ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 18 - 24 เมษายน 2568 |
---|---|
เผยแพร่ |
บทความพิเศษ
ภาพ ก.ศ.ร.กุหลาบ
ผ่าน ชัยอนันต์ สมุทวณิช
โดย เกร็ก เรย์โนลด์
ชีวิตและงาน ก.ศ.ร.กุหลาบ ได้รับการศึกษาและวิเคราะห์อย่างละเอียดโดย Craig Reynolds แห่งมหาวิทยาลัย Syfney ซึ่งเขียนบทความชื่อ The Case of K.S.R. Kulap: A Challenge to Royal Historical Writing in the Late Nineteenth Thailand
ลงพิมพ์ในวารสารของ “สยามสมาคม” (Journal of Siam Society ฉบับประจำเดือนกรกฎาคม 1973)
งานของเรย์โนลด์เป็นการศึกษาการเขียนประวัติศาสตร์ของ ก.ศ.ร.กุหลาบมากกว่าการศึกษาความคิด
แม้ว่า ก.ศ.ร.จะมิใช่นักคิดที่มีผลงานทางการวิจารณ์สังคม เศรษฐกิจและการเมืองมากเท่าเทียนวรรณ แต่ความคิดบางอย่างของเขาที่ปรากฏใน “สยามประเภท” แสดงให้เห็นว่า
ก.ศ.ร.กุหลาบ เป็นคน “หัวสมัยใหม่” ผู้หนึ่งซึ่งอาศัยหนังสือพิมพ์ของเขาเป็นเครื่องมือในการเสนอความคิดใหม่ๆ ต่อสาธารณชน
ในทางที่เป็นการต่อต้านความเชื่อแบบดั้งเดิม
เกิดตระกูล ไพร่ต่ำต้อย
โง่ และ เบาความคิด
ก.ศ.ร.กุหลาบ ต่างกับ เทียนวรรณ ซึ่งได้เขียนประวัติของตนอย่างละเอียดไว้ในที่ต่างๆ ก.ศ.ร.กุหลาบ ไม่ค่อยสนใจที่จะบอกเล่าประวัติของตนเองมากนัก แต่ค่าที่ตัวเขาเองได้ตั้งตนเป็นผู้ชำนาญเกี่ยวกับวงศ์ตระกูลของผู้อื่น
โดยสามารถไล่เรียงลำดับวงศ์ของขุนนาง ของพระมหากษัตริย์ได้อย่างละเอียด จึงมีผู้เขียนจดหมายมาถามเขาอยู่เสมอถึงประวัติของตัวเขาเอง
ก.ศ.ร.กุหลาบ ตอบว่า
ที่ไม่เล่าประวัติของตนนั้นก็เพราะประวัติของเขาไม่ประหลาดอะไรจึงไม่ต้องการแสดงให้มหาชนทราบเพราะไม่เป็นประโยชน์สำหรับคนทั่วไป และกล่าวต่อไปว่าตัวเขานั้นเป็นคนเลวทราม
และเป็นคนเกิดในตระกูลไพร่ต่ำต้อย เป็นคนโง่และเบาความคิด ไม่มีจิตใจและความประพฤติในทางประจบประแจงผู้มีวาสนาบรรดาศักดิ์เพราะเจียมตัวว่าเป็นไพร่
จะประจบก็เฉพาะบุคคลเพียง 2 คนซึ่งเขาไม่ได้เอ่ยนาม แต่บอกไว้ว่าเป็น “พระองค์เจ้าหญิงชะราพระองค์ 1” กับ “ท่านเจ้าพระยาชะราบ้านอยู่ด้านเหนือกำแพงพระนครคน 1” เท่านั้น
ก.ศ.ร.กุหลาบ เคารพนับถือบุคคลทั้งสองนี้มากถึงกับกล่าวว่า ถ้าคนทั้งสองนี้ต้องการ “หนังศีรษะและเลือดเนื้อของเขาแล้ว” เขาก็ “เกือบจะให้ได้โดยแท้จริง”
