เดินหน้าสู่ปีที่ 4 (9) The Battle for Kyiv

ศ.กิตติคุณ ดร.สุรชาติ บำรุงสุข

ยุทธบทความ | สุรชาติ บำรุงสุข

 

เดินหน้าสู่ปีที่ 4 (9)

The Battle for Kyiv

 

“ไม่มีอะไรเหลือเลย แม้แต่ตัวป้อมปืนรถถัง… [กำลังพล] เกือบทั้งหมด ไม่มีใครรอดชีวิตในวันนั้นเลย… หลังจาก 3 วันผ่านไปแล้ว ไม่มีใครเลย [ในสนามบิน] นอกจากพวกเราเท่านั้น”

Nikita Ponomarev

ทหารรัสเซียสังกัด 31st Guard Air Assault Brigade

เชลยศึกที่รอดชีวิตจากการจู่โจมเข้ายึดสนามบินโฮสโตเมล

 

ดังได้กล่าวแล้วว่าความล้มเหลวของแผนการยุทธ์เริ่มต้นอย่างมีนัยสำคัญจากการที่กองทัพรัสเซียไม่สามารถยึดสยามบินโฮสโตเมล เพื่อสถาปนาพื้นที่นี้ให้เป็น “สะพานทางอากาศ” (air bridge) หรือตำราทหารบางเล่มอาจเรียกว่า “หัวอากาศ” (airhead) ในอันที่จะเป็นจุดยุทธศาสตร์ของการส่งกำลังเข้ายึดเมืองหลวงของยูเครน

ถ้าเปรียบเทียบกับการยกพลขึ้นบกเช่นในตัวแบบของชายหาดที่นอร์มังดีในปี 1944 แล้ว พื้นที่นี้ก็เป็นดัง “หัวหาด” (beachhead) ที่กำลังเสริมจะถูกส่งเข้ามา ดังจะเห็นได้จากพจนานุกรม Cambridge นิยามหัวหาดว่าเป็นพื้นที่สำคัญที่กองทัพ (ฝ่ายเรา) ยึดไว้ในดินแดนของข้าศึก และจากจุดนี้เอง กองทัพจะสามารถออกโจมตีข้าศึกในจุดอื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ

โดยนัยทางทหารแล้ว “หัวอากาศ” กับ “หัวหาด” ไม่ได้แตกต่างกัน พื้นที่เช่นนี้จึงมีความสำคัญในทางยุทธศาสตร์ทหารอย่างมาก เพราะการรักษาพื้นที่เช่นนี้ไว้ได้ จะทำให้การส่งกำลังเสริมหรือการสนับสนุนต่างๆ จากการส่งกำลังบำรุงเป็นสิ่งที่เป็นไปได้

หากปราศจากพื้นที่เช่นนี้แล้ว การดำเนินการยุทธ์เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ทางยุทธศาสตร์ทหารที่ต้องการ จะเป็นไปได้ยาก หรืออาจเป็นไปไม่ได้เลย

อย่างไรก็ตาม จะมีความต่างของการใช้กำลังในบริบทของพื้นที่ เพราะการยึดหัวหาดจะดำเนินการโดยการยุทธ์สะเทินน้ำสะเทินบก (amphibious operation) ซึ่งมักจะใช้กำลังของหน่วยนาวิกโยธิน และกำลังทหารราบที่ถูกฝึกในการยกพลขึ้นบกมาแล้ว ในขณะที่การยึดหัวหาดเพื่อสร้างสะพานเชื่อมทางอากาศนั้น จะดำเนินการโดยทหารราบส่งทางอากาศ หรือหน่วยรบพิเศษ

ความสำเร็จไม่ว่าจะเป็นการสร้างสะพานทางอากาศหรือการยึดหัวหาด ก็เพื่อให้มีพื้นที่วางกำลังในดินแดนข้าศึก ที่ฝ่ายเราจะใช้เป็น “ฐานส่วนหน้า” ที่จะขยายผลไปสู่ปฏิบัติการอื่นๆ

ตัวอย่างเช่น ความสำเร็จของการเปิดหัวหาดที่นอร์มังดี คือการ “เปิดประตูยุโรป” ที่เริ่มต้นด้วยการปลดปล่อยฝรั่งเศส และนำไปสู่การปลดปล่อยประเทศอื่นๆ ในยุโรปในเวลาต่อมา

แต่การปลดปล่อยเช่นนี้จะทำไม่ได้เลย ถ้าฝ่ายสัมพันธมิตรไม่ประสบความสำเร็จในการยกพลขึ้นบกที่หาดนอร์มังดีของฝรั่งเศส

