สถานีบางกอกน้อย และโรงพยาบาลศิริราชในยามศึก (จบ)

ณัฐพล ใจจริง

My Country Thailand | ณัฐพล ใจจริง

 

สถานีบางกอกน้อย

และโรงพยาบาลศิริราชในยามศึก (จบ)

 

ในช่วงปลายสงคราม

สถานีรถไฟบางกอกน้อยในฐานะศูนย์กลางส่งยุทโธปกรณ์และยุทธปัจจัยไปยังแนวหน้าของทหารญี่ปุ่น

ตกเป็นหมายในการทำลายล้างอย่างหนักจากฝูงบินทิ้งระเบิดของสัมพันธมิตร

อันทำให้โรงพยาบาลศิริราชซึ่งเป็นบ้านใกล้เรือนเคียงได้รับความเสียหายตามไปด้วย

ห้องผ่าตัดของโรงพยาบาลศิริราช เครดิตภาพ : พิพิธภัณฑ์ศิริราช

ศิริราชในยามศึก

นักศึกษาแพทย์ศิริราชในช่วงสงครามเล่าว่า การโจมตีพระนครทางอากาศในคืนหนึ่ง สร้างความเศร้าเสียใจให้กับเหล่านักศึกษาแพทย์เป็นอย่างมาก เมื่อเพื่อนที่มีบ้านอยู่แถวสถานีรถไฟมักกะสันเสียชีวิตจากระเบิดที่ลงบริเวณนั้นอย่างหนัก กลุ่มเพื่อนเมื่อทราบข่าวต่างแยกย้ายไปตามหาศพ พบอีกทีศพก็ขึ้นอืดแล้ว เมื่อสงครามสงบลงต่างก็เรี่ยไรเงินช่วยกันจัดงานศพให้ทั้งครอบครัว ส่วนเพื่อนที่อยู่บ้านบุ หลังสถานีรถไฟบางกอกน้อย บ้านถูกระเบิด ก็ต้องไปช่วยกันขนของอพยพ (เพจพิพิธภัณฑ์ศิริราช)

สถานีรถไฟบางกอกน้อยถูกโจมตีเป็นครั้งแรกเมื่อ 27 พฤศจิกายน 2487 จากความทรงจำของหมอเสนอ อินทรสุขศรี บันทึกว่าการโจมตีทางอากาศของสัมพันธมิตรในพื้นที่สถานีรถไฟบางกอกน้อย ส่งผลให้ศิริราชได้รับความเสียหายในช่วงสงคราม เช่น ห้องศัลยกรรมพิเศษ หอพักแพทย์ ตึกคนไข้เด็ก ห้องคลอด (เสนอ อินทรสุขศรี, 2548, 81)

แพทย์ศิริราชคนหนึ่งบันทึกว่า ทุกครั้งที่มีการโจมตีทางอากาศ เมื่อเครื่องบินกลับแล้ว ไม่นานจะมีรถราชการหรือองค์กรช่วยเหลือนำคนบาดเจ็บมาส่งที่ห้องฉุกเฉิน บางครั้งทางโรงพยาบาลนำรถบรรทุกคนเล็กๆ เพียงคันเดียวพร้อมนักเรียนแพทย์ออกไปช่วยรับคนบาดเจ็บละแวกโรงพยาบาลมาด้วย (เสนอ, 2548, 82)

ข้อมูลจากพิพิธภัณฑ์ศิริราช เล่าไว้ในหัวข้อศิริราชในยามสงคราม โดยอิงความทรงจำนักศึกษาแพทย์ศิริราชเมื่อ 2489 ว่า มีครั้งหนึ่งระเบิดเพลิงตกลงหลังคาอาคารทำให้ต้องหยุดเรียนกันบ่อย บางครั้งกำลังเรียนอยู่ เมื่อมีเสียงหวอก็ต้องหยุดเพื่อวิ่งลงหลุมหลบภัย ภาวะสงครามทำให้ขาดแคลนทุกอย่างทั้งตำราเรียนและอุปกรณ์การเรียน เนื่องจากสิ่งเหล่านี้ต้องนำเข้าจากต่างประเทศทั้งสิ้น เช่น ขาดแคลนตำรากายวิภาคศาสตร์ภาษาอังกฤษ

อาจารย์หมอสุด แสงวิเชียร ผู้สอน จึงต้องเขียนตำราการชำแหละศพเป็นภาษาไทยเล่มแรกขึ้น โดยเขียนในเวลากลางคืน วันละแผ่นสองแผ่น ทยอยพิมพ์ให้นักเรียนนำไปเย็บรวมเป็นเล่มเอง ส่วนภาษาที่ใช้ก็เป็นภาษาสมัยชาตินิยม นอกจากขัดสนตำราแล้ว กระดาษที่ใช้จดคำบรรยายยิ่งอัตคัด เขียนกันตั้งแต่ขอบกระดาษบนถึงขอบกระดาษล่าง บางคนเขียนแม้ในช่องว่างระหว่างบรรทัด บางทีต้องหากระดาษหน้าเดียวมาใช้หน้าหลังจดเล็กเชอร์ แล้วเย็บเป็นเล่ม (เพจพิพิธภัณฑ์ศิริราช)

