ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 11 - 17 เมษายน 2568 |
---|---|
คอลัมน์ | วิรัตน์ แสงทองคำ |
ผู้เขียน | วิรัตน์ แสงทองคำ |
เผยแพร่ |
อีกหน่วยงานของรัฐ กำลังเผชิญการตรวจสอบทางสังคมอย่างเข้มข้น อย่างที่ควร
เป็นปรากฏการณ์อีกด้านหนึ่ง อันเนื่องมาจากโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ ตึกแห่งเดียวในกรุงเทพฯ ถล่มลงทันที เป็นผลกระทบจากแผ่นดินไหวรุนแรง ไกลกันถึงพันกิโลเมตร
ตึกสูง 30 ชั้น ตั้งใจให้เป็นสำนักงานแห่งใหม่ของหน่วยงานรัฐ แค่ชื่อก็น่าเกรงขาม-สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (State Audit Office 0f the Kingdom of Thailand) หรือ สตง.
ดูเผินๆ ภารกิจหน่วยงานนี้ไม่เกี่ยวข้องกับการบริการประชาชนโดยตรง เช่นที่เป็นส่วนใหญ่ ด้วยความสัมพันธ์ เฉพาะเจาะจงกับหน่ายงานรัฐด้วยกันเอง ในหน้าที่สำคัญ การตรวจสอบการใช้งบประมาณ ที่เนื้อใน “เงินแผ่นดิน” คือภาษีประชาชน
แรงปะทะครั้งใหญ่ จากการตรวจสอบ จากสังคมวงกว้าง ในเวลานี้ จึงเป็นเรื่องควรเป็นไปในทุกมิติ
ยุคก่อตั้ง
เรื่องราวที่มาของ สตง. เป็นเรื่องที่น่าสนใจ ด้วยเชื่อมโยงกับบริบททางสังคม เป็น “ชิ้นส่วน” หนึ่งซึ่งสำคัญในประวัติศาสตร์
สตง. ได้เขียนประวัติเป็นทางการไว้ อ้างอิงช่วงเวลาย้อนไปยังยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แต่ที่นี่ให้ความสำคัญในจุดเปลี่ยนทางสังคมสู่ยุคสมัยใหม่ โดยเฉพาะในช่วงหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
“ภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ.2475 คณะกรรมการราษฎรซึ่งเป็นคณะบุคคลที่มีอำนาจสูงสุดในการบริหารประเทศในช่วงระยะเวลาดังกล่าว เห็นว่าการตรวจเงินแผ่นดินที่สังกัดอยู่ในกรมบัญชีกลาง กระทรวงพระคลังมหาสมบัติ การตรวจตราตลอดจนการแสดงความเห็นสำหรับผลการตรวจสอบย่อมไม่เป็นไปโดยอิสระ สมควรโอนกรมตรวจเงินแผ่นมาขึ้นตรงต่อคณะกรรมการราษฎร…ในวันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ.2475 โดยมีหลวงดำริอิศรานุวรรต เป็นผู้ทำการแทนอธิบดีกรมตรวจเงินแผ่นดิน” ประวัติอย่างเป็นทางการช่วงสำคัญ (ตัดมาจาก www.audit.go.th)
มีอีกตอนต่อเนื่อง “ต่อมาในปี พ.ศ.2476 รัฐสภาได้ตราพระราชบัญญัติว่าด้วยคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ.2476 นับเป็นกฎหมายตรวจเงินแผ่นดินฉบับแรกภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง… ให้ตั้งหลวงดำริอิศรานุวรรต เป็นประธานคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินคนแรก…”
เรื่องราว หลวงดำริอิศรานุวรรต เชื่อมโยงสู่ภาพกว้างขึ้นอีกในช่วงเวลานั้น
“ในปี 2478 วิชาการบัญชีได้เข้ามามีบทบาทสำคัญ โดยเป็นวิชาหนึ่งในหลักสูตรปริญญาโททางเศรษฐศาสตร์ และมีหลวงดำริอิศรานุวรรต เป็นผู้สอน” ประวัติช่วงต้น คณะพาณิชยศาสตร์และการปบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ว่าไว้ (www.tbs.tu.ac.th)
