ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 11 - 17 เมษายน 2568 |
---|---|
เผยแพร่ |
ยุทธการ แดงเดือด
เมษา พฤษภา 2553
‘มุมมอง’ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ยุทธการ แดงเดือด เมษา 53
นอกจากจะติดตามการไปรวมตัวกันที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศ ถนนราชดำเนิน ของ นปช.แดงทั้งแผ่นดินแล้ว การตั้งรับในลักษณะ “รุก” ของรัฐบาลและกองทัพก็เป็นอีกเป้าหมายหนึ่ง
หากมองไปยังกองทัพก็ต้องมองไปยัง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ประสานเข้ากับ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ
ในฐานะ “นายกรัฐมนตรี” และ “รองนายกรัฐมนตรี”
ขณะเดียวกัน ที่พลาดไม่ได้อย่างเด็ดขาดย่อมเป็นบทบาทของ “กองทัพ” บทบาทของ “ทหาร”
ทหารอันมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็น “หัวหอก”
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา เป็นผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นเสนาธิการทหารบก
ถามว่า “เสียง” ของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นอย่างไร และมองภาพ “นปช.แดงทั้งแผ่นดิน” อย่างไร
ต้องอ่านจากบางส่วนของ “ความจริงไม่มีสี”
ทุกคนคงจำได้ว่า เหตุการณ์ความรุนแรงมีมาตั้งแต่ปี 2552 มีมวลชนมาทุบรถผมที่พัทยา ล้มการประชุมอาเซียน ไล่ล่าผมที่กระทรวงมหาดไทย แล้วก่อจลาจลในช่วงสงกรานต์
เรามีหน้าที่รักษากฎหมาย ก็ได้คลี่คลายปัญหาด้วยความอดทน อดกลั้น
เราผ่านเหตุการณ์มาได้โดยไม่มีการสูญเสีย ยกเว้นชาวบ้านนางเลิ้ง 2 คนที่ตกเป็นเหยื่อของการชุมนุม
ขณะที่ภาพลักษณ์ทางเศรษฐกิจถูกซ้ำเติมอย่างรุนแรง
ในครั้งนั้น คุณทักษิณกับพวกพยายามกล่าวหาว่า รัฐบาลฆ่าประชาชน ทั้งๆ ที่ไม่มีมูลความจริง
ลงทุนเผยแพร่คลิปตัดต่อเสียงผมจากรายการ “เชื่อมั่นประเทศไทยฯ” ร้อยเรียงคำพูดใหม่ให้กลายเป็นว่า “ผมสั่งฆ่าประชาชน” นำไปใช้ปลุกระดมให้เกิดความเกลียดชัง
เมื่อสังคมส่วนใหญ่รู้ความจริงทำให้ประเด็นดังกล่าวจุดไม่ติด แต่คุณทักษิณและพวกก็ไม่หยุดอยู่แค่นั้น
ไม่ยอมปล่อยให้ประเทศไทยเดินหน้าต่อไปตามอย่างที่ควรจะเป็น
ชนวนเหตุการณ์ปี 2553 เริ่มจากการที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพากษายึดทรัพย์คุณทักษิณจากการทุจริตเชิงนโยบายจำนวน 46,000 ล้านบาท
คุณทักษิณวิดีโอลิงก์จากต่างประเทศทันทีที่ศาลฎีกาอ่านคำพิพากษาจบ มีเนื้อหาเสมือนไม่ยอมรับกระบวนการยุติธรรมของไทย ซึ่งคุณทักษิณใช้คำว่า
“เป็นกระบวนการยุติความเป็นธรรม”
ถึงขนาดกล่าวหาว่า ศาลเป็นเครื่องมือทางการเมือง สร้างวาทกรรมสองมาตรฐานปลุกปั่นพี่น้องเสื้อแดงให้เข้าใจว่าเขาถูกกลั่นแกล้งโดยอำมาตย์ แต่ไม่เคยพูดถึงตัวเองชนะคดีซุกหุ้น
ซึ่งจำนวนไม่น้อยเห็นต่างจากคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ แต่ไม่มีการระดมมวลชนกดดัน สังคมให้ความเคารพคำตัดสินดังกล่าวและให้โอกาสคุณทักษิณได้บริหารประเทศเป็นเวลานานกว่า 5 ปี
กระทั่งเกิดความเสียหายมากมายจากการทุจริตประพฤติมิชอบ
เท่ากับว่า ถ้าศาลตัดสินแล้วตัวเองได้ประโยชน์ถือว่าเป็นธรรม แต่ถ้าทำผิด หลักฐานมัดแน่นศาลตัดสินลงโทษกลายเป็นสองมาตรฐาน นี่คืออันตรายที่คุณทักษิณใช้พี่น้องประชาชนผู้ศรัทธาคุณทักษิณด้วยความบริสุทธิ์ใจ
เป็นเครื่องมือทางการเมืองอย่างโหดร้าย
