปลงนี้ เหมือนคนหลับไปยี่สิบปี ตื่นมาอีกทีก็ตามใครไม่ทัน ไม่รู้ว่าโลกเขาไปถึงไหนกันแล้ว และเราไม่ได้ปูพื้นฐานอะไรไว้สำหรับโลกที่เปลี่ยนไปเลย

ถามว่าประเทศไทยจะขายอะไร?

สิ่งที่เหลืออยู่กับเราที่จะพอจะทำเงินทำทองให้เราได้คือซอฟต์เพาเวอร์ในรูปของการท่องเที่ยว อาหาร ความอลหม่านแบบไทยๆ ที่กลายเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งไปแล้ว ความมีชีวิตชีวา ความไร้ระเบียบบางอย่างที่กลายเป็นเสน่ห์ เช่น สตรีตฟู้ด

โครงการสถานบันเทิงครบวงจรจึงเป็นทางเลือกที่เราใช้เพื่อดึงเม็ดเงินเข้ามาในระบบเศรษฐกิจ

และต้องย้ำอีกครั้งว่า สถานบันเทิงครบวงจร ที่จะเรียกมันว่า entertainment complex หรือจะเรียกว่า integrated resort นั้นมันควรจะประกอบไปด้วยอะไรบ้าง?

ยกตัวอย่าง Marina Bay Sands ของสิงคโปร์ ประกอบไปด้วยโรงแรมหรูขนาด 2,561 ห้อง มีห้างสรรพสินค้าคือ The Shoppers at Marina Bay Sands มีโรงละครระดับเดียวกับบรอดเวย์ 2 โรง มีร้านอาหารแบบไฟน์ไดนนิ่งของเชฟระดับซูเปอร์สตาร์ มีศูนย์ประชุมระดับโลก มีสถานที่จัดนิทรรศการและอีเวนต์ใหญ่ๆ ระดับโลก

มีมิวเซียมศิลปะและวิทยาศาสตร์ที่บอกว่าเป็นแห่งแรกของโลกใช้ ทีม LAB กลุ่มศิลปินดิจิทัลจากโตเกียวมาจัดนิทรรศการชื่อ Future World : Where Art Meets Science

และแน่นอนมีกาสิโน!

เพราะอะไรถึงมีกาสิโน เพราะกลุ่มทุนที่มาลงทุนทำทั้งหมดเหล่านี้ขึ้นมาคือ Lasvegas Sands Corporation ที่ทำธุรกิจกาสิโนเป็นหลัก

เพราะฉะนั้น หากต้องตอบแบบกำปั้นทุบดินว่า ทำไมต้องมีกาสิโน 10% ในนี้สถานบันเทิงครบวงจรก็เพราะว่าถ้าไม่มีกาสิโนก็จะไม่มีใครมาลงทุน

ไม่ต้องหลอกตัวเองหรือหนีความจริงกันหรอกว่า เราต้องการใช้เงินของบริษัทกาสิโนมาสร้างโรงแรม สร้างร้านอาหารที่มีเชฟระดับโลกหมุนเวียมากันมา สร้างศูนย์ประชุม สร้างมิวเซียม สร้างหอแสดงงานศิลปะ สร้างโรงละคร ฯลฯ

เราจะให้บริษัทกาสิโนมาสร้างทุกอย่างเหล่านี้แลกกับการที่เขาจะได้ใช้พื้นที่ 10% ทำธุรกิจกาสิโน

ฉันขอถามตรงๆ ว่ามีตรงไหนที่ประเทศไทยเสียประโยชน์บ้าง?

นี่คือการมอมเมาคนไทยให้ติดการพนัน?

ถ้าถามมาเช่นนี้ ฉันก็จะตอบว่า ตลอดประวัติศาสตร์ประเทศไทยที่ไม่เคยมีสถานบันเทิงครบวงจร สังคมไทยไม่มีคนติดการพนันมาก่อนเลยหรือ?

