ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 18 - 24 เมษายน 2568 |
---|---|
ผู้เขียน | พล.อ.บัญชร ชวาลศิลป์ |
เผยแพร่ |
บทความพิเศษ | พล.อ.บัญชร ชวาลศิลป์
ปรีดี แปลก อดุล
: คุณธรรมน้ำมิตร (62)
จากไฮฟองสู่ฮานอย
: จุดเริ่มของสงครามเวียดนาม
ปฏิบัติการของกองทหารฝรั่งเศสเต็มรูปแบบทั้งทางบก ทางทะเลและทางอากาศเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 1946 จนสามารถยึดเมืองท่าไฮฟองได้ ทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 6,000 คน
ฝ่ายการเมืองทั้งสองฝ่ายพยายามหาทางแก้ไขเพื่อยุติการปะทะและป้องกันไม่ให้ขยายตัวเป็นสงครามเต็มรูปแบบแต่ผู้บัญชาการกองทัพฝรั่งเศสที่ปฏิบัติการอยู่ในกรุงฮานอยปฏิเสธการเจรจา
เมื่อข่าวการยึดเมืองท่าไฮฟองของกองทัพฝรั่งเศสมาถึงกรุงฮานอย ความโกลาหลได้เกิดขึ้นในหมู่ประชาชน บ้างหลบหนีจากเมืองไปยังเขตป่าเขา
ส่วนผู้ที่ยังอยู่ก็ร่วมมือกับรัฐบาลและกองทัพสาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนามตามคำเรียกร้องของคณะกรรมาธิการแนวร่วมเวียดมินห์แห่งกรุงฮานอยในการเตรียมการป้องกันเมือง
หนังสือพิมพ์เวียดนามต่างโจมตีนายพลดาร์ชองลีเยอผู้บัญชาการทหารฝรั่งเศสว่าละเมิดข้อตกลงเดือนมีนาคมและข้อตกลงชั่วคราว
การลาดตระเวนที่เคยร่วมกันระหว่างทหารฝรั่งเศสที่ประจำการอยู่ในกรุงฮานอยและทหารเวียดมินห์เพื่อรักษาความสงบจึงยุติลง
ลุกลามไปสู่การปะทะกันของประชาชนทั้งสองฝ่ายตามท้องถนน
สถานการณ์ตึงเครียดมากยิ่งขึ้นเมื่อกองทัพฝรั่งเศสเริ่มขยายการปฏิบัติการไปยังเมืองสำคัญทั่วทั้งพื้นที่เหนือเส้นขนานที่ 16 โดยเฉพาะส่วนเหนือของเขตอันนัมซึ่งทำให้กรุงฮานอยถูกตัดขาดจากพื้นที่อื่นๆ และส่งกำลังจากกรุงไซ่ง่อนมาเพิ่มที่เมืองท่าไฮฟอง
โฮจิมินห์แก้ไขสถานการณ์ด้วยการส่งโทรเลขไปยังเลออง เบลิง นายกรัฐมนตรีคนใหม่ซึ่งสืบทอดอำนาจจากบิโดลท์นายกรัฐมนตรีก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม ค.ศ.1946
โฮจิมินห์หวังว่าเบลิงซึ่งเป็นแกนนำคนสำคัญของพรรคสังคมนิยมซึ่งประกาศแนวนโยบายการให้เอกราชแก่อินโดจีน รวมถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอาณานิคมอีกครั้งเพื่อช่วยยุติการปฏิบัติการของฝ่ายทหาร
แต่พรรคสังคมนิยมและพรรคคอมมิวนิสต์ก็มีเสียงไม่มากพอในรัฐบาลผสมจึงไม่สามารถผลักดันแนวนโยบายดังกล่าวได้
โทรเลขที่ส่งถึงกรุงปารีสก็ล่าช้าเนื่องจากเจ้าหน้าที่ฝรั่งเศสที่กรุงไซ่ง่อนถ่วงเวลาไว้
ในวันที่ 18 ธันวาคม กองทัพฝรั่งเศสส่งชุดปฏิบัติการล่วงหน้าหลายร้อยนายโดดร่มลงยังกรุงฮานอยเพื่อสมทบกับทหารที่ประจำการอยู่และสามารถยึดที่ทำการกระทรวงบางแห่งของรัฐบาลสาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนามได้
รัฐบาลสาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนาม คณะกรรมาธิการกลางพรรคคอมมิวนิสต์อินโดจีน กองทัพเวียดมินห์และคณะกรรมาธิการแนวร่วมเวียดมินห์แห่งกรุงฮานอยต้องเปิดประชุมเร่งด่วนเพื่อรับมือสถานการณ์ดังกล่าว
เมื่อกองทัพฝรั่งเศสจากเมืองท่าไฮฟองเคลื่อนทัพมาถึงกรุงฮานอยในวันถัดมาก็ยื่นคำขาดแก่กองทัพสาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนามและกองกำลังอาสาสมัครให้วางอาวุธ รวมทั้งให้ถ่ายโอนอำนาจการปกครองกรุงฮานอยทั้งหมดแก่ฝรั่งเศสภายในวันที่ 20 ธันวาคม