เพราะเหตุที่ได้รับความกรุณาจากบุคคลทั้งสองท่านนี้มาก
ก.ศ.ร. มาจาก เกศะโร
รับอิทธิพล จาก “ฝรั่ง”
ในชั้นนี้เรารู้ว่า ก.ศ.ร.กุหลาบ เคยบวชเรียนตั้งแต่เป็นเณรจนเป็นพระภิกษุ และเป็นศิษย์ของกรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรส
ก.ศ.ร.มาจากฉายานามเมื่อนายกุหลาบบวชเป็นสามเณร
โดยมีกรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรสทรงเป็นพระอุปัชฌาย์และได้ประทานฉายานามให้ว่า “เกศะโร”
ก.ศ.ร.กุหลาบ ได้อธิบายไว้ว่า
“จนเมื่อข้าพเจ้าบวชเป็นภิกษุสงฆ์ก็ได้รับไฉยาว่า ‘เกศะโรภิกขุ’ เหตุนี้จึงมีฉายานามว่า (เก)
เกนี้เพราะข้าพเจ้าเกิดวันจันทร์เสด็จอุปัชฌาย์จึงประทานไฉยาตามข้าพเจ้าตามอักษรวรรค (กะ) ใช้ตามนามในพระบาลีว่า ‘เกศะโร’
ข้าพเจ้าเห็นว่าไฉยานามตามที่อุปัชฌาย์ประทานนั้นเป็นมงคลข้าพเจ้าจึงได้นำอักษรไฉยามานำหน้าชื่อของข้าพเจ้า ดังนี้ ‘ก.ศ.ร.กุหลาบ’ (ก. คือ เก) แล (ศ. คือ ศะ) แล (ร. คือ โร)”
ก.ศ.ร.กุหลาบ เช่นเดียวกับ เทียนวรรณ ได้นำเอาฉายาที่ได้รับเมื่อบวชมาใช้เป็นอักษรย่อนำหน้าชื่อแบบฝรั่งแสดงถึงการรับอิทธิพลจากฝรั่งอย่างชัดเจน
พระองค์เจ้า กินรี
สังฆราช ปัลเลอกัวซ์
นายเรย์โนลด์เขียนว่า ก.ศ.ร.กุหลาบ เกิดในปี ค.ศ.1834 (พ.ศ.2377) ในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ต้นตระกูลทางมารดาเป็นขุนนางสมัยอยุธยา มีบรรดาศักดิ์เป็นพระ รับราชการในจังหวัดนครราชสีมา
ส่วน น.อ.สวัสดิ์ จันทนี มีความเห็นผ่าน “นิทานชาวไร่” ว่า ก.ศ.ร.กุหลาบ อาจมีเชื้อญวน
อาจเพราะ ก.ศ.ร.กุหลาบ เขียนเรื่อง “อานามสยามยุทธ” ไว้ก็เป็นได้
นายกุหลาบอ้างว่า พระองค์เจ้าหญิงกินรี พระราชธิดาในรัชกาลที่ 3 ทรงเป็นพระอาจารย์สอนหนังสือให้ตั้งแต่เล็ก
เมื่ออายุได้ 13 ปีศึกษากับ พระราชมุนี วัดพระเชตุพน
พออายุ 14 เรียนหนังสือ “จินดามณี” และศึกษาพุทธศาสนาจาก กรมพระปรมานุชิตชิโนรส
นายกุหลาบสึกจากเณรและเข้ารับราชการในกรมมหาดเล็กรักษาพระองค์
ใช้เวลาว่างเรียนภาษาละติน ฝรั่งเศส และอังกฤษจากสังฆราชปัลเลอกัวซ์
เมื่ออายุได้ 26 ปี นายกุหลาบบวชเป็นพระภิกษุอยู่ที่วัดพระเชตุพน ในระหว่างนี้ได้เรียนภาษาสันสกฤต การแต่งโคลงฉันท์กาพย์กลอน และศึกษากฎหมายเก่าตลอดจนระเบียบราชการกับพระยาศรีสุนทรโวหาร
นายกุหลาบสึกเมื่อประมาณ พ.ศ.2403 และใช้ชีวิต 15 ปี