และหลงลืมไปหรือเปล่าว่าตลอดประวัติศาสตร์กรุงรัตนโกสินทร์ รายได้หลักของรัฐสยามคืออากรจาก หวย บ่อน ซ่อง นั่นแปลว่าแต่ก่อนแต่ไรเราก็สร้างเมือง สร้งวัดวาอาราม หล่อเลี้ยงสยามและกรุงเทพฯ มาด้วยเงินหวย เงินบ่อนกันมาตลอดประวัติศาสตร์ของเรา มิหนำซ้ำยังเป็นการเก็บอากรบ่อน แบบไม่ต้องแคร์ชีวิตไพร่ด้วยซ้ำ ใครติดพนันจนหมดตัวก็แค่เอาลูกเอาเมียมาขายเป็นทาสเพื่อใช้หนี้

ตรงกันข้ามกาสิโนที่จะมาเปิดนั้น บริษัทมที่จะเข้ามาลงทุนใสสถานบันเทิงครบวงจรต้องมีทุนจดทะเบียนหมื่นล้าน การสร้างโรงแรมหกดาวพร้อมศูนย์ประชุม พร้อมสวนน้ำ พร้อมมิวเซียม พร้อมโรงละคร เข้าใจว่า บริษัทที่จะเข้ามาลงทุนต้องใช้เงินหลักแสนล้าน

ดังนั้น คนที่จะเข้ามาลงทุนในสถานบันเทิงย่อมไม่ใช่บริษัทอี่แก้วอี่คำที่ไหน ทว่า ต้องเป็นบริษัทระดับโลก อันสามารถยืนยันธรรมาภิบาลในการประกอบธุรกิจได้ และต้องเป็นบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจนี้ ซึ่งบนโลกใบนี้ก็มีไม่กี่บริษัท

ถามว่าเอื้อทุนใหญ่ไหม?

คำตอบก็คือแน่นอนสิ เพราะไม่มีทุนเล็กที่ไหนจะมีศักยภาพและประสบการณ์ในการทำสถานบันเทิงครบวงจรในสเกลแสนล้าน

แม้แต่สิงคโปร์ก็ยังเป็นบริษัท Lasvagas Sand Corporation ส่วนของไทยจะเป็นบริษัทไหนก็ต้องมาดูกันว่ามีใครเสนอตัวมาบ้าง

เพราะ ณ ตอนนี้ เรื่องสถานบันเทิงครบวงจรเรายังมีสภาพเป็นวุ้นอยู่เลย

 

สภาพเป็นวุ้นคือ รัฐบาลศึกษาความเป็นไปได้ของเรื่องนี้ ศึกษาผลประโยชน์ ผลกระทบ การดูแลประชาชนในด้านสังคม สิ่งแวดล้อมพลังงาน กฎหมาย ทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว ปรึกษากฤษฎีกาแล้ว ผ่านออกมาเป็น พ.ร.บ.สถานบันเทิงครบวงจร ฉบับ ครม.

ต่อจากนี้ จะต้องเอาเข้าสภา ซึ่งในสภานี้แหละ ที่ต้องถกเถียง และเชิญเถียงกันให้เต็มที่โดยเอาผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นที่ตั้ง

ไม่ใช่เถียงหรือค้าน เพราะกลัวรัฐบาลมีผลงาน!

เถียงกันในสภาแล้ว พรรคการเมืองอื่นสามารถเสนอร่างมาประกบได้ เฉกเช่นเกียวกับ พ.ร.บ.สุราฯ พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม ที่มีหลายร่างจากหลายพรรคการเมืองส่งเข้ามาประกบ

จากนั้นก็เข้าสู่การตั้งกรรมาธิการเพื่อปรับแก้ร่างกฎหมายนี้ ที่ต้องมีภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม มีนักวิชาการเข้ามามีส่วนร่วม

ผ่านทุกกระบวนการนี้ยังไม่รู้ว่าจะผ่านหรือไม่ผ่าน เพราะต้องไปลุ้นอีกว่า ส.ว.จะเอาด้วยหรือเปล่า

ดังนั้น การกล่าวหาเรื่องเร่งรีบ เร่งรัด อะไรนั้นจึงไม่สมเหตุสมผล เพราะการนำร่าง ครม.เข้าสภา ไม่ได้แปลว่าเข้าแล้วผ่านเลย พรรคเพื่อไทยสั่งให้ทุกคนในพรรคร่วมโหวตรับได้

แม้แต่พรรคประชาชาติอาจจะขอไม่ออกเสียงเพราะขัดกับหลักศาสนาอะไรหรือเปล่าก็ยังไม่รู้

พรรคร่วมอื่นๆ จะอยากแก้อะไรหรือเปล่าก็ยังไม่รู้ แต่นี่คือกระบวนการรัฐสภาแบบประชาธิปไตยไงล่ะ ประชาธิปไตยคือ ต่อให้เป็นรัฐบาลก็สั่งซ้ายหันขวาหันไม่ได้ การเป็นร่าง ครม. ไม่ได้การันตีว่าจะได้ทำ

 

ทําไมรอไม่ได้?