คุณทักษิณระบุในการวิดีโอลิงก์ครั้งนั้นว่า “วันนี้การเมืองตอนนี้ดุมาก ใจดำมาก แต่ขอผมเป็นเหยื่อการเมืองคนสุดท้าย ถ้าเมื่อไรประเทศได้ประชาธิปไตยที่แท้จริงและมีระบบถ่วงดุลอย่างเหมาะสม
คงจะไม่มีเหยื่ออย่างผมอีก
เพราะวันนี้ดุลทั้งหมดไปอยู่อำมาตย์ที่สามารถกดปุ่มสั่งการให้ระบบหนึ่งมีอำนาจเหนืออีกระบบหนึ่งอย่างง่ายดาย”
ผมทราบทันทีว่า ประเทศชาติกำลังตกอยู่ในอันตราย ประชาชนอยู่ในภาวะหวาดผวา กลัวจะเกิดเหตุรุนแรง
คำประกาศ “แดงทั้งแผ่นดิน”
การปลุกระดมพล เทเลือด เคลื่อนไหวแบบสุ่มเสี่ยง ฯลฯ ทำให้เป็นห่วงชาติบ้านเมืองว่ากำลังอยู่ในภาวะเสี่ยงที่จะเป็นทะเลเลือดแดงฉานทั้งแผ่นดิน ผมพยายามอย่างที่สุดในการประนีประนอมบนหลักกฎหมายและความถูกต้อง
พวกเขาเรียกร้องให้ผมยุบสภาในทันที
ถามว่ายุทธการแดงเดือดที่ตามมาในเดือนเมษายน พฤษภาคม 2553 มีสาเหตุมาจากคำวินิจฉัยของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ให้ยึดทรัพย์ 4.6 หมื่นล้านบาทของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กระนั้นหรือ
สามารถมองเช่นนั้นได้ ยิ่งหากมองจากด้านของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็อ้างอิงได้อย่างเต็มปากเต็มคำ
ทั้งๆ ที่ความเป็นจริง “มูลเชื้อ” มีมากกว่านั้น
เป็นมูลเชื้ออันสะสมตั้งแต่ชัยชนะของพรรคไทยรักไทยในการเลือกตั้งเมื่อเดือนมกราคม 2544
ทะยานขึ้นมาเป็นพรรคอันดับ 1
เหนือกว่าพรรคประชาธิปัตย์ที่มีรากฐานการก่อตั้งมาตั้งแต่เดือนเมษายน 2489
เหนือกว่าพรรคชาติไทย เหนือกว่าพรรคกิจสังคม
พรรคกิจสังคมที่มีรากฐานมาจาก ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ซึ่งเคยเป็นเลขาธิการคนแรกของพรรคประชาธิปัตย์
พรรคชาติไทยที่มีรากฐานมาจากนักการเมือง “ซอยราชครู”
หารู้ไม่ว่าชัยชนะเมื่อเดือนมกราคม 2544 ได้กลายเป็นรากฐานให้กับชัยชนะอีกครั้งในเดือนกุมภาพันธ์ 2548
เมื่อพรรคไทยรักไทยได้ 377 จากทั้งหมด 500
เช่นนี้เองจึงมีการเคลื่อนไหวของสิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เรียกเป็นสำนวนว่า “ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ”
เช่นนี้เองจึงเกิด “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย”
เช่นนี้เอง “สถานการณ์” จึงนำไปสู่ความมั่นใจในการยึดอำนาจเพื่อโค่นรัฐบาล พรรคไทยรักไทยในเดือนกันยายน 2549
และแปรเป็น “แผนบันได 4 ขั้น” ของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.)
เช่นนี้เองจึงเกิดรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เช่นนี้เองแม้ว่าในการเลือกตั้งเดือนธันวาคม 2550 ชัยชนะจะเป็นของพรรคพลังประชาชนส่งให้ นายสมัคร สุนทรเวช นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี
แต่ในที่สุด นายสมัคร สุนทรเวช ก็ต้องไป นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ก็ต้องไป พรรคพลังประชาชนก็ต้องถูกยุบเหมือนพรรคไทยรักไทย
เปิดทางให้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จับมือกับ นายเนวิน ชิดชอบ
ทั้งหมดตั้งแต่หลังเลือกตั้งเดือนมกราคม 2544 เลือกตั้งเดือนกุมภาพันธ์ 2548 จึงกลายเป็น “มูลเชื้อ” ให้เกิดสถานการณ์
ไม่ว่าเดือนเมษายน 2552 ไม่ว่าเดือนเมษายน 2553
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022