ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 11 - 17 เมษายน 2568 |
---|---|
คอลัมน์ | สิ่งแวดล้อม |
ผู้เขียน | ทวีศักดิ์ บุตรตัน |
เผยแพร่ |
13.20 น.ของวันศุกร์ที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมา ระหว่างยืนรอเพื่อนฝูงในห้างย่านเลียบทางด่วนรามอินทรา เหลือบเห็นโคมไฟที่ห้อยเรียงเป็นแถวของร้านกาแฟแกว่งไปแกว่งมาเกือบๆ นาที เป็นห้วงเวลาเดียวกับความรู้สึกวิงเวียนมึนหัวเหมือนไม่สบาย จากนั้นได้ยินเสียงผู้คนตะโกน “แผ่นดินไหว”
แล้วความสับสนอลหม่านก็เกิดขึ้นทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ คนไทย ชาวต่างชาติพากันวิ่งกรูไปที่ประตูทางออกเป็นลานกว้างนอกอาคารห้าง เสียงพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ครั้งแรกในชีวิตที่เพิ่งผ่านไปหมาดๆ ยังดังอื้ออึง ขณะที่ความรู้สึกเหมือนผืนดินที่ยืนอยู่มีความเคลื่อนไหวจนโคลงเคลง ต่างคนหันมามองกันและกันด้วยสีหน้าเลิ่กลั่ก แววตาเพิ่มความตื่นตระหนก
ให้หลังเกือบๆ 10 นาที แรงเขย่าหายไป ผืนดินกลับมาเรียบสนิทเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ท่าทีของผู้คนบริเวณโดยรอบลานหน้าห้างแห่งนั้นสงบลง สติเริ่มกลับมาแล้วค่อยๆ ทยอยเดินเข้าห้างอีกครั้ง ระหว่างนั้นบางคนยกโทรศัพท์กดโทร.หาพี่น้องเพื่อนฝูง ตามด้วยเสียงสบถทำไมสัญญาณห่วยโทร.ไม่ติด โทรศัพท์เป็นอะไรวะ
ระบบสื่อสาร ณ เวลานั้นกลายเป็นอัมพาต พวกเราเองกว่าจะโทร.ติดต่อน้องคนขับที่ติดแหง็กอยู่ในชั้นใต้ดินก็ปาไปเกือบครึ่งชั่วโมง การสื่อสารในภาวะวิกฤตของประเทศไทยเข้าข่ายล้มเหลว
พวกเราฝ่าพ้นความอลหม่านในห้างออกมาขึ้นรถ ปรากฏว่าสถานการณ์บนถนนวุ่นวายไม่ต่างกัน การจราจรติดหนึบขยับได้ทีละคืบ ทีละเมตร หูตาของคนในรถดูเหมือนว่าจะไวเป็นพิเศษ ฟังทั้งข่าวทางวิทยุ ปาดหน้าจอมือถือเฝ้าติดตามสถานการณ์แผ่นดินไหว บางครั้งแหงนคอขึ้นเพ่งดูรางรถไฟฟ้าพาดเหนือสะพานลอย
“พยายามช้าๆ เลี่ยงอย่าเข้าไปใกล้รางรถไฟฟ้านะเว้ย ถ้าเกิดอาฟเตอร์ช็อกขึ้นมาอีกแท่นคอนกรีตรางรถไฟอาจโดนเขย่าร่วงลงมา” เสียงผู้โดยสารในรถเตือนคนขับ
กว่าจะถึงที่หมายอยู่ห่างกันไม่กี่กิโลเมตรใช้เวลาเกือบๆ ชั่วโมง การจราจรในกรุงเทพฯ อยู่ในวิกฤตมานานแล้ว เจอเหตุแผ่นดินไหววิกฤตหนักกว่าเดิม
เพื่อนบางคนเล่าว่า ในวันแผ่นดินไหว ทางบริษัทให้กลับบ้านได้เลย ทุกคนออกจากออฟฟิศราวบ่าย 2 โมง แต่กว่าจะกลับถึงบ้านใช้เวลา 4 ชั่วโมง หลายคนอยู่คอนโดฯ ติดสถานีรถไฟฟ้า แต่รถไฟฟ้าหยุดวิ่ง การจราจรติดขัด รถเมล์ไม่มา ต้องเดินกลับบ้านเกือบๆ 5 กิโลเมตร
นี่เป็นจุดเสี่ยงของคนกรุงเทพฯ ถ้าเจอสถานการณ์ร้ายแรงเช่นนี้แล้วกรูเข้าไปอยู่ในรถหวังขับหนีให้พ้นเขตหายนะพร้อมๆ กัน แต่จราจรมีปัญหา ทุกคนติดแหง็กอยู่บนถนนไปไหนไม่ได้ และหากเกิดเหตุแผ่นดินไหวเขย่าซ้ำอีกจะทำอย่างไร?
