ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 11 - 17 เมษายน 2568 |
---|---|
คอลัมน์ | พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ |
ผู้เขียน | พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ |
เผยแพร่ |
บทความพิเศษ | พิธา ลิ้มเจริญรัตน์
สำรวจศักยภาพคนไทย
และนวัตกรรมระดับโลก ตอนที่ 5
เบิร์กลีย์ : การเดินทางระหว่างความทรงจำและความหวัง
ผมออกเดินทางจากเมืองอิธากาในเช้าตรู่วันหนึ่ง อุณหภูมิลดลงอย่างกะทันหันราวสิบองศาเซลเซียส ความเย็นเฉียบที่มาพร้อมกับความเงียบทำให้สนามบินเล็กๆ แห่งนั้นกลายเป็นพื้นที่สำหรับการไตร่ตรองมากกว่าการรอเครื่องบิน
จุดหมายปลายทางคือชายฝั่งตะวันตกของสหรัฐอเมริกา-พื้นที่ที่ห่างไกลจากวิถีชีวิตประจำวันของผมในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ผมเป็นคนฝั่งตะวันออกโดยธรรมชาติ คุ้นเคยกับจังหวะของบอสตัน พลังของนิวยอร์ก และความนิ่งสงบของอิธากา แต่ในครั้งนี้ มีบางสิ่งที่ดึงผมกลับไปยังฝั่งตะวันตก
มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ และมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด คือปลายทางของการเดินทางครั้งนี้
การมาเยือนซานฟรานซิสโกครั้งนี้เป็นมากกว่าการพบปะนักศึกษาไทยที่กำลังศึกษาอยู่ ณ สถาบันชั้นนำ มันยังเป็นการย้อนกลับไปสู่ความทรงจำอันมีค่ากับพ่อเมื่อสามทศวรรษก่อน เราสองคนเดินทางจากซีแอตเติลลงมาซานฟรานซิสโกในทริปสั้นๆ ที่กลายเป็นความทรงจำที่อบอุ่นที่สุดในความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับลูก แม้ภาพความทรงจำของผมต่อซานฟรานซิสโกในวัยเด็กจะเต็มไปด้วยความรู้สึกไม่มั่นคง ถนนดูวุ่นวาย ของบางชิ้นหายในกระเป๋าเดินทาง และผู้คนก็ดูห่างเหิน-แต่ผมเข้าใจในวันนี้ว่า ความรู้สึกเหล่านั้นไม่ใช่เพราะเมืองไม่ดี หากเป็นเพราะผมในวัยนั้นยังไม่พร้อมจะเข้าใจเมืองอย่างแท้จริง
ในปี พ.ศ.2568 ผมกลับมาที่นี่อีกครั้ง ไม่ใช่เพื่อย้อนอดีต แต่เพื่อมองหาอนาคต
มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ (University of California, Berkeley) ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2411 (ค.ศ.1868) เป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยของรัฐที่มีความเป็นเลิศทางวิชาการในระดับโลก มีนักศึกษากว่า 40,000 คนจากหลากหลายประเทศ ความโดดเด่นของเบิร์กลีย์ไม่เพียงอยู่ที่วิชาการหรือความสามารถในการผลิตงานวิจัยระดับแนวหน้าเท่านั้น หากยังอยู่ที่จิตวิญญาณของเสรีภาพ ความรับผิดชอบ และการมีส่วนร่วมทางสังคมที่ฝังแน่นในวัฒนธรรมของมหาวิทยาลัย
หนึ่งในเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ที่ทำให้เบิร์กลีย์กลายเป็นสัญลักษณ์ของการเคลื่อนไหวทางความคิด คือ ขบวนการเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น (Free Speech Movement) ที่เกิดขึ้นในช่วงปี 2507-2508 (ค.ศ.1964-1965)
ขบวนการนี้เริ่มต้นจากการที่มหาวิทยาลัยออกข้อห้ามมิให้นักศึกษาใช้พื้นที่ภายในมหาวิทยาลัยเพื่อกิจกรรมทางการเมือง นักศึกษาจำนวนมากมองว่านี่คือการละเมิดสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐาน จึงรวมตัวกันเพื่อเรียกร้องให้ยกเลิกข้อห้ามดังกล่าว และเปิดพื้นที่ให้มหาวิทยาลัยเป็นเวทีแห่งความคิด
มาริโอ ซาวิโอ (Mario Savio) นักศึกษาหนุ่มด้านปรัชญาคือหนึ่งในผู้นำสำคัญของขบวนการนี้ ถ้อยคำของเขาที่กล่าวจากบันไดหน้าอาคาร Sproul Hall ได้กลายเป็นวาทกรรมประวัติศาสตร์ที่ยังคงถูกอ้างถึงจนถึงทุกวันนี้ :
“There comes a time when the operation of the machine becomes so odious, makes you so sick at heart, that you can’t take part. You can’t even passively take part. And you’ve got to put your bodies upon the gears and upon the wheels, upon the levers, upon all the apparatus, and you’ve got to make it stop.”