พวกนักเรียนแพทย์มีโอกาสช่วยอาจารย์พร้อมได้เรียนรู้การปฐมพยาบาลไปด้วย ในบางกรณีต้องผ่าตัดคนไข้อย่างเร่งด่วน นักศึกษาแพทย์ได้ร่วมผ่าตัดด้วย บางครั้งต้องผ่าตัดคนไข้ต่อเนื่องตั้งแต่ค่ำจนถึงเช้า นักศึกษาแพทย์บางคนถึงกับยืนหลับเวลาล้างมือก่อนเข้าผ่าตัดรายใหม่หรือขณะผ่าตัด จนอาจารย์ต้องเอาเครื่องมือแพทย์ตีมือนักศึกษาเพื่อปลุกให้ตื่นกัน พวกเราครั้งนั้นทั้งหิวและง่วง (เสนอ, 2548, 71, 82)

ด้วยผู้บาดเจ็บจากสะเก็ดระเบิดถูกส่งมายังโรงพยาบาลศิริราชจำนวนมากทำให้หมอสุด แสงวิเชียร ต้องรีบเข้ามาช่วยเหลือเป็นการด่วน แต่กลับถูกพยาบาลไล่ด้วยไม่รู้จัก

ดังหมอเสนอ อินทรสุขศรี เล่าไว้ว่า “วันหนึ่งหลังจากสัญญาณปลอดภัยทางอากาศ เมื่อเวลาเกือบๆ ตี 4 พอประมาณตี 5 กว่าๆ คนที่ได้รับบาดเจ็บจากถูกระเบิดก็ถูกขนมาส่งอยู่เต็มโอพีดี ตอนนั้น แพทย์ พยาบาล และนักเรียนแพทย์ ยังมารวมอยู่ไม่มากนัก คนเจ็บยังนอน ไม่อยู่เป็นพวก ไม่เป็นที่เป็นทาง คนเจ็บหลายคนที่ยังนอนอยู่บนพื้นบริเวณทางเดินเข้ามาในตึก

ราว 6 โมงกว่า อาจารย์หมอสุดก็ขี่จักรยาน 2 ล้อคู่ชีพมาทำงาน และมาถึงโรงพยาบาลแล้ว ท่านจูงจักรยานผ่านโอพีดี เพื่อจะไปตึกที่ทำงาน ตึกกายวิภาค อย่างที่เคยปฏิบัติมา พอเห็นคนเจ็บนอนครวญครางอยู่เต็มไปหมด และเห็นคนเจ็บคนหนึ่งที่นอนอยู่บนเปลที่วางอยู่บนรถเข็น ดิ้นพลิกไปมาโดยไม่มีที่กั้น และไม่มีผ้าผูกรัดคนเจ็บให้นอนนิ่ง คนที่จะยืนเฝ้าคอยดูแลคนเจ็บก็ไม่มี คนเจ็บอาจพลิกตัวและตกมาจากรถเข็นนั้นก็ได้

อาจารย์หมอสุด จูงรถจักรยานไปจอดแอบๆ ไว้ข้างผนังห้องแล้วรีบวิ่งมาที่คนเจ็บ จับตัวคนไข้ไว้แล้วบอกให้นอนนิ่งๆ มองดูไปรอบๆ หรือบริเวณนั้น คิดว่าพอจะเห็นเชือกหรือผ้าพอที่จะใช้ผูกรัดตัวคนเจ็บที่นอนเปลอยู่นั้นให้คนเจ็บและเปลผูกรัดกับตอนบนของรถเข็น เพื่อกันไม่ให้คนเจ็บตกเปล แต่ไม่เห็นสิ่งใดตามต้องการ ท่านจึงเพียงแต่จับตัวและตบตัวคนเจ็บเบาๆ บอกให้คนเจ็บนอนนิ่งๆ และโดยที่ท่านเป็นแพทย์ ท่านก็จับข้อมือคนเจ็บขึ้นมาเพื่อตรวจคลำชีพจร

ทันใดนั้น ก็มีพยาบาลคนหนึ่งปราดเข้ามา ยืนมองหน้าว่า คุณอย่าเที่ยวล้วงควักตามกระเป๋าเขาสิ คุณไม่ใช่ญาติคนเจ็บ ไม่ต้องมาช่วย หรืออยู่ใกล้เขาหรอก หลีกไปเสียเถอะ” (silpa-mag.com/history/article_73090)