ดังนั้น เมื่อกองทัพรัสเซียล้มเหลวในการเข้ายึดสนามบินโฮสโตเมล จึงไม่สามารถสถาปนาพื้นที่ที่เป็นหัวหาดได้ อันทำให้ปฏิบัติการของกองทัพรัสเซียที่จะ “เปิดประตูเคียฟ” เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองของยูเครนนั้น เป็นไปไม่ได้ด้วย

แต่แน่นอนว่ารัสเซียไม่ได้มีแผนเดียว ที่จะยึดเมืองหลวงของยูเครนด้วยกำลังทหารพลร่มและหน่วยรบพิเศษเท่านั้น เพราะกำลังทางบกอีกส่วนได้เคลื่อนตัวเป็นหัวหอกจากชายแดนเบลารุส โดยมีเป้าหมายอยู่ที่เคียฟ

 

ศพแรกทหารรัสเซีย!

ดังได้กล่าวแล้วว่าการจู่โจมยึดสนามบินโฮสโตเมลเป็นความล้มเหลวแรกของกองทัพรัสเซียอย่างเป็นรูปธรรม กำลังพลของกองพลน้อยที่ 31 ที่ลงพื้น โดยปราศจากการสนับสนุนทางอากาศ และทั้งยังขาดการเสริมกำลัง เนื่องจากเครื่องบินลำเลียงพลขนาดใหญ่ไม่สามารถลงจอดได้ และยังถูกเครื่องบินขับไล่ของยูเครนยิงตกอีกถึง 2 ลำนั้น ถือเป็นความสูญเสียขนาดใหญ่

ฉะนั้น ในรุ่งสางของวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2022 เมื่อกองพลน้อยเคลื่อนที่เร็วที่ 4 ของยูเครน (4th Rapid Reaction Brigade) เคลื่อนกำลังเข้าสู่พื้นที่เป้าหมาย เพื่อเตรียมยึดสนามบินคืนนั้น ทหารรัสเซียตกอยู่ในสภาพโดดเดี่ยว และไม่มีอาวุธหนักสนับสนุนแต่อย่างใด พวกเขาทำได้เพียงอาศัยอาคารและสิ่งปลูกสร้างของสนามบินเป็นที่หลบภัย

และในเวลาไม่นานนักก่อนที่แสงพระอาทิตย์ของเช้าวันนั้นจะเริ่มขึ้น หน่วยปืนใหญ่ของกองทัพยูเครนก็เปิดการระดมยิงตัวอาคารและพื้นที่ของสนามบินแห่งนี้

ในสภาพเช่นนี้ สนามบินโฮสโตเมลกลายเป็น “พื้นที่สังหาร” หน่วยพลร่มรัสเซียอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ปืนใหญ่ยูเครนเปิดการระดมยิงเป้าหมายในระยะใกล้ราว 2 ชั่วโมง… ทหารรัสเซียและยุทโธปกรณ์ที่มีอยู่ถูกทำลายเกือบหมด

คำอธิบายสั้นๆ คือกำลังพลเกือบทั้งหมด “ไม่มีใครรอดชีวิตในวันนั้นเลย”

หรือกล่าวในทางทหารได้ว่า กองพลน้อยจู่โจมที่ 31 ของรัสเซียถูกสลายหน่วย และสิ้นสภาพจากอำนาจการยิงของยูเครน (ดูคำบรรยายถึงสถานการณ์ที่สนามบินจากข้อความในข้างต้น)

ไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนว่าศพแรกของทหารรัสเซียในสงครามยูเครนคือใคร แต่หนึ่งในศพแรกๆ ในสงครามคือ สิบเอก Ilnur Sibgatullin อายุ 31 ปี จากเมือง Nizhnekamsk ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆ ในสาธารณรัฐตาตาร์สถาน (Republic of Tatarstan)

พิธีศพของเขาได้รับการจัดอย่างสมเกียรติในบ้านเกิดนานถึง 6 วัน และเป็นศพทหารแรกของรัสเซียที่มีการจัดพิธีทางทหารอย่างเป็นทางการเต็มรูปแบบ

เราตอบได้ดีจากประวัติศาสตร์สงครามว่า หลังจากศพแรกในสนามรบแล้ว จะมีศพของทหารทั้ง 2 ฝ่ายตามมาอีกเป็นจำนวนมาก…