หลังแผ่นดินไหวสงบลง คลิปภาพเหตุอันระทึกแพร่กระจายไปทั่ว บ้างเป็นภาพรถไฟฟ้าระบบโมโนเรลวิ่งลอยเหนือหัวคน กทม.แกว่งไปแกว่งมาราวกับใครจับโยกตู้โบกี้ ดูแล้วหวาดเสียวกับระบบความปลอดภัย บ้างเป็นคลิปสระว่ายน้ำบนคอนโดฯ หรูกลางเมืองมีน้ำกระฉอกไหลลงมาเหมือนน้ำตก หรือคลิปแท่นเครนบนยอดของอาคารก่อสร้างไหวเอนด้วยแรงสั่นสะเทือน
แต่คลิปตื่นตะลึงมากที่สุดเป็นไฮไลต์ของข่าว นั่นคือ คลิปตึกสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินถล่ม ที่ผู้เห็นเหตุการณ์ถ่ายในแต่ละมุมแชร์ให้คนทั้งประเทศดู
ภาพตึก สตง. ที่สูงชะลูด 137 เมตร 30 ชั้น ไหวเอนเอียงไปมา จนเครนที่ตั้งบนยอดตึกถูกกระชากจากแรงเหวี่ยงของแผ่นดินไหวหลุดร่วงตามด้วยเสาและแผ่นคอนกรีตที่ทรุดถล่มในเวลาเพียง 1 นาทีจนกลายเป็นเพียงกองเศษเหล็กและปูนสูงไม่กี่สิบเมตร
ยุคอินเตอร์เนต ไฮเทคสุดล้ำ คลิปตึก สตง.ถล่มเผยแพร่ออกไปทั่วโลกในเวลาอันรวดเร็วเพียงไม่กี่นาที
ทุกคนที่เห็นคลิปพากันตั้งคำถาม “เอ๊ะ เกิดขึ้นได้ไง?”
แผ่นดินไหวครั้งนี้มีแรงสั่นสะเทือน 8.2 แมกนิจูด จุดศูนย์กลางทางตอนกลางของเมียนมา บริเวณรอยเลื่อนสะกาย ห่างจากกรุงเทพมหานครราว 1,000 กิโลเมตร แต่มีเพียงตึก สตง.ตึกเดียวเท่านั้นในประเทศไทยที่ถล่มพังราบไม่เหลือคราบความเป็นตึกสูง 30 ชั้นมูลค่าก่อสร้าง 2,136 ล้านบาท
สตง.เป็นหน่วยงานตรวจสอบการบริหารงานบุคคล ตรวจสอบการปฏิบัติงาน ตรวจสอบการใช้เงินแผ่นดิน ตรวจสอบการใช้งบประมาณของรัฐบาล แต่กลับล้มเหลวในการตรวจสอบการก่อสร้างตึกของตัวเองจนนำไปสู่ความหายนะ
ข้อพิรุธน่าสงสัยเกิดขึ้นมากมายหลังตึก สตง.พังพินาศ ตั้งแต่เรื่องของการออกแบบโครงสร้างทางวิศวกรรม ความสามารถและมาตรฐานของบริษัทก่อสร้าง การใช้วัสดุในการก่อสร้าง การตรวจสอบและตรวจรับงาน
คลิปที่ถ่ายจากหลายๆ มุม แสดงให้เห็นถึงโครงสร้างของตึกที่ทรุดหักหลายจุด ตั้งแต่ชั้นบนสุดที่แผ่นคอนกรีตบิดตัวแล้วหัก เสาที่ค้ำทั้งชั้นบนและชั้นล่างของตัวตึกฉีกหักเป็นท่อนๆ ก่อนทรุดทับเป็นชั้นๆ เหมือนแผ่นโรตี
มองในแง่บวก ที่ตึกทรุดฮวบในแนวดิ่ง ถ้าทรุดแล้วเอียงเทลงมาอาจเกิดความเสียหายย่อยยับยิ่งไปกว่านี้

หลักฐานที่ปรากฏบนกองซากตึกเป็นท่อนเหล็กเส้นที่สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เก็บไปตรวจสอบพบว่า 10 เปอร์เซ็นต์จาก 22 ตัวอย่างไม่ผ่านมาตรฐานของ สมอ. โดยเฉพาะค่าทางเคมี กายภาพและความแข็งแรง