กับอีกตอนที่สำคัญ “หลวงดำริอิศรานุวรรต จึงได้ขอให้รัฐบาลรับนโยบายอนุมัติให้มีการศึกษาวิชาการบัญชีทีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง โดยระยะแรกได้ก่อตั้ง ‘แผนกวิชาการบัญชี’ เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2481 ซึ่งทางคณะฯ ถือเอาวันนี้เป็นวันสถาปนาคณะฯ…”
ภาพที่เกี่ยวโยงกันนั้น ผมเองเคยนำเสนอไว้เมื่อกว่าทศวรรษที่แล้ว (หาอ่านทั้งเรื่องได้ “ความรู้ทางธุรกิจ (1) จุฬาฯ-ธรรมศาสตร์” – www.viratts.com)
“วิชาการบัญชี เกิดขึ้นที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในปีเดียวกัน (2481) ในช่วงหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยคณะราษฎร โดยขณะนั้น จอมพลแปลก พิบูลสงคราม เป็นอธิการบดีจุฬาฯ ขณะที่ ดร.ปรีดี พนมยงศ์ เป็นผู้ประศาสน์การธรรมศาสตร์…โดยประวัติวิชาการบัญชีในโรงเรียนระดับวิชาชีพ ระบุไว้สั้นๆ ว่ามีความเกี่ยวข้องการประกาศใช้ประมวลกฎหมายรัษฎากรในปีต่อมา คณะราษฎรถือว่าการประกาศใช้กฎหมายฉบับดังกล่าว เป็นผลงานสำคัญในกระบวนการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะความพยายามหลุดพ้นจากอิทธิพลของระบบอาณานิคม จากผลกระทบของสนธิสัญญาเบาว์ริ่ง…”
การปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ และการบริหารรัฐในเวลานั้นให้ทันสมัย ทัดเทียมกับระบอบอาณานิคม เป็นยุทธศาสตร์สำคัญ ซึ่งเกี่ยวกับวิชาการบัญชีด้วย มีบุคคลสำคัญไม่กี่คนมีบทบทบุกเบิก ล้วนเป็นผู้ผ่านการศึกษาการบัญชีจากระบบอาณานิคมอังกฤษ ได้แก่ พระยาไชยยศสมบัติ (เสริม กฤษณามระ) ที่จุฬาฯ และ หลวงดำริอิศรานุวรรต (ม.ล.ดำริ อิศรางกูร ณ อยุธยา) ที่ธรรมศาสตร์ ซึ่งทั้งสองมีประกาศนียบัตร ACA (Associate of The Institute of Chartered Accountant in England and Welsh) ในฐานะคนไทยสองคนแรก
พัฒนาการทางวิชาการกับสถาบันการศึกษาชั้นนำของประเทศ ในช่วงเกือบศตวรรษ เป็นไปอย่างไม่หยุดยั้ง จากบัญชี สู่วิชาการเกี่ยวข้องกว้างขึ้นๆ จากผลิตบุคลากร ตอบสนองรัฐสมัยใหม่ ในมิติหนึ่งเพื่อให้ใช้ภาษีประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพ แน่นอนย่อมเกี่ยวข้องกับ สตง.ด้วย สู่อีกภารกิจ ในการสร้างฐานผู้เสียภาษีกว้างใหญ่ ในภาคเอกชน สร้างระบบเศรษฐกิจที่เข้มแข็ง เผชิญความท้าทายจากโลกภายนอก จากยุคอาณานิคม สู่โลกาภิวัตน์ ยุคใหม่ซึ่งเผชิญวิกฤตการณ์หลายครั้งหลายหน
คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี ทั้งจุฬาฯ และธรรมศาสตร์ สามารถปรับตัวและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ผลิตบุคลากรคุณภาพไม่ขาดสาย เมื่อลองพลิกดูโปรไฟล์อดีตผู้ว่าการคนล่าสุด กับผู้ว่าการ สตง.คนปัจจุบัน ล้วนเป็น “ลูกหม้อ” นั้น ดูเหมือนว่าจะไม่มีความเชื่อมโยงโดยตรงกับรากเหง้าที่กล่าวถึงข้างต้น
สำนักงานแห่งใหม่
