ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 11 - 17 เมษายน 2568 |
---|---|
คอลัมน์ | ตุลวิภาคพจนกิจ |
ผู้เขียน | ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ |
เผยแพร่ |
ตุลวิภาคพจนกิจ | ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ
‘รางวัลศรีบูรพา’ ประจำปี 2568
สัปดาห์นี้ผมมีเรื่องเล่าให้ทุกท่านรับทราบด้วยความตื้นตันและปีติยินดีเป็นอย่างสูง ต่อกองทุนศรีบูรพาในการประกาศให้ “รางวัลศรีบูรพา” ประจำปี 2568 แก่ผม
“รางวัลนี้ก่อตั้งขึ้นมาเพื่อรำลึกและเผยแพร่เกียรติประวัติของ นายกุหลาบ สายประดิษฐ์ “ศรีบูรพา” (2448-2517) นักประชาธิปไตย นักเขียนและนักหนังสือพิมพ์คนสำคัญของไทยและของโลก”
ต้องสารภาพว่าผมตกตะลึงและไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะมีวันนี้ในอาชีพที่ต้องเขียนหนังสือ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นงานวิชาการทางประวัติศาสตร์การเมือง คอลัมน์วิเคราะห์การเมืองทั้งไทยและต่างประเทศที่เป็นงานวรรณกรรมนั้นแทบไม่มี มีเรื่องสั้นเรื่องเดียวที่เคยตีพิมพ์คือ “ลม ฝน ต้นไม้และคน” ใน วิทยาสาร (มิถุนายน 2513)
ผมหันไปศึกษาประวัติวรรณกรรมกับการกบฏ เมื่อตระหนักว่าวรรณกรรมสมัยใหม่นั้นล้วนมีพลังอำนาจในการเปลี่ยนแปลงความคิดของคนและสังคมได้
จุดนี้เองที่ผมคิดว่างานเขียนที่สามารถสร้างแรงสะเทือนให้แก่สังคมได้ล้วนถือได้ว่าเป็นวรรณกรรมในความหมายที่กว้างได้
นักเขียนไทยที่เต็มเปี่ยมไปด้วยสำนึกในบทบทและหน้าที่ของวรรณกรรมดังกล่าวนี้เป็นอย่างดีไม่มีใครเกินคุณกุหลาบ สายประดิษฐ์ “ศรีบูรพา” ในคำนำแก่ “สงครามชีวิต” ท่านกล่าวว่าในการเขียนเรื่องนี้มีเจตนาเป็นการใหญ่หลวงอยู่ 2 ประการ
ประการที่ 1 ข้าพเจ้าปรารถนาจะให้คนทั้งหลายมีความเห็นอกเห็นใจในกันและกัน ปรารถนาให้ผู้ที่แตกต่างกันโดยฐานะและภาวะ ได้เล็งเห็นหัวอกของซึ่งกันและกัน”
ประการที่ 2 “มุ่งหวังจะให้ผู้อ่านเข้าใจในภาวะของมนุษย์และของโลก ซึ่งเต็มไปด้วยความแปลกใหม่ อันบางทีจะไม่เคยเกิดแก่ชีวิตของท่านมาก่อน”
นั่นคือ “ความสังเวช”ในความหมายของศรีบูรพา
หากพูดอย่างสั้นๆ ศรีบูรพา ต้องการเขียนเพื่อให้คนอ่านเข้าใจในสภาวะที่เป็นอยู่จริงแต่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ทั้งในตัวมนุษย์เองและในโลกทางวัตถุทั้งหลาย
เจตนาดังกล่าวในระยะหลังผมก็ค้นพบระหว่างการศึกษาวิจัยทางประวัติศาสตร์ว่าในที่สุดงานเขียนประวัติศาสตร์ก็ไม่ใช่การเล่าเหตุการณ์ในอดีต