มิฉะนั้นฝรั่งเศสจะใช้กำลังทหารเข้าบังคับ
โฮจิมินห์ออกแถลงการณ์ต่อชาวเวียดนามโดยมีใจความสำคัญว่า สงครามใต้เส้นขนานที่ 16 ได้ขยายตัวมายังพื้นที่เหนือเส้นขนานที่ 16 แล้วและเรียกร้องให้ชาวเวียดนามรวมพลังทำสงครามต่อฝรั่งเศสเพื่อให้เวียดนามเป็นเอกราช ช่วงหัวค่ำกองทัพเวียดมินห์ตัดระบบสาธารณูปโภคทั้งหมดในกรุงฮานอยและเข้าตรวจค้นที่พักอาศัยของพลเรือนฝรั่งเศส กองทัพฝรั่งเศสจึงเปิดฉากโจมตีกองทัพเวียดมินห์ทันที
ในกลางดึกทหารฝรั่งเศสพยายามบุกเข้าจับกุมโฮจิมินห์ที่บ้านพักภายในบริเวณจวนข้าหลวงประจำเขตตังเกี๋ยแต่ล้มเหลว โฮจิมินห์พร้อมทั้งคณะรัฐบาลสามารถหลบหนีออกจากกรุงฮานอยไปยังเขตป่าเขาทางภาคเหนือของเขตตังเกี๋ย
เมื่อสิ้นสุดวันที่ 20 ธันวาคม ที่ทำการรัฐบาลและสถานที่ราชการทุกแห่งของรัฐบาลสาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนามถูกทหารฝรั่งเศสยึดได้ทั้งหมด
เมื่อเข้าสู่ ค.ศ.1947 การปะทะในกรุงฮานอยยังคงดำเนินต่อไปอย่างดุเดือด เบลิงนายกรัฐมนตรีฝรั่งเศสก็เปลี่ยนแปลงแนวนโยบายเกี่ยวกับเวียดนามจากที่เคยสนับสนุนให้ได้เอกราช เป็นการฟื้นฟูกฎระเบียบขึ้นมาใหม่ทั้งส่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอาณานิคมมายังกรุงไซ่ง่อนเพื่อตรวจสอบการปฏิบัติการ
นอกจากนั้น นายพลดาร์ชองลีเยอ ผู้บัญชาการทหารฝรั่งเศสยังเสนอให้สถาปนาจักรพรรดิบ๋าวได่ซึ่งลาออกจากที่ปรึกษาของรัฐบาลสาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนามและลี้ภัยไปยังฮ่องกงตั้งแต่กลาง ค.ศ.1946 กลับสู่ตำแหน่งประมุขของเวียดนามอีกครั้ง
การสู้รบดำเนินไปจนถึงวันที่ 17 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1947 กองทัพเวียดมินห์ชุดสุดท้ายจึงล่าถอยออกจากเมือง ฝรั่งเศสจึงเริ่มขยายการปฏิบัติการให้ครอบคลุมเหนือเส้นขนานที่ 16
“สงครามเวียดนาม” ครั้งที่ 1 ระหว่างฝรั่งเศสกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนามเริ่มต้นขึ้น
นโยบายของสหรัฐอเมริกาต่อสงครามอินโดจีน
สหรัฐอเมริกาติดตามสถานการณ์ในอินโดจีนอย่างใกล้ชิดนับตั้งแต่การปะทะเริ่มต้นขึ้นที่กรุงไซ่ง่อนจนขยายตัวกลายเป็นสงครามใต้เส้นขนานที่ 16 รวมถึงการปะทะที่เมืองท่าไฮฟองและกรุงฮานอยซึ่งนับเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามอินโดจีนอย่างเป็นทางการ
ก่อนหน้านี้นับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 สหรัฐอเมริกายังไม่ตัดสินว่ารัฐบาลสาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนามและสงครามอินโดจีนเป็นส่วนหนึ่งในการขยายอิทธิพลของลัทธิคอมมิวนิสต์หรือถูกสหภาพโซเวียตชักจูง
แต่ครั้นถึง ค.ศ.1947 สงครามเย็นในยุโรปได้ปรากฏขึ้นอย่างชัดเจน กอปรกับสงครามกลางเมืองจีนระหว่างจีนคณะชาติกับพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่ดำเนินมากว่า 1 ปีก็ทวีความรุนแรงมากขึ้นและมีแนวโน้มว่าพรรคคอมมิวนิสต์จีนอาจเป็นฝ่ายชนะ
สหรัฐอเมริกาจึงเริ่มตั้งสมมุติฐานว่าสงครามอินโดจีนอาจเป็นส่วนหนึ่งในการขยายอิทธิพลของลัทธิคอมมิวนิสต์ตามทฤษฎีโดมิโน