กรณีที่ไม่ใช่เรื่องเล็ก อย่างน้อยน่าจะมีความสัมพันธ์กับภารกิจข้างหน้า และพัฒนาการ สตง.อยู่บ้าง ไม่ว่าแง่หนึ่งแง่ใด
พิจารณาจากถ้อยแถลงล่าสุด (กรณีตึกถล่ม) พบข้อมูลพื้นฐาน
“โครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการแห่งใหม่พร้อมสิ่งก่อสร้างประกอบ บนที่ดินประมาณ 10 ไร่ 3 งาน บริเวณถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร… สตง.ได้เสนอของบประมาณรายการก่อสร้าง เป็นจำนวนเงิน 2,560 ล้านบาท และได้รับการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2563 …ต่อมาได้ผู้ชนะการประกวดราคา ได้แก่ กิจการร่วมค้า ไอทีดี-ซีอาร์ซีซี (บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด) ซึ่งเป็นผู้เสนอราคาต่ำสุด ด้วยวงเงิน 2,136 ล้านบาท…”
เท่าที่อ่านรายงานของ สตง. พบว่าปัจจุบันมีบุคลากรมากถึงเกือบ 4,000 คน โดยมีแผนการมาพักใหญ่ ตั้งใจจะย้ายไปอยู่สำนักงานใหม่ ว่ากันว่า “เป็นอาคารสะท้อนภาพลักษณ์องค์กรที่ก้าวหน้า และเป็นศูนย์กลางการตรวจสอบการใช้เงินรัฐอย่างมีประสิทธิภาพ” และเป็น “อาคารใหม่ออกแบบเพื่อสนับสนุนระบบดิจิทัลและการตรวจสอบแบบ real-time” จุดเด่นอีกประการหนึ่ง เป็น “green building” ด้วย
สาระหนึ่งสะท้อนไว้ด้วย คือระบบราชการกำลัง (คิดว่าตนเอง) ใหญ่ขึ้นๆ จะว่าไปในช่วงเวลานั้นเข้ากับบริบททางสังคมหนึ่งอย่างช่วยไม่ได้ อยู่ในช่วงเวลาคาบเกี่ยวทศวรรษที่ผ่านมา ด้วยมีรัฐบาลต่อเนื่องมาจากรัฐประหาร หรือว่าอีกนัยหนึ่งเป็น “การกระชับอำนาจระบบราชการด้วยข้าราชการ” ก็คงได้
จะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม คงมีส่วนเป็นไปตามกระแสหนึ่งด้วย หน่วยราชการกับการสร้าง การมีสำนักงานใหม่ๆ อาทิ ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ (เปิดใช้ปี 2551) อาจจะรวมถึง ENCO (เปิดปี 2552) ด้วยก็ได้ (กรณี “อาคารทันสมัย”) นอกจากเป็นของ ปตท.แล้ว ยังเป็นสำนักงานของกระทรวงพลังงานด้วย
เชื่อว่าการสะสางปัญหาตึก สตง.ถล่ม คงเป็นไปพักใหญ่ หากถือโอกาสนี้ทบทวนใหม่ทั้งหมดไปด้วย คงจะดีไม่น้อย ด้วยเป็นไปในสถานการณ์แตกต่างจากเดิม จากที่คิดไว้แต่แรก ท่ามกลางบริบทใหม่ กระแสใหม่ระดับโลก ในความพยายามลดขนาด ลดบทบาท และเพิ่มประสิทธิภาพระบบราชการ ในด้านหนึ่งจะว่าเป็นการลดภาระภาษีประชาชนด้วยก็ได้ ขณะอีกด้านอาจปรับเปลี่ยนกลายเป็นเพิ่มฐานผู้เสียภาษีให้กว้างใหญ่ขึ้นด้วย
ที่สำคัญ เข้ากับยุคปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งมีความสามารถเหนือมนุษย์ในบางด้าน โดยเฉพาะการจัดการเอกสาร (อย่างเช่น Financial Audit) การสร้างระบบและตรวจสอบกระบวนการ (อาทิ Compliance Audit) ว่าไปแล้วโดยรวมเป็นภาระใหญ่ในขณะนี้ของระบบราชการ (ไทย)
สตง.จะยืนเด่น เป็น “ชิ้นส่วน” สำคัญอีกครั้งในประวัติศาสตร์ •
วิรัตน์ แสงทองคำ | www.viratts.com
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022