“ถึงเวลา… ที่กลไกของระบบกลายเป็นสิ่งโหดร้ายเกินทน จนคุณไม่อาจมีส่วนร่วมได้อีกต่อไป แม้แต่การนิ่งเฉยก็ไม่อาจยอมรับได้ และคุณต้องนำร่างกายของคุณไปขัดขวางฟันเฟือง คันโยก และกลไกทั้งหมด เพื่อหยุดมัน”
เบิร์กลีย์ในช่วงเวลานั้นกลายเป็นสัญลักษณ์ของการตื่นรู้ของเยาวชนสหรัฐ โดยขบวนการเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นได้นำไปสู่การขยายพื้นที่ของการถกเถียงในมหาวิทยาลัยอื่นๆ ทั่วประเทศ และกลายเป็นแรงบันดาลใจสำคัญให้กับขบวนการเรียกร้องสิทธิพลเมือง (Civil Rights Movement) ที่ต่อสู้กับการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติ รวมถึงการประท้วงต่อต้านสงครามเวียดนามในช่วงปลายทศวรรษ 1960s
นักศึกษาหลายคนที่เข้าร่วมขบวนการ ณ เบิร์กลีย์ในเวลานั้น กลายเป็นนักเคลื่อนไหวระดับชาติ นักวิชาการ และผู้นำทางสังคมที่ยังคงมีอิทธิพลต่อรูปแบบการเคลื่อนไหวของพลเมืองในศตวรรษที่ 21
ขบวนการนี้เริ่มต้นจากการที่มหาวิทยาลัยออกข้อห้ามมิให้นักศึกษาใช้พื้นที่ภายในมหาวิทยาลัยเพื่อกิจกรรมทางการเมือง นักศึกษาจำนวนมากมองว่านี่คือการละเมิดสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐาน จึงรวมตัวกันเพื่อเรียกร้องให้ยกเลิกข้อห้ามดังกล่าว และเปิดพื้นที่ให้มหาวิทยาลัยเป็นเวทีแห่งความคิดและยังส่งแรงกระเพื่อมไปทั่วประเทศและทั่วโลก มหาวิทยาลัยหลายแห่งต้องทบทวนบทบาทของตนต่อเสรีภาพของนักศึกษา และขบวนการนี้ยังเป็นแรงบันดาลใจให้แก่การเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยในหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย
ในบริบทของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มหาวิทยาลัยเบิร์กลีย์เองก็มีบทบาทเชิงรากฐานอย่างมากในด้านวิชาการและความร่วมมือกับภูมิภาคนี้มาอย่างยาวนาน ความสัมพันธ์ระหว่างเบิร์กลีย์กับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เริ่มก่อตัวอย่างเป็นระบบในช่วงทศวรรษ 1950s โดยการจัดตั้ง “Center for Southeast Asia Studies” (CSEAS) ขึ้นอย่างเป็นทางการในปี 2499 (ค.ศ.1956)
CSEAS ถือเป็นหนึ่งในศูนย์วิจัยที่เก่าแก่ที่สุดในสหรัฐอเมริกาซึ่งมุ่งเน้นการศึกษาภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างลึกซึ้ง ทั้งในมิติของประวัติศาสตร์ การเมือง วัฒนธรรม ภาษา เศรษฐกิจ และสังคม และยังคงเป็นศูนย์กลางของความร่วมมือและการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ระหว่างสหรัฐกับประเทศในภูมิภาคอาเซียน