เหล็กไม่ได้มาตรฐานตีตรายี่ห้อ เอส เค วาย เป็นชื่อย่อของบริษัท ซิน เคอ หยวน ที่ย้ายฐานการผลิตออกจากจีนเพราะกระบวนการผลิตเหล็กเส้นใช้การเหนี่ยวนำทางไฟฟ้าให้เกิดความร้อนจนโลหะหลอมละลาย หรือ Induction Furnance เป็นกระบวนการที่เผาไหม้ไม่สมบูรณ์ เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทำลายสิ่งแวดล้อม และเกิดมลพิษทางอากาศ
เมื่อปี 2558 รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เห็นชอบให้กระทรวงอุตสาหกรรม กำหนดมาตรฐานสำหรับเหล็กเส้นเสริมคอนกรีต เหล็กเส้นกลมและเหล็กข้ออ้อย พร้อมอนุญาตให้ใช้เตา Induction Furnance
นี่เป็นที่มาของบริษัท ซิน เคอ หยวน โรงงานตั้งอยู่ในจังหวัดระยอง ได้รับอนุญาตผลิตเหล็กเส้นตามกระบวนการเหนี่ยวนำทางไฟฟ้าให้เกิดความร้อนจนโลหะหลอมละลายในปี 2563
ซิน เคอ หยวน ขายเหล็กเส้นให้บริษัทก่อสร้างของไทยมานานเกือบ 4 ปี ระหว่างนั้นมีการร้องเรียนว่า การผลิตเหล็กของบริษัทแห่งนี้ก่อให้มลพิษและทุ่มตลาดด้วยราคาถูกไม่ได้มาตรฐาน
ปี 2567 กระทรวงอุตสาหกรรมสั่งปิดโรงงานซิน เคอ หยวน เพราะตรวจสอบผลิตภัณฑ์เหล็กพบไม่เป็นไปตามมาตรฐาน 2,441 ตัน มูลค่า 49.2 ล้านบาท
แนวโน้มคนในเมืองส่วนใหญ่จะพักอาศัยในแนวดิ่งมากขึ้นเพราะที่ดินมีราคาแพงขึ้นและมีการก่อสร้างตึกสูงจำนวนมากเพื่อรองรับความต้องการ
แต่ถ้าบริษัทก่อสร้างออกแบบไม่ได้มาตรฐาน ใช้วัสดุห่วยๆ อย่างเช่นเหล็กของบริษัทซิน เคอ หยวน ความเสี่ยงของคนไทยจะเพิ่มสูงขึ้น
อีกพิรุธ กิจการร่วมค้าไอทีดี-ซีอาร์อีซี ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างษริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จํากัด (มหาชน) และบริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด ก่อสร้างตึก สตง.นั้นมีที่มาที่ไปอึมครึม
บริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด จัดตั้งเมื่อปี 2561 ทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท ผู้ถือหุ้น 51% เป็นคนไทย 3 คน ถือหุ้น 49% เป็นคนจีน พบว่า 1 ใน 3 คนไทยที่ถือหุ้น 10% หรือเท่ากับ 10 ล้านบาทนั้น มีที่พักอยู่ในแฟลตเล็กๆ ไม่มีรถยนต์ส่วนตัว
ที่ตั้งของบริษัทไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 เป็นตึกเก่าไม่มีพนักงานอยู่ กลายเป็นพิรุธที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์บอกว่า ส่อไปในทางผิดปกติ ผู้ถือหุ้นคนไทยเข้าข่ายนอมินี
บริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 เริ่มเข้ามาประมูลงานในเมืองไทยตั้งแต่ปี 2562 ส่วนใหญ่ประมูลงานของภาครัฐ นอกจากตึก สตง.แล้วมีงานก่อสร้างที่บริษัทนี้คว้าชัยชนะอีก 13 แห่ง อาทิ โรงพยาบาลสงขลา สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค สำนักงานศาลยุติธรรม ฯลฯ รวมมูลค่ากว่า 7,200 ล้านบาท