คำถามคือ แล้วจะรอหาบิดามารดาไปทำไมคะ?

เวลาไม่ได้มีเยอะ อะไรที่ทำได้ก็ทำ อะไรที่พร้อมแล้วก็เดินหน้าไป ครม. มีร่างเสร็จแล้วก็เอาเข้าสภาไป เข้าไปแล้วจะผ่านหรือตก ก็แล้วแต่ผู้แทนราษฎรในสภาว่าจะให้ผ่าน จะอยากทำหรือไม่?

ฝ่ายผู้เสนอร่างจะสามารถมีเหตุผลโน้มน้าวคนอื่นให้เห็นด้วยในหลักการของตนหรือไม่?

สุดท้ายฉันก็ไม่รู้ว่าประเทศไทยจะได้มีมารินาเบย์แซนด์กับเขาบ้างไหม

ใจก็อยากให้มี อยากดูละครบรอดเวย์แบบไม่ต้องบินไปเมืองนอก และคิดว่ามันจะมีเม็ดเงินมาหมุนอยู่ในประเทศและสร้างงานสร้างรายได้ให้คนไทยได้ชื่นมื่นในท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลกตอนนี้

ย้ำว่าการจะมีหรือไม่มีสถานบันเทิงครบวงจรนี้ ไม่ได้กระทบต่อชีวิตของนักการเมืองคนไหน หรือพรรคการเมืองไหน ตระกูลชินวัตรจะไม่ได้รวยขึ้นหรือจนลง ต่อให้ไม่มีโครงการอะไรเลยในประเทศไทย ชินวัตรหรือใครต่อใครในรัฐบาลก็คงไม่ได้ผลกระทบ ไม่ได้ยากจนลงแม้แต่แต่น้อย

แต่การมีหรือไม่มีสิ่งนี้มันกระทบที่คนไทยอย่างเรานี่แหละ

จนป่านนี้ที่สิงคโปร์มีมารินาเบย์แซนด์ มี Sentosha ยิ่งใหญ่อลังการมาหนึ่งชาติเต็ม ประเทศไทยคนไทยยังอยากดักดานล้าหลังไม่ต้องการสิ่งนี้ รุมด่ารุมทึ้งจนไม่ต้องมีอะไรใหม่ๆ ในประเทศ ก็คงต้องแล้วแต่คนไทยทั้งหลาย เพราะตัวฉันก็มีหนึ่งเสียงเท่ากับคนอื่นๆ

เพราะฉะนั้น ก่อนจะออกมาด่า ก่อนจะออกมาค้าน ถามตัวเองดีๆ ว่า ค้านเรื่องนี้เพราะกลัวกาสิโนหรือค้านเรื่องนี้เกลียดแพทองธาร ชินวัตร เกลียดพรรคเพื่อไทย เกลียดเสียจนยอมอยู่อย่างดักดาน ไม่พัฒนา ยอมอยู่แบบด้อยค้า ล้าหลัง ยังดีกว่านั่งดูแพทองธารทำงานสำเร็จ

จะเอาแบบนี้กันจริงๆ เหรอ?

หากกลัวว่ากฎหมายไม่รัดกุม ก็ไปช่วยกันวิจารณ์ให้เรื่องนี้มันดี มันรัดกุม ไม่ใช่มาอ้างว่ากาสิโนทำประเทศฉิบหาย มันคนละเรื่องกัน

ยิ่งกว่านั้นอย่ามาเอาผลประโยชน์ของประเทศมาเป็นเดิมพันเพียงเพราะอยากล้มรัฐบาล!

ตอนทักษิณก็ว่าขายชาติ

ตอนยิ่งลักษณ์ก็ว่ารอถนนลูกรังหมดประเทศ

มาแพทองธารก็ยังเอาเรื่องกาสิโนมาอ้าง

ไม่ชอบพรรคเพื่อไทยก็เรื่องหนึ่ง แต่อย่าให้ถึงกับยอมดักดานไม่พัฒนาเลย