การมาเยือนครั้งนี้ทำให้ผมมีโอกาสได้เข้าไปเยี่ยมชมคลังเอกสารของมหาวิทยาลัย และได้พบกับต้นฉบับวิทยานิพนธ์ของศาสตราจารย์วิษณุ เครืองาม หนึ่งในนักกฎหมายผู้ทรงอิทธิพลของประเทศไทยในยุคปัจจุบัน แม้เราจะมีแนวคิดและจุดยืนทางการเมืองที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน แต่ในฐานะนักวิชาการ ผมรู้สึกเคารพในความพากเพียรทางวิชาการและเส้นทางชีวิตของท่าน
เอกสารที่อยู่ตรงหน้านั้นเป็นมากกว่าบทความทางวิชาการ มันคือหลักฐานเชิงประจักษ์ของช่วงเวลาแห่งการคิด การสืบค้น และการประกอบสร้างความรู้ที่จะหล่อหลอมทิศทางของประเทศในอีกหลายทศวรรษถัดมา
แต่สิ่งที่สร้างแรงกระตุ้นในใจผมมากที่สุด กลับไม่ใช่อยู่ในคลังเอกสาร หากเป็นการพบปะกับนักศึกษาไทยในช่วงบ่ายของวันเดียวกัน ณ อาคาร Faculty Club ซึ่งตั้งอยู่ท่ามกลางร่มไม้ใหญ่ สงบ งดงาม และเปี่ยมด้วยบรรยากาศแห่งการแลกเปลี่ยนอย่างแท้จริง
นักศึกษาเหล่านี้มาจากหลากหลายสาขา ทั้งด้านธุรกิจ กฎหมาย วิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม ชีววิทยา และวิทยาการคอมพิวเตอร์ หลายคนกำลังทำวิจัยที่มีศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงสังคมไทยในระดับโครงสร้าง หนึ่งในนักศึกษาด้านชีววิทยากำลังวิจัยด้านพันธุกรรมประยุกต์ โดยใช้เทคโนโลยี CRISPR เพื่อสร้างแนวทางใหม่ในการพัฒนาพืชพันธุ์ต้านโรคและตรวจคัดกรองโรคทางพันธุกรรมในชุมชน ส่วนอีกคนกำลังทำวิจัยด้าน computational biology เพื่อพัฒนาแบบจำลองข้อมูลจีโนมของไวรัส ซึ่งอาจมีบทบาทสำคัญในการเตรียมรับมือกับโรคระบาดในอนาคต
ในด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์ หนึ่งในนักศึกษากำลังพัฒนาแพลตฟอร์ม AI สำหรับการเรียนรู้ของเด็กพิเศษในชนบท โดยระบบจะสามารถเข้าใจภาษาไทยในบริบทท้องถิ่น อีกคนหนึ่งมุ่งพัฒนาระบบความมั่นคงทางไซเบอร์สำหรับภาครัฐไทย เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลอย่างมั่นคง
แม้พวกเขาจะอยู่ในต่างประเทศ แต่วิธีที่พวกเขาพูดถึง “ประเทศไทย” เต็มไปด้วยความหวังและความมุ่งมั่น ไม่ใช่เพียงจะเป็น “ผู้รู้” แต่เป็น “ผู้ลงมือทำ” อย่างแท้จริง
ผมเดินออกจากการสนทนาเหล่านั้นด้วยใจที่หนักแน่นขึ้น-และหวังยิ่งกว่าเดิม
จุดหมายถัดไป : มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022