หากเหนือสิ่งอื่นใดการเขียนประวัติศาสตร์ต้องทำไปเพื่อให้ผู้อ่านเกิดความเข้าใจในบริบทของอดีตและต่อมาในปัจจุบันได้ด้วย
กล่าวได้ว่าพื้นฐานและแกนของความคิดทางการเมืองและสังคมของกุหลาบ สายประดิษฐ์ คือความเชื่อและปรารถนาที่จะเห็นมนุษย์ทั้งปวงเสมอภาคเท่าเทียมกันในความเป็นมนุษยชน หรือคือเห็นคนเป็นคนนั่นเอง
การที่จะมีทัศนะดังกล่าวนี้ได้ ก่อนอื่นเราก็ต้องบูชานับถือ “พระเจ้า” หรือสิ่งสูงสุดที่ร่วมกันเสียก่อน ไม่เช่นนั้นก็จะพูดกันไม่เข้าใจได้
สิ่งสูงสุดที่กุหลาบเสนอนี้ได้แก่ “ความจริง” นี่คือสิ่งที่ใหญ่ยิ่งที่สุด ไม่ใช่กษัตริย์ ขุนนางผู้มีอำนาจหรือพ่อค้าคหบดีใดๆ นี่คือสิ่งที่ทุกคนในสังคมจักต้องก้มหัวให้ เมื่อทุกคนยอมรับความจริงแล้ว การมองเห็นคนและ “ความเป็นคน” ทั้งในตัวเราเองและในคนอื่นๆ ก็จะบังเกิดขึ้นมาได้
ทางออกของมนุษยชาติตามที่กุหลาบเสนอก็คือ ผู้มีอำนาจต้องหันมายอมรับความจริง การยอมรับความจริงเท่านั้นที่จะนำมาซึ่งความสงบให้กับสังคม
เขาจึงกล่าวว่าความจริงกับความสงบนั้นเป็นของคู่กัน
กุหลาบจึงต้องต่อสู้และวิพากษ์วิจารณ์สิ่งปรุงแต่งของอำนาจในระบอบและสังคมมาโดยตลอด ต่อสู้เพื่อทำให้ความจริงปรากฏ เพื่อให้สังคมบรรลุถึงซึ่งความสงบ
หากมองจากแง่มุมนี้ งานเขียนต่างๆ ไม่ว่านวนิยาย เรื่องสั้น และบทความ ตั้งแต่ปี พ.ศ.2471 คือเรื่อง ลูกผู้ชาย มาถึง แลไปข้างหน้า ในปี พ.ศ.2498 ก็กล่าวได้ว่าดำเนินไปบนความคิดและโลกทรรศน์อันเดียวกันของมนุษยภาพทั้งสิ้น
กระนั้นก็ตามนวนิยายของ “ศรีบูรพา” มีความแตกต่างกันอย่างแน่นอน ทั้งในเรื่องของท่วงทำนอง ภาษา กลวิธีในการเขียนจนถึงเนื้อหา แต่ทั้งหมดวางอยู่บนปรัชญามนุษยภาพดังกล่าว ความแตกต่างสำคัญก่อตัวขึ้นมาจากจุดหมายของสังคมในแต่ละช่วงที่เปลี่ยนแปลงไป และจากพัฒนาการในตัวของกุหลาบเองด้วย ซึ่งปัจจัยหลังนี้น่าจะมีน้ำหนักมาก
ดังจะสังเกตได้ไม่ยาก ว่ากุหลาบนั้นให้ความสำคัญกับการศึกษาในรูปแบบต่างๆ อย่างสูงยิ่ง
การเรียนรู้เพื่อเข้าถึงความจริงและทำความจริงให้ปรากฏ เป็นเสมือนคบเพลิงที่สุกสว่างและให้ความอบอุ่นแก่วิญญาณและให้ญาณทัสนะ (vision) ที่มองสังคมในเชิงบวกแก่กุหลาบอย่างไม่จืดจาง
พัฒนาการที่น่าสนใจในเนื้อหาของนวนิยายของ “ศรีบูรพา” ที่ผมอยากนำเสนอเป็นตัวอย่างเล็กน้อยในบทความนี้ คือทัศนะเรื่องความรัก
จากการวิเคราะห์อย่างสังเขป กล่าวได้ว่าทัศนะความรักในตัวละครมีสองชนิด คือความรักที่เป็นความทุกข์ เป็นความเห็นแก่ตัว เป็นการเอาชนะเหนือกายและใจของอีกฝ่ายหนึ่งอย่างสิ้นเชิง