อาคารอำนวยการของโรงพยาบาลศิริราช สมัยตึก 2 ชั้น เครดิตภาพ : พิพิธภัณฑ์ศิริราช

ปลายสงครามและโรคระบาด

เมื่อ 5 มีนาคม 2488 ระเบิดเพลิงลงสถานีรถไฟบางกอกน้อย ลูกระเบิดส่วนหนึ่งพลาดตกใส่หอพักแพทย์ ตึกพระองค์หญิง (ตึกคนไข้เด็ก) ตึกพยาธิวิทยาและสุขวิทยาที่จะใช้สอบในวันรุ่งขึ้น พังเสียหายทั้งหลัง แทนที่จะได้สอบก็ต้องมาช่วยกันค้นหาสไลด์ที่ใช้สอบในซากปรักหักพังแทน และต้องเรียนในอาคารหลังคามุงจากอยู่พักใหญ่ การสอบในช่วงนั้น อาจารย์เขียนคำถามบนกระดานดำแล้วให้นักศึกษาตอบไปทีละข้อตามกำหนดแล้ว เมื่อนักศึกษาตอบเสร็จ อาจารย์ก็เขียนคำถามใหม่บนกระดานดำไปจนหมดคำถามในการสอบ (เสนอ, 2548, 81)

สมัยนั้นการเรียนบางวิชา วิชาพยาธิจึงไม่ค่อยได้ผลดีอยู่ระยะหนึ่ง เนื่องจากขาดแคลนทั้งอุปกรณ์และสถานที่เรียน

ต่อมาในปลายเดือนมิถุนายน 2488 สถานีบางกอกน้อยถูกโจมตีทางอากาศเป็นหนที่ 3 ระเบิดได้ทำลายโรงซักฟอก โรงช่างไม้ของศิริราชเสียหายหมด ทั้งหมอ พยาบาลและผู้ป่วยวิ่งกันวุ่นเพื่อเอาชีวิตรอด ในที่สุดทางการตัดสินใจย้ายการรักษาพยาบาลที่ศิริราชไปตั้งที่ศาลากลางนนทบุรี (หลังเก่า) ที่ศิริราชคงมีเฉพาะการตรวจผู้ป่วยนอกเท่านั้น ที่โรงพยาบาลที่ตั้งยังศาลากลางนั้นมีการเปิดการเรียนการสอนนักศึกษาแพทย์ชั้นปี 4 ทั้งมีการเชื่อมโยงระหว่างศิริราชเดิมและศาลากลางนั้นใช้เรือยนต์ในการขนสิ่งของและผู้คนไปมาระหว่างกัน ที่ตั้งใหม่มีห้องผ่าตัดด้วย (เสนอ, 2548, 72)

ในช่วงนั้น ไทยเผชิญกับอหิวาตกโรคระบาดอย่างรุนแรง เริ่มจากประเทศพม่าแล้วระบาดในค่ายเชลยศึกที่กองทัพญี่ปุ่นบังคับมาสร้างทางรถไฟสายมรณะ แล้วระบาดไปทั่วประเทศ…กองควบคุมโรคติดต่อที่เดียวที่ปากคลองสานดูแลไม่พอ จึงต้องไปตั้งโรงพยาบาลชั่วคราวอีกหลายแห่ง การขาดแคลนเวชภัณฑ์ทำให้การรักษาเป็นไปตามมีตามเกิด ยาอื่นๆ ที่พอรักษาได้ไม่มีเลย

น้ำเกลือมีไม่เพียงพอ เครื่องมือให้น้ำเกลือก็มีจำกัด ต้องนึ่งฆ่าเชื้อด้วยลังถึงธรรมดา ต้องใช้เชือกกล้วยนึ่งฆ่าเชื้อเพื่อผูกหัวเข็มกับสายยางแทนผ้าเหนียว (Plaster) ทำให้ผู้ป่วยอหิวาต์สมัยนั้นมีอัตราตายสูงถึงร้อยละ 68 เนื่องจากร่างกายเกิดภาวะขาดน้ำ

บางครั้งกำลังแทงเข็มน้ำเกลืออยู่ เกิดสัญญาณหวอดังขึ้น ต้องหรี่ตะเกียงลงแทบดับ พอมีสัญญาณแจ้งว่าปลอดภัยก็ออกเดินถือตะเกียงไปดูผู้ป่วย กลับพบนอนตายแข็งไปแล้วก็มี

ผู้ป่วยบางคนหายจากอหิวาต์ แต่กลับต้องมาตายเพราะโลหิตเป็นพิษด้วยฝีทั้งตัว ซึ่งเกิดจากตัวเรือดที่เตียงคนไข้กัด

พออหิวาต์เบาบางลงไม่ทันไร ฝีดาษก็เกิดระบาดขึ้นมาอีก การรักษาพยาบาลยามสงครามเป็นไปอย่างขาดแคลน มีการใช้กระดาษสาแทนสำลีและผ้าพันแผล ยาประเภทปฏิชีวนะไม่มีเลย เซรุ่มแก้บาดทะยักก็ไม่มี ผู้ป่วยแผลติดเชื้อมากี่รายๆ ก็ตายหมด (เพจพิพิธภัณฑ์ศิริราช)

ภาวะขาดแคลนภัณฑ์และยารักษาโรคบรรเทาลงเมื่อสงครามสิ้นสุดลง

นายแพทย์สุด แสงวิเชียร
นักศึกษาแพทย์ ปี 1 เมื่อ 2484 รุ่นหมอเสนอ อินทรสุขศรี
หมอเสนอ อินทรสุขศรี และพยาบาลกำลังตรวจคนไข้ที่โรงพยาบาลศิริราช เมื่อ 2490 เครดิตภาพ : Harrison Forman