ตัวเลขจากข้อมูลข่าวกรองจากแหล่งเปิดของอังกฤษ นับจากวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2022 จนถึงวันที่ 20 มีนาคม 2025 นั้น กองทัพรัสเซียประสบความสูญเสียทหารประมาณ 9 แสนนาย (ยอดรวมทหารตายและบาดเจ็บ) ในจำนวนนี้ ทหารรัสเซียเสียชีวิตราว 2 แสน-2 แสน 5 หมื่นนาย

ซึ่งถือเป็นความสูญเสียที่ใหญ่ที่สุดของกองทัพรัสเซียนับจากสงครามโลกครั้งที่ 2 (Defense Intelligence, 20 March 2025)

ดังเป็นที่ทราบกันดีว่าสนามรบยูเครนกลายเป็น “สุสานทหารรัสเซีย” อันเป็นผลจากการเสียชีวิตที่เกิดอย่างต่อเนื่อง จนในที่สุดรัฐบาลต้องสั่งยุติการจัดพิธีศพทหารอย่างเป็นทางการ เพราะภาพของพิธีนี้มีซ้ำแล้วซ้ำอีกในหลายเมือง จนกลายเป็นปัจจัยบั่นทอนขวัญของทหารรัสเซียในแนวหน้า และทำลายกำลังใจของชาวรัสเซียอย่างมาก

อีกทั้งการจัดพิธีดังกล่าวยังเป็นปัจจัยบั่นทอนเครดิตของรัฐบาลปูติน ไม่แตกต่างจากปรากฏการณ์ที่เคยเกิดในสงครามอัฟกานิสถานมาแล้ว

ดังนั้น พิธีศพทหารอย่างเป็นทางการสำหรับกำลังพลทั่วไปจึงถูกยกเลิก และอนุญาตให้มีการจัดพิธีเฉพาะนายทหารระดับสูงเท่านั้น เพื่อไม่ให้เกิดผลร้ายต่อรัฐบาลเช่นในอดีตของกองทัพโซเวียตในอัฟกานิสถาน

 

ความล้มเหลวของการรุกจากเบลารุส

กองทัพรัสเซียไม่ได้วางแผนจู่โจมยึดเคียฟด้วยการใช้หน่วยพลร่มเท่านั้น หากยังมีการเคลื่อนกำลังรบทางบกขนาดใหญ่ออกจากเบลารุส

กำลังทหารราบรัสเซียถูกจัดเป็น 2 ขบวนรบใหญ่ โดยขบวนแรกพุ่งตรงเข้าหาเมืองหลวงของยูเครน เส้นทางที่ใกล้ที่สุดจะต้องผ่านจุดที่อันตรายที่สุดคือ โรงไฟฟ้าพลังงานเชอร์โนบิล ที่เป็นจุดของ “ภัยพิบัติเชอร์โนบิล” (The Chernobyl Disaster) อันเป็นภัยพิบัตินิวเคลียร์ที่ร้ายแรงที่สุดชุดหนึ่งของโลก ซึ่งเกิดในวันที่ 26 เมษายน 1986

แต่กองทัพรัสเซียตัดสินใจเช่นนั้น พร้อมกับส่งกำลังเข้ายึดโรงไฟฟ้าดังกล่าว ทั้งที่เป็นพื้นที่ต้องห้ามที่มีระดับของกัมมันตรังสีร้ายแรง

ขบวนที่ 2 ลงมาทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำนีเปอร์ (Dnieper River) ซึ่งเป็นแม่น้ำสายที่ยาวที่สุดและเป็นสายหลักของยูเครน และเคลื่อนกำลังลงมาทางเมืองเชอร์นิฮิฟ (Chernihiv) และขบวนรบทั้ง สองประสบปัญหาอย่างมากในการเคลื่อนตัว

ส่วนหน้าที่เป็นดัง “หัวหอก” ของขบวนรบนี้ที่พุ่งจากชายแดนไปยังเมืองหลวงของยูเครน มีความยาวประมาณ 60 กิโลเมตร เป็นขบวน “คอนวอยทหาร” ที่มีความยาวอย่างไม่เคยเห็นมาก่อน ซึ่งประกอบด้วยรถรบและยานยนต์ทหารแบบต่างๆ

จนหลายคนเชื่อว่า อนาคตของเคียฟน่าจะเหลือระยะเวลาอีกไม่นาน เพราะด้วยการเปิดการยุทธ์ในแบบของ “สงครามยานยนต์” เต็มรูปแบบเช่นนี้ โอกาสที่กองทัพยูเครนจะรับมือได้นั้น น่าจะมีไม่มากนัก

