ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 11 - 17 เมษายน 2568 |
---|---|
คอลัมน์ | ยุทธบทความ |
ผู้เขียน | ศ.กิตติคุณ ดร.สุรชาติ บำรุงสุข |
เผยแพร่ |
ยุทธบทความ | สุรชาติ บำรุงสุข
เดินหน้าสู่ปีที่ 4 (8)
เมื่อสนามบินเป็นสนามรบ
“ไม่มีแผน [ยุทธการ] ใดจะใช้ต่อไปได้อีก เมื่อการปะทะกับข้าศึกครั้งแรกเริ่มต้นขึ้น”
Helmuth von Moltke
จอมพลแห่งกองทัพเยอรมนี
จุดของความพลิกผันที่สำคัญในช่วงแรกสุดของการเปิด “ปฏิบัติการพิเศษทางทหาร” ของประธานาธิบดีปูตินในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2022 นั้น คือความล้มเหลวในการส่งกำลังเข้ายึดกรุงเคียฟ ที่เป็นเมืองหลวงของยูเครน ดังที่รับทราบกันดีว่าถ้ากองทัพรัสเซียสามารถเข้าควบคุมเคียฟได้ตามแผนยุทธการที่วางไว้แล้ว สงครามยูเครนจะปิดฉากลงในระยะเวลาไม่กี่วัน
ในอีกด้านก็เป็นความฝันของเครมลินว่า การบุกในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ จะจบลงอย่างง่ายดายเช่นเดียวกับการเข้ายึดไครเมียในปี 2014… ด้วยระยะเวลาเพียง 8 ปี ไม่น่าจะเปลี่ยนสภาวะแวดล้อมทางยุทธศาสตร์ ทั้งทางการเมืองและการทหาร จนทำให้รัสเซียไม่ประสบความสำเร็จในการยึดเคียฟ เพราะอย่างน้อยกองทัพรัสเซียมีความพร้อมมากกว่า และในครั้งนี้มีการใช้กำลังมากกว่า
ดังนั้น จึงไม่มีเหตุผลใดที่แผนยุทธการนี้จะไม่ประสบความสำเร็จ อีกทั้งนายทหารฝ่ายอำนวยการในระดับบนมีความเป็นทหารอาชีพ ไม่ใช่นายทหารที่ไม่รู้เรื่องทางทหาร ประกอบกับรัสเซียเองก็ผ่านสนามรบหลายแห่ง และมีบทเรียนการสงครามอยู่พอสมควร ไม่ว่าจะเป็นการใช้กำลังเข้าแทรกแซงในวิกฤตการณ์จอร์เจียในปี 2008 การใช้ปฏิบัติการแบบ “ไฮบริด” ในการเข้าควบคุมไครเมียและดอนบาสในปี 2014 และการใช้กำลังในการปราบปรามฝ่ายต่อต้านในสงครามกลางเมืองซีเรียในปี 2015 เป็นต้น
ฉะนั้น จึงแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่ฝ่ายอำนวยการในกระทรวงกลาโหมรัสเซีย จะวางแผนการยึดเมืองหลวงยูเครนอย่างผิดพลาดมโหฬาร อีกทั้งต้องตระหนักว่าก่อนการบุกจริงจะเริ่มขึ้นนั้น ชุดปฏิบัติการพิเศษ รวมทั้งทหารรับจ้างของกลุ่มแวกเนอร์ของรัสเซีย ได้แทรกซึมเข้าสู่เคียฟ ทั้งเพื่อทำภารกิจในการลอบสังหารผู้นำยูเครน และทำหน้าที่ในการก่อวินาศกรรมเพื่อรองรับต่อการเข้ามาของกำลังส่วนหน้าของกองทัพรัสเซียที่เข้ายึดเคียฟ อีกทั้งยังมีชาวยูเครนที่เป็นสายลับรัสเซีย ซึ่งพร้อมที่จะสนับสนุนปฏิบัติการที่จะเกิดขึ้นด้วยการเตรียมการสร้างความปั่นป่วนในสังคมและการโฆษณาชวนเชื่อ
แต่สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดล้มเหลวอย่างไม่น่าเชื่อ แผนลอบสังหารไม่ประสบความสำเร็จ ถ้าเช่นนั้นความสำเร็จของแผนนี้ จึงขึ้นอยู่กับกำลังส่วนหน้าที่จะเข้าถึงเคียฟได้เป็นสำคัญ
ยุทธการยึดสนามบิน
