ปรีดี แปลก อดุล : คุณธรรมน้ำมิตร (61)

พล.อ.บัญชร ชวาลศิลป์

บทความพิเศษ | พล.อ.บัญชร ชวาลศิลป์

 

ปรีดี แปลก อดุล

: คุณธรรมน้ำมิตร (61)

 

ยังอยู่ระหว่างการเจรจาที่ปารีส โฮจิมินห์ทราบว่า ผู้แทนฝรั่งเศสในเวียดนามฉวยโอกาสจัดการประชุมซ้อนที่เมืองดาลัตครั้งที่ 2 เพื่อสานต่อการจัดตั้งสาธารณรัฐอินโดจีนเมื่อต้นเดือนมิถุนายน โดยเชิญผู้แทนที่เลือกสรรจากเขตโคชินไชน่า ส่วนล่างของเขตอันนัม เขตที่ราบสูง ลาวและกัมพูชา หารือการจัดตั้งสภาแห่งชาติและคณะรัฐบาลของสาธารณรัฐโคชินไชน่า รวมทั้งข้อตกลงเกี่ยวกับอำนาจ โดยที่รัฐบาลฝรั่งเศสที่กรุงปารีสแม้ทราบเรื่องแต่ไม่ได้ห้ามหรือสั่งการใดๆ เพื่อยับยั้งการกระทำนี้

โฮจิมินห์จึงตอบโต้ด้วยการยกเลิกการเจรจาและเตรียมเดินทางกลับกรุงฮานอย

การกระทำโดยพลการของฝ่ายทหารครั้งนี้ทำให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอาณานิคมฝรั่งเศสขุ่นเคืองมาก เขาเห็นว่าการแยกดินแดนใต้เส้นขนานที่ 16 นั้นควรดำเนินการอย่างค่อยเป็นค่อยไปตามวิถีทางการทูต และควรเตรียมความพร้อมด้านต่างๆ ไว้ก่อน เช่น การลงประชามติ เป็นต้น

แต่ก็ยังคงเพิกเฉยต่อการกระทำครั้งนี้ของฝ่ายทหาร แม้จะตระหนักว่าจะมีส่วนทำให้กระบวนการฟื้นฟูระบอบอาณานิคมในอินโดจีนประสบปัญหามากยิ่งขึ้นในอนาคต ทั้งการขยายตัวของกองทัพเวียดมินห์ รวมไปถึงสงครามใต้เส้นขนานที่ 16 ที่ยังคงเกิดการสู้รบตามเขตป่าเขา รัฐบาลฝรั่งเศสพยายามโน้มน้าวผู้แทนรัฐบาลสาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนามให้กลับสู่โต๊ะเจรจา โดยเสนอว่า ผลปฏิบัติที่เกิดจากการประชุมที่เมืองดาลัตครั้งที่ 2 จะไม่ส่งผลต่อการตัดสินใจใดๆ ในการเจรจาครั้งนี้

การเจรจาจึงเริ่มต้นอีกครั้งในวันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ.1946 แต่ก็ไม่บรรลุข้อตกลงใดๆ มากนัก

ล่วงเข้าถึงเดือนกันยายน ค.ศ.1946 ทั้งสองฝ่ายพยายามเสนอข้อตกลงตามแนวคิดของตน แต่ด้วยหลักการที่แตกต่างกันจึงทำให้ข้อเสนอเหล่านั้นตกไป

 

ท้ายที่สุด ในวันที่ 10 กันยายน ผู้แทนรัฐบาลสาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนามก็ยื่นข้อเสนอที่อ่อนลงโดยยอมรับการอยู่รวมในสหพันธ์อินโดจีนหากฝรั่งเศสยอมให้มีการลงประชามติในดินแดนใต้เส้นขนานที่ 16

ท่าทีที่อ่อนลงดังกล่าวอาจมาจากข่าวการถอนกองทัพจีนคณะชาติออกจากเวียดนาม เนื่องจากการคงอยู่ของกองทัพจีนคณะชาติซึ่งสนับสนุนรัฐบาลสาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนามเป็นปัจจัยสำคัญที่ใช้ในการต่อรองกับฝรั่งเศส เมื่อไม่มีกองทัพจีนคณะชาติ อำนาจของรัฐบาลสาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนามจึงไม่มั่นคงอีกต่อไป ฝรั่งเศสไม่ยอมรับข้อเสนอดังกล่าว ผู้แทนรัฐบาลสาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนามจึงเตรียมตัวกลับกรุงฮานอย

เมื่อโฮจิมินห์ทราบสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงในเวียดนามจึงขอความช่วยเหลือจากสหรัฐอเมริกาอีกครั้งหนึ่งโดยได้เข้าพบเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำกรุงปารีสเมื่อวันที่ 11 กันยายน ค.ศ.1946 โดยชี้แจงสถานการณ์ทางการเมืองในเวียดนามไม่ว่าจะเป็นเรื่องการกลับมาของฝรั่งเศส สงครามใต้เส้นขนานที่ 16 ข้อตกลงเดือนมีนาคม และการประชุมที่เมืองดาลัต การละเมิดข้อตกลงเดือนมีนาคมของฝรั่งเศส วัตถุประสงค์ของเวียดมินห์ในการต่อสู้เพื่อเอกราชและอื่นๆ

โฮจิมินห์ยังอ้างถึงความสัมพันธ์และการร่วมมือระหว่างเวียดมินห์กับหน่วยโอเอสเอสในการต่อสู้กับญี่ปุ่น รวมทั้งแนวนโยบายของประธานาธิบดีโรสเวลต์และการสนับสนุนฟิลิปปินส์ให้เป็นเอกราช

แม้เอกอัครราชทูตสหรัฐจะส่งรายงานการสนทนานี้กลับไปยังกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. แต