หรือกล่าวในทางทหารก็คือ เรากำลังเห็นการกลับมาของ “สงครามตามแบบ” เต็มรูปอย่างคาดไม่ถึง เพราะปฏิบัติการในปี 2014 ก็ไม่ใช่ในระดับของการใช้สงครามตามแบบเต็มรูปเช่นนี้

เมื่อยิ่งเปรียบเทียบอำนาจกำลังรบแล้ว ก็ยิ่งมองไม่เห็นว่ากองทัพยูเครนจะหยุดยั้งขบวนรบของรัสเซียทั้ง 2 ส่วนที่พุ่งเข้าหาเคียฟได้อย่างไร… อนาคตของยูเครนน่าจะเริ่มนับถอยหลังได้แล้ว

แต่แล้วทุกอย่างดูจะพลิกผันไปหมด…

ในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ อันเป็นวันที่ 3 ของการเปิดยุทธการนั้น ขบวนยานยนต์ของรัสเซียกลับจอดหยุดนิ่ง ซึ่งมีทั้งปัญหาการขาดแคลนเชื้อเพลิง รถเสีย หรือถูกทำลายจากการต่อต้านของยูเครน โดยเฉพาะในพื้นที่ชานเมืองด้านเหนือของกรุงเคียฟ ไม่ว่าจะเป็นที่บูชา (Bucha) เออร์พิน (Irpin)

[ซึ่งพื้นที่เหล่านี้ในเวลาต่อมาอยู่ภายใต้การยึดครองของรัสเซีย และมีการสังหารประชาชนชาวยูเครนอย่างโหดร้าย ดังที่ปรากฏเป็นข่าว แม้รัสเซียจะยืนกรานปฏิเสธ แต่ภาพของเหยื่อจากการสังหารนั้น มีความชัดเจน]

อย่างไรก็ตาม การหยุดนิ่งของขบวนรถรบของกองทัพรัสเซียนั้น กลายเป็นเป้านิ่งอย่างดีให้แก่ชุดปฏิบัติการขนาดเล็กของกองทัพยูเครนที่ใช้อาวุธต่อต้านรถถังได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นอาวุธแบบ NLAWs หรือจรวดทำลายรถถังแบบ Javelins หรือในอีกส่วนถูกทำลายด้วยการโจมตีของโดรนราคาถูกแบบ Bayraktar TB2 (สงครามยูเครนกลายเป็นการโฆษณาการตลาดอย่างดีให้แก่โดรนดังกล่าวของตุรกี)

สภาวะเช่นนี้อาจกล่าวในภาษาทหารได้ว่า รถถังและรถรบรัสเซียกลายเป็น “เป็ดนิ่งลอยน้ำ” (sitting ducks) ให้ทหารยูเครนทำหน้าที่เป็น “นายพรานนักล่า” ยิงทำลาย…

ขบวนรบของกองทัพรัสเซียประสบความเสียหายอย่างหนัก ซึ่งเป็นสิ่งที่ฝ่ายเสนาธิการใหญ่ของรัสเซียไม่คาดคิดมาก่อน ความหวังของปูตินและผู้นำทหารรัสเซียที่ต้องการเห็นยุทธการ 2022 ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วในการยุทธ์ในปี 2014 นั้น สิ้นสภาพไปโดยปริยาย

 

ธรรมชาติสงครามเปลี่ยน

ความหวังของผู้นำรัสเซียที่จะยึดยูเครนให้ได้อย่างรวดเร็วตามทฤษฎีการทหารในแบบ “สงครามดำเนินกลยุทธ์” (Maneuver Warfare) ที่สามารถดำเนินการรบด้วยการรุกอย่างรวดเร็วนั้น สลายไปตั้งแต่ 3 วันแรกของการรบ ทั้งที่มีการตั้งเป้าหมายทางทหารที่จะต้องยึดยูเครนให้ได้ใน 3 วัน สิ่งนี้ในอีกด้านคือ ภาพสะท้อนถึงความล้มเหลวทางยุทธศาสตร์ของรัสเซียอย่างมีนัยสำคัญ

ผลจากความล้มเหลวเช่นนี้ ทำให้ธรรมชาติของสงครามยูเครนเปลี่ยนไปทันทีสู่ความเป็น “สงครามทอนกำลัง” (Attrition Warfare)… นับจากนี้เป็นต้นไป สงครามยูเครนจะทอดเวลายาวออกไป และเป็นการรบต่อเนื่องติดพันไม่มีจุดจบ

หรือกล่าวในบริบทของประวัติศาสตร์สงครามก็คือ สงครามยูเครนกำลังมีสภาพคล้ายกับสงครามโลกครั้งที่ 1 นั่นเอง!