หากสมมุติฐานนี้ถูกต้องก็จะกระทบต่อนโยบายโลกเสรีของตน ความกังขาและวิตกกังวลดังกล่าวจึงนำไปสู่ความพยายามเสนอความช่วยเหลือให้แก่ฝรั่งเศสให้สามารถสถาปนาอำนาจการปกครองอินโดจีนขึ้นใหม่เพื่อเป็นแนวหน้าต่อต้านคอมมิวนิสต์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ค.ศ.1947 จึงเป็นจุดเปลี่ยนที่ชัดเจนในการเปลี่ยนแปลงนโยบายของสหรัฐอเมริกาต่ออินโดจีนและกลายเป็นจุดเริ่มต้นในความเกี่ยวข้องกับสงครามเวียดนามที่จะดึงให้สหรัฐอเมริกาต้องถลำลึกเข้ามาเกี่ยวข้องมากขึ้นจนถึง ค.ศ.1975 ที่จบลงด้วยชัยชนะของฝ่ายสาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนาม
ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทยนั้น น่าสนใจว่า ค.ศ.1947 ซึ่งตรงกับ พ.ศ.2490 ได้เกิดความร่วมมือระหว่างฝ่ายอนุรักษนิยมกับคณะทหารนอกราชการก่อการรัฐประหารขึ้นในประเทศไทยเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน อันจะนำไปสู่ความเกี่ยวข้องกับบทบาทของสหรัฐอเมริกาในสงครามเย็นและสงครามเวียดนามในเวลาต่อมา
ปรีดีกับสหรัฐอเมริกา
ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกาในสงครามเวียดนามนั้นมีจุดเริ่มมาจากความสัมพันธ์ระหว่างนายปรีดี พนมยงค์-สหรัฐอเมริกา-โฮจิมินห์ตั้งแต่ครั้งสงครามโลกครั้งที่ 2
ความสัมพันธ์ระหว่างนายปรีดี พนมยงค์ กับสหรัฐอเมริกามีความคล้ายคลึงกับความสัมพันธ์ระหว่างโฮจิมินห์กับสหรัฐอเมริกาอยู่ไม่น้อย
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ประธานาธิบดีโรสเวลต์ประกาศนโยบายชัดเจนว่า เมื่อสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ระบอบอาณานิคมทั่วโลกจะต้องถูกยกเลิก ทุกประเทศจะต้องมีอิสระในการกำหนดอนาคตของตนซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของโฮจิมินห์เป็นอย่างยิ่งถึงกับใช้เป็นแบบอย่างในการปลดปล่อยเวียดนามแล้วนำประโยคทองในคำประกาศอิสรภาพของสหรัฐอเมริกาเป็นประโยคนำในการประกาศเอกราชของสาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนาม รวมทั้งการร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับหน่วยโอเอสเอสของกองทัพสหรัฐในสงครามต่อต้านญี่ปุ่น
ไม่แตกต่างจากเป้าหมายและอุดมการณ์ของขบวนการเสรีไทยที่มีนายปรีดี พนมยงค์ เป็นผู้นำที่ต้องการปลดแอกจากการยึดครองของญี่ปุ่นซึ่งนำไปสู่บทบาทเคียงบ่าเคียงไหล่กับหน่วยโอเอสเอสของกองทัพสหรัฐในการเตรียมสงครามต่อต้านญี่ปุ่นเช่นเดียวกัน
ในกรณีของเวียดนาม นโยบายของประธานาธิบดีโรสเวลต์ไม่เป็นที่พอใจของประเทศเจ้าอาณานิคมโดยเฉพาะฝรั่งเศสจนเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลงหลังประธานาธิบดีโรสเวลต์ถึงแก่อสัญกรรม ประธานธิบดีทรูแมนก็เปลี่ยนแปลงนโยบายนี้แบบหน้ามือเป็นหลังมือเป็นให้การสนับสนุนฝรั่งเศสเข้ายึดครองอินโดจีนต่อไป
การกลับหลังหันของสหรัฐอเมริกาที่ประกาศออกมาชัดเจนใน ค.ศ.1947 ครั้งนี้สืบเนื่องมาจากการให้น้ำหนักความสำคัญในการต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์มากกว่าประเด็นอิสรภาพของประเทศที่ตกเป็นอาณานิคม นโยบายนี้มีความชัดเจนใน ค.ศ.1947 (พ.ศ.2490) แล้วสรุปอย่างรวบรัดก่อนประทับเครื่องหมายค้อนเคียวกับโฮจิมินห์
และเริ่มเปลี่ยนท่าทีต่ออดีตมหามิตรอย่างนายปรีดี พนมยงค์ ที่ให้การสนับสนุนขบวนการกู้ชาติของโฮจิมินห์อย่างเปิดเผยมาโดยตลอด
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022