หากย้อนกลับไปสู่สถานการณ์ในช่วงก่อนสงครามแล้ว จะเห็นได้ว่ากองทัพยูเครนประเมินการเข้าตีของกองทัพรัสเซียว่า น่าจะใช้พื้นที่ดอนบาสที่รัสเซียยึดครองเป็นฐานออกตี ด้วยการใช้กำลังในส่วนต่างๆ รวมทั้งทหารรับจ้างและอาสาสมัคร และผสมผสานด้วยกำลังหลักบางส่วนของรัสเซีย พร้อมกับการสนับสนุนของการใช้กำลังทางอากาศ และการใช้จรวดโจมตีระยะไกลยิงเปิดทาง แต่จะไม่ใช้กำลังหลักขนาดใหญ่เข้าตีจากหลายทิศทางพร้อมกัน (ที่อาจเรียกในทางทหารว่าเป็น “large-scale attack on every front across all lines”)
ในอีกนัยหนึ่ง ฝ่ายเสนาธิการใหญ่ของกองทัพยูเครนประเมินสงครามในอนาคต โดยยึดเอาตัวแบบจากประสบการณ์เดิมจากปฏิบัติการของรัสเซียในปี 2014 เป็นแผนหลัก กล่าวคือ พวกเขาวางแผนสงครามที่จะทำการรบในสงครามแบบเดิม โดยมีการยุทธ์ที่ดอนบาสเป็นดัง “แผนแม่บท” แม้ว่าในความเป็นจริงนั้น สถานการณ์ที่ชายแดนของยูเครนกับเบลารุสจากปลายปี 2021 ต่อเนื่องเข้าต้นปี 2022 จะมีความตึงเครียดอย่างมากแล้วก็ตาม แต่จินตนาการของแผนการยุทธ์ของกองทัพยูเครน ยังคงยึดแนวเดิม คือ การเตรียมรับการรุกแบบจำกัดเช่นที่เกิดในดอนบาสในปีดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม การรบจริงที่เป็นจุดเริ่มแรกของสงครามนั้น เกิดขึ้นที่สนามบินระหว่างประเทศแอนโตนอฟ (The Antonov International Airport) ที่ตั้งอยู่ที่เมืองโฮสโตเมล เลยทำให้สนามบินนี้มีอีกชื่อหนึ่งว่า สนามบินโฮสโตเมล (Hostomel Airport) และมีระยะห่างจากตัวเมืองหลวง 35 กิโลเมตร อีกทั้งสนามบินนี้เป็นดังบ้านของเครื่องบินขนส่งแบบ “แอนโตนอฟ 225” ซึ่งเป็นเครื่องบินขนส่งสินค้าทางอากาศที่ใหญ่ที่สุดของโลก และแน่นอนว่าสนามบินแห่งนี้ใหญ่พอที่จะรองรับต่อการเข้ามาของอากาศยานทหารหลายลำได้ด้วย
ดังนั้น ในแผนยุทธการที่ถูกกำหนดไว้ อากาศยานที่ทำหน้าที่เป็นศูนย์บัญชาการส่วนหน้า พร้อมกำลังทหารราบส่งทางอากาศและกำลังรบพิเศษส่วนหนึ่งที่ถูกจัดเตรียมไว้ จะเข้าควบคุมสนามบินนี้ เพื่อให้สนามบินเป็นดัง “สะพานทางอากาศ” (air bridge) ที่กำลังทหารรัสเซียจะถูกลำเลียงเข้ามาเพื่อเข้าควบคุมจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญของเคียฟ เช่น สะพานข้ามแม่น้ำนีเปอร์ (Dnieper River เป็นแม่น้ำที่ยาวที่สุดของยูเครน และยาวเป็นอันดับ 4 ของยุโรป) เพื่อให้การเคลื่อนย้ายกำลังของทหารยูเครนมีข้อจำกัด อีกทั้งการมาของกำลังส่วนแรกนั้น ยังประกอบด้วยนักรบเชเชน เพื่อที่จะดำเนินภารกิจในการล่าสังหารผู้นำยูเครนด้วย
นอกจากนี้ การเคลื่อนย้ายกำลังทางอากาศยังประกอบด้วยเฮลิคอปเตอร์โจมตีแบบ KA-52 (Kamov) และเฮลิคอปเตอร์ลำเลียงพลแบบ MI-8 โดยมีเครื่องบินรบทำหน้าที่คุ้มกันทางอากาศ กำลังของกองพลน้อยจู่โจมทางอากาศที่ 31 เดินทางมาจากฐานบินที่ชายแดนเบลารุส-ยูเครน และถึงสนามบินโฮสโตเมลราว 10:30 ของเช้าวันที่ 24 กุมภาพันธ์ พร้อมกับทำลายระบบป้องกันทางอากาศของสนามบินได้ทั้งหมด กำลังพลเหล่านี้ไม่รู้เลยว่าเขากำลังเดินทางเข้าสู่สงคราม
กำลังพลได้รับแจ้งแต่เพียงว่า พวกเขามาเพื่อซ้อมรบ จนเมื่อเครื่องอยู่ในอากาศแล้ว ผู้บังคับหน่วยในแต่ละลำจึงแจ้งว่า พวกเขากำลังบินไปเพื่อทำสงครามกับยูเครน!