ความรักดังกล่าวผมเรียกว่าความรักเชิงลบ ปรากฏเป็นแกนหลักของเรื่องเช่นใน แสนรักแสนแค้น (2473) มารมนุษย์ (2473) สงครามชีวิต (2475) เป็นต้น ไม่ต้องสงสัยว่าจุดจบของนิยายเหล่านั้นคือความเศร้าและหายนะของคู่รักทั้งสอง
ในขณะที่ความรักในนวนิยายช่วงหลังคือจาก ป่าในชีวิต (พ.ศ.2480) ข้างหลังภาพ (พ.ศ.2480) มาถึง จนกว่าเราจะพบกันอีก (พ.ศ.2493) เป็นต้นมา จะมีพัฒนาการของความรักจากอารมณ์ที่หยาบไปสู่อารมณ์ที่ละเอียดมากขึ้น
จากความรักของปัจเจกชนไปสู่ความรักของคนส่วนใหญ่ จากอารมณ์ด้านลบไปสู่อารมณ์เชิงบวก คือเป็นความรักที่ไม่ใช่ความเห็นแก่ตัวเพียงถ่ายเดียว ไม่ใช่การเอาชนะและการทำลายอีกฝ่ายหนึ่ง เพื่อสนองความต้องการของตนเอง
หากความรักนำมาซึ่งการเสียสละและความไม่เห็นแก่ตัว
จนในที่สุดความรักอย่างใหม่นี้พัฒนาไปสู่การมีความรักในมนุษยชาติ เป็นความรักที่กว้างใหญ่ไพศาล
ควบคู่ไปกับนัยเชิงบวกของความรัก ก็คือบุคลิกและปัจเจกภาพของผู้หญิงโดดเด่นขึ้นมาอย่างมาก
ไม่ใช่ด้วยความสวยงามหรือมีเสน่ห์ยั่วยวนใจชายเท่านั้น หากที่สำคัญกว่าอยู่ที่การมีความคิดความอ่านและเหตุผลที่เป็นของตนเอง มีความกล้าหาญที่จะเผชิญหน้าความจริง
ดังที่แนนซี่ เฮนเดอร์สัน (จนกว่าเราจะพบกันอีก) สตรีชาวออสเตรเลีย เพียงชั่วเวลา 3 เดือนที่ได้รู้จักกัน ก็ “ได้ให้คุณค่าล้ำลึก” แก่ชีวิตของโกเมศนักเรียนไทยในออสเตรเลีย ทำให้เขาตระหนักถึงคุณลักษณะอีกแบบของความรักระหว่างชายกับหญิงนั้นว่ามิใช่มีแต่ความรักในวงแคบๆ นิดเดียวของคนสองคนเท่านั้น หากยังมีด้านที่แผ่กว้างออกไปในชุมนุมมนุษย์ ความรักที่พึงให้แก่มนุษย์ผู้เกิดมาอาภัพ ยากจนข้นแค้น”
สิ่งที่แนนซี่มอบให้โกเมศนั้น ไม่ใช่อะไรอื่นหากได้แก่ “ความจริง” “ความเสมอภาค”และ “ความสงบ” อันเราได้เห็นมาแล้วแต่ต้นว่าเป็นแก่นแกนของความคิดแห่งมนุษยภาพที่กุหลาบได้เสนอมาแต่ปี พ.ศ.2474
และนี่เองที่ผมเสนอข้อคิดว่า ความคิดทางการเมืองและสังคมของกุหลาย สายประดิษฐ์ นั้น ไม่อาจตัดตอนออกเป็นท่อนๆ จากช่วง “ประโลมใจ” (romance) แล้วกระโดดยกระดับไปสู่ “สัจจะสังคมนิยม” (social realism) อย่างเป็นกลไก
หากควรพิจารณาจากกระบวนคิดอันเดียวกันที่พัฒนาไปท่ามกลาง “สิ่งปรุงแต่ง” ของอำนาจในแต่ละยุคสมัย
ข้างหลังภาพ (2480) มองผ่านแว่นของจิตวิทยาทางสังคมและการก่อรูปของชนชั้น ผมเสนอว่า ศรีบูรพาสร้างให้หม่อมราชวงศ์กีรติเป็นตัวแทนของความคิดและเหตุผลของปัจเจกชนสมัยใหม่อย่างเต็มที่ ในขณะที่ก็มีทั้งจินตนาการ อารมณ์รู้สึกที่บ่งบอกถึงความเป็นตัวของตัวเองอย่างหนักแน่น หนักแน่นเสียจนกระทั่งนพพรและผู้อ่านต่อมาไม่อาจเข้าใจได้ว่าเธอคิดอะไรและเธอคือใครกันแน่ (ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ 2548)