เป็นที่น่าสังเกตว่า บริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 คว้างานก่อสร้างของรัฐในช่วงรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ แทบทั้งสิ้น เช่นเดียวกับบริษัทซิน เคอ หยวน ที่ได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบีโอไอ ให้ผลิตเหล็กเส้นในไทยในรัฐบาลชุดเดียวกัน
หลังก่อสร้างตึก สตง.ทำโครงสร้างไปถึงชั้น 30 เป็นช่วงเดือนเมษายน 2567 บริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 เผยแพร่ภาพผลงานพร้อมเฉลิมฉลองการสิ้นสุดงานโครงสร้าง
“ความสำเร็จครั้งนี้ไม่ใช่เพียงความคืบหน้าในระดับกายภาพ แต่ยังถือเป็นโครงการอาคารสูงพิเศษแห่งแรกในต่างประเทศของบริษัท สะท้อนถึงความสามารถในการแข่งขันด้านวิศวกรรมของจีนที่กำลังก้าวรุกเข้าสู่ตลาดเอเซียตะวันออกเฉียงใต้อย่างจริงจัง”
ข้อความที่บริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 คุยโอ้อวดแถมยังอ้างมาตรฐานทั้งด้านความปลอดภัย สิ่งแวดล้อมและคุณภาพของพนักงาน
หลังตึกถล่ม ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องโครงการนี้ได้แก่บริษัท ไชน่า เรลเวย์ นับเบอร์ 10 บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จํากัด (มหาชน) บริษัท ฟอ-รัม อาร์คิเทค จำกัด บริษัท ไมนฮาร์ท (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท พี เอ็น ซิงค์โครไนซ์ จำกัด บริษัท ว.และสหาย คอนซัลแตนตส์ จำกัด บริษัท เคพี คอนซัลแทนส์ แอนด์ แมเนจเม้นท์ จำกัด ผู้บริหารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ผู้บริหารคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน ตกเป็น “จำเลย” ทางสังคมไปเรียบร้อยแล้ว
คุณแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์ว่า ” ตึก สตง.ถล่มถือเป็นเรื่องใหญ่ที่เกิดขึ้นกับตึกเดียว แต่เป็นภาพพจน์ของประเทศไทย ที่จะต้องตอบโจทย์เรื่องนี้ให้ได้ว่าความจริงมันเกิดอะไรขึ้น และความจริงไม่ใช่แค่พี่น้องประชาชน แต่บอกทั้งโลกว่าเกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทย”
ดังนั้น เพื่อการสอบสวนเกิดความจริงและโปร่งใสที่สุด ขอเสนอนายกฯ ออกคำสั่งย้ายนายมณเฑียร เจริญผล ผู้ว่าการ “สตง.” และ พล.อ.ชนะทัพ อินทามระ ประธานคณะกรรมการผู้ตรวจเงินแผ่นดิน ให้พ้นตำแหน่งชั่วคราวจนกว่าการตรวจสอบถึงที่สุด •
สิ่งแวดล้อม | ทวีศักดิ์ บุตรตัน
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022