จุดพลิกผัน
แม้ทางสหรัฐจะแจ้งเตือนถึงการที่กำลังส่วนหน้าของรัสเซียจะเข้ายึดสนามบินแห่งนี้ แต่กองพลน้อยที่ทำหน้าที่ระวังป้องกันสนามบิน กลับต้องแบ่งกำลังส่วนใหญ่ไปที่ดอนบาส กำลังของยูเครนที่รักษาสนามบินจึงมีเหลือราว 300 นายเท่านั้น และกำลังพลเหล่านี้บางส่วนเป็นทหารเกณฑ์ที่ยังไม่มีประสบการณ์การรบแต่อย่างใด
หน่วยระวังป้องกันสนามบินของยูเครนสามารถยิงเฮลิคอปเตอร์ลำเลียงพลของรัสเซียตก 3 ลำ และยิงถูกเฮลิคอปเตอร์อีก 3 ลำ จากจำนวนเครื่องทั้งหมด 35 ลำ ซึ่งเครื่องที่เหลือสามารถลงสู่สนามบินได้ แต่ก็น่าแปลกใจอย่างมากที่เมื่อเฮลิคอปเตอร์ดังกล่าวลงถึงพื้นแล้ว กลับไม่ได้รับการสนับสนุนทางอากาศอย่างใกล้ชิด (CAS) ทหารรัสเซียถูกปล่อยลงที่สนามบินโฮสโตเมลโดยไม่มีการคุ้มครองทางอากาศแต่อย่างใด ซึ่งคำอธิบายในทางยุทธการมีเพียงประการเดียวคือ “ทุกอย่างไม่เป็นไปตามแผน” และกำลังพลของยูเครนที่แม้จะมีไม่มาก แต่ก็ระดมยิงจนทหารรัสเซียไม่สามารถยึดสนามบินได้ ความหวังที่จะเปิด “สะพานทางอากาศ” ให้เครื่องลำเลียงแบบ IL-76 จำนวน 18 ลำ ที่จะนำชุดจู่โจมลงพื้นนั้น กลายเป็นความล้มเหลวทันที และต้องบินกลับฐาน
ขณะเดียวกันหน่วยทหารปืนใหญ่ของยูเครนเปิดการระดมยิงตัวสนามบิน เพื่อทำให้พื้นสนามบินอยู่ในสภาพที่ไม่เอื้อต่อการนำเอาเครื่องบินลำเลียงพลขนาดใหญ่ลงได้ พร้อมกันนี้หน่วยทหารพลร่มจากกองพลน้อยที่ 95 เคลื่อนกำลังด้วยเฮลิคอปเตอร์เข้าสู่พื้นที่การปะทะ และหน่วยทหารที่ทำหน้าที่รักษาเมืองหลวงคือ กองพลน้อยยานยนต์ที่ 72 ได้เคลื่อนเข้าสู่พื้นที่เป้าหมาย และการรบที่สนามบินนี้ยังดำเนินต่อไปอีกระยะหนึ่ง
กำลังของกองพลน้อยจู่โจมทางอากาศที่ 31 ของรัสเซีย ทำได้เพียงหาที่กำบังเพื่อปกป้องตนเองจากอำนาจการยิงที่เหนือกว่าของกำลังรบยูเครน
ความสำเร็จในการป้องกันการเคลื่อนย้ายกำลังผ่านการส่งทางอากาศของรัสเซียที่สนามบินโฮสโตเมล ถือเป็นความสำเร็จแรกของยูเครนในการป้องกันเมืองหลวง และเป็นความสำเร็จที่มีนัยสำคัญต่อความอยู่รอดของรัฐบาลเซเลนสกี และของตัวเขาพร้อมผู้นำยูเครนอีกด้วย แต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของความล้มเหลวทางทหารของกองทัพรัสเซีย และเป็นความล้มเหลวที่ทำให้ความคาดหวังของผู้นำรัสเซียในการยึดครองยูเครนตามตัวแบบในปี 2014 นั้น เป็น “ฝันร้าย” ที่ตามมาด้วยการบั่นทอนศักยภาพของกองทัพและเศรษฐกิจของประเทศอย่างมาก และเป็นสัญญาณอีกว่าสงครามอาจจะไม่จบเร็วอย่างแน่นอน