“ศรีบูรพา” ทำให้เราได้เห็นว่า ความรักนั้นเป็นกระบวนการที่มีทั้งกาลเทศะ ไม่มีใครรู้แน่นอนถึงปริมาณที่แน่นอนของการก่อรูปขึ้นของอารมณ์รู้สึกแห่งความรัก หากจะมีก็คือการรู้สึก การสังหรณ์และที่ชัดมากสุดก็เมื่อเกิดอารมณ์แห่งความเป็นสุข
แต่สิ่งที่แน่นอนที่เราหรือที่คนมีรักจักต้องประสบก็คือ “ความไม่จีรัง ไม่เที่ยงแท้ ไม่แน่นอน” ของความรัก
ในข้อนี้ศรีบูรพาได้สเกตช์ภาพของความรักแบบนี้ไว้แต่เริ่มต้นจนจบ จนทำให้เหมือนว่า “ความไม่แน่นอน” แรกพบกลายเป็น “ความแน่นอน” ในวันสุดท้าย เช่น สีเสื้อผ้าของทั้งสองคนที่ตรงกันทั้งในวันแรกและวันสุดท้ายที่พบกัน โดยที่อารมณ์แห่งความรักได้เดินแยกจากกันไปแล้ว
เมื่อเวลาผ่านไป ความเป็นตัวตนที่ไม่เหมือนกันของแต่ละฝ่ายก็เติบใหญ่ นั่นคือกระบวนการวิภาษวิธีของความรู้สึกสู่ความรัก และจากความรักสู่ความรู้สึกใหม่ที่รุนแรงยิ่งขึ้น ไม่ต้องสงสัยว่าแกนกลางของกระบวนการดังกล่าวนี้อยู่ที่การปฏิบัติความเป็นปัจเจกชนในสังคมนั้นว่าแต่ละคนจะดำเนินไปในลักษณาการใด
ศรีบูรพาจบกระบวนการทางอารมณ์ของความรักด้วยวรรคทองอันอมตะ ที่ซึมซับความรู้สึกขั้นสูงสุดไว้ในความจริงอันไม่อาจปฏิเสธได้
ในขณะที่นพพรหาทางก้าวผ่านประสบการณ์ความรักขณะนั้นด้วยการลืมประสบการณ์นั้น ที่เขารับรู้แต่เพียงว่ามันคือความทุกข์เสียสิ้น หม่อมราชวงศ์กีรติยังคงความแน่นอนในน้ำทิพย์แห่งหัวใจนั้นอยู่ไม่คลาย จึงได้แต่พูดว่า
“คนเรามีความคิดเห็นในเรื่องความรักแตกต่างกัน และฉันเห็นด้วยกับเธอ ในข้อที่ว่าความรักบีบคั้นทรมานใจเรามาก และในบางคราวก็เหลือที่จะทนทาน เธอทำถูกต้องอย่างคนทั้งหลายทั่วไปแล้ว ที่ปลีกตนออกมาพ้นจากความทรมานนั้นได้ แต่คนโง่ๆ บางคนอาจปฏิบัติไม่ได้เช่นเธอ…”
หม่อมราชวงศ์กีรติต้องตาย ไม่ใช่เพราะเธอได้กล่าวคำว่า “ฉันรักเธอ” ออกมา หากเธอตายเพราะเธอเป็นอิสระชนที่มีความเป็นตัวของตัวเองสูงส่งเกินกว่าที่จะประคองความขัดแย้งอันหนักหน่วงที่เผาไหม้ภายในตัวเธอเอาไว้ได้อีกต่อไป
ดังคำพูดสุดท้ายต่อคนที่เธอรักว่า “ความรักของเธอเกิดที่นั่น และก็ตายที่นั่น แต่ของอีกคนหนึ่งยังรุ่งโรจน์อยู่ในร่างที่กำลังจะแตกดับ”
บรรณานุกรม
ธเนศอาภรณ์สุวรรณ, “ความรักของศรีบูรพา” ใน ตรีศิลป์ บุญขจร 2548. คืออิสสรชน คือคนดี คือศรีบูรพา กรุงเทพฯ โครงการ 100 ปีกุหลาบ สายประดิษฐ์ ศรีบูรพา, หน้า 374-392.
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022