ท่องไป ในโลกกว้าง
เมืองจีน ถึง ยุโรป
หลังจากนั้น ในการทำงานเป็นเสมียนกับบริษัทอังกฤษ อเมริกัน และเยอรมัน ซึ่งเป็นบริษัทโรงสีข้าว
ระหว่างที่ทำงานกับฝรั่งอยู่นี้ทางบริษัทส่งไปกับเรือค้าขาย
ที่สิงคโปร์ ปีนัง สุมาตรา มะนิลา ปัตตาเวีย มาเก๊า ฮ่องกง กัลกัตตา ยุโรป และเมืองจีน โดยผ่านไซ่ง่อนและญี่ปุ่น
ในรัชกาลที่ 5 เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจะพระราชทานของชำร่วยแจกในงานพระบรมศพ พระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ ก.ศ.ร.กุหลาบได้เป็นล่ามไปกับผู้ที่ได้รับมอบหมายให้ไปจัดหาซื้อของชำร่วยเหล่านี้ที่ยุโรป
ในสมัยรัชกาลที่ 5 นี้ ก.ศ.ร.กุหลาบ อ้างว่าได้รับราชการในกรมตำรวจน้ำอยู่กับ เจ้าพระยายมราช
ตั้งแต่ปี พ.ศ.2427-2434 รวมเวลา 7 ปี
ทางด้านครอบครัว เกร็ก เรย์โนลด์ เขียนไว้ว่า ก.ศ.ร.กุหลาบมีภรรยาถึง 12 คน มีบุตรรวม 18 คน
เป็นบุตรชาย 1 คน นอกจากนั้นเป็นบุตรหญิง บุตรชายผู้นี้ได้ช่วย ก.ศ.ร.กุหลาบในการทำหนังสือ “สยามประเภท” ซึ่งในหนังสือมีรูปถ่าย ก.ศ.ร.กุหลาบ กับบุตรชายชื่อ “นาย ก.ห.”
ส่วนบุตรสาวที่ชื่อ “สายสร้อย” นั้นทำหน้าที่ทางด้านบัญชีและการจัดหนังสือพิมพ์
จับตา สยามประเภท
จับตา หนังสือต้องห้าม
การปรากฏขึ้นของ “สยามประเภท” เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม พ.ศ.2440 เมื่อ นายตำรา ณ เมืองใต้ นำมาเขียนถึงในหนังสือ “ปริทรรศน์วรรณคดีไทย” เมื่อปี 2490 ในอีก 50 ปีต่อมา ก็ขึ้นประโยคนำว่า
“หนังสือต้องห้าม”
หนังสือนี้หอสมุดสำหรับพระนคร (หอสมุดแห่งชาติ) ได้รวมไว้ตู้หนึ่งต่างหากและไว้ในห้องอื่นไม่รวมกับหนังสือที่เปิดให้สาธารณชนยืมอ่าน เป็นหนังสือที่ไม่พึงอ่าน
ขณะนี้ (เมื่อปี พ.ศ.2490) นายตำรา ณ เมืองใต้ ระบุว่า ตู้นั้นไม่อยู่แล้ว ไม่ทราบว่าโยกย้ายไปไว้ที่ใด
ขณะเดียวกัน ก็ยืนยันว่า “หนังสือนี้เป็นหนังสือที่น่าอ่าน ก.ศ.ร.กุหลาบ ผู้เป็นเอดิเตอร์ แต่งคนเดียวทำคนเดียว นับเป็นหนังสือที่เก่งกล้า ไม่รวมหัวกับใคร นอกจากจะตอบปัญหาทุกชนิดที่มีผู้ถามมา
ยังมีเรื่องเกี่ยวกับการขอดค่อนสังคมและความคิดเห็นอย่างองอาจของเอดิเตอร์อีกด้วย”
นั่นก็คือ ของ ก.ศ.ร.กุหลาบ
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022