แต่การรบที่โฮสโตเมลกำลังถึงจุดสุดท้ายในช่วงบ่าย เมื่อกองพลน้อยที่ 31 ของรัสเซียอยู่ในสภาพที่ถูกตรึงอยู่กับที่ ไม่สามารถดำเนินภารกิจได้จริง และพอถึงช่วงบ่ายมากๆ ของวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ก็ชัดเจนแล้วว่าแผนการยึดสนามบินประสบความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง แม้จะยังมีการรบติดพันก็ตาม การต่อสู้ที่นี่ถือเป็นจุดเริ่มต้นของ “ความล้มเหลวทางยุทธศาสตร์” ที่สำคัญของกองทัพรัสเซีย… สงครามยูเครนเปิดฉากด้วยความล้มเหลวทางยุทธศาสตร์ของฝ่ายรัสเซียตั้งแต่ในวันแรกของการสงครามอย่างไม่น่าเชื่อ
ถึงกระนั้นรัสเซียไม่ได้ยอมรับความล้มเหลวที่เกิดขึ้น หากมีความพยายามที่ส่งอากาศยานพร้อมกำลังพลจากหน่วยส่งทางอากาศเข้าสนับสนุนกำลังที่ติดอยู่ที่สนามบิน แต่กลับประสบความสูญเสียอย่างมาก เมื่อเครื่องบินขนส่งทหารแบบ IL-76 จำนวน 2 ลำ ถูกเครื่องบินขับไล่แบบ Su-27 ของกองทัพยูเครนยิงตก ทำให้ทหารรัสเซียประมาณ 300 นายเสียชีวิตทั้งหมด ความสูญเสียเช่นนี้เป็นคำตอบในตัวเองว่า “ยุทธการยึดสนามบิน” ของกองทัพรัสเซีย ประสบความล้มเหลว ไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้ และเท่ากับเป็นคำตอบในตัวเองอีกว่า “ยุทธการยึดเคียฟ” ก็ประสบความล้มเหลวตามมา
เพราะเมื่อการส่งกำลังเสริมทางอากาศทำไม่ได้เแล้ว กำลังชุดแรกที่ลงพื้นที่ก็เป็นเพียง “เป็ดลอยน้ำ” (sitting ducks) ที่รอเวลาให้ทหารยูเครนยิงเท่านั้นเอง
สงครามเริ่มต้นด้วยความล้มเหลว!
ปฏิบัติการยึดสนามบิน หรือที่สำนวนทหารอเมริกันเรียกว่า “Thunder Run” นั้น มีข้อกำหนดที่ชัดเจนว่า ฝ่ายที่จะยึดสนามบินจะต้องมีกำลังทางอากาศที่เหนือกว่า ในการทำหน้าที่ให้ความคุ้มครองทางอากาศ (air cover) แก่กำลังทางบกที่ปฏิบัติการบนพื้นดิน ดังตัวแบบของกองทัพสหรัฐ เมื่อกองพลส่งทางอากาศที่ 101 และกองพลน้อยส่งทางอากาศที่ 173 เปิดยุทธการ “Iraqi Freedom” ในการยึดสนามบินที่แบกแดด
กองทัพรัสเซียในครั้งนี้ประสบความล้มเหลวทั้งที่มีกำลังทางอากาศที่เหนือกว่า ดังตัวเลขทำเนียบกำลังรบคือ รัสเซียมีเครื่องบินรบ 1,511 ลำ เฮลิคอปเตอร์ที่ทำการรบได้ 1,543 ลำ ในขณะที่ยูเครนมีเครื่องบินรบเพียง 98 ลำ เฮลิคอปเตอร์ที่ทำการรบได้ 112 ลำ แต่รัสเซียกลับไม่สามารถครองอากาศในปฏิบัติการนี้ได้ อันนำไปสู่ความล้มเหลวในแผนสงคราม และเคียฟไม่แตกอย่างที่หลายฝ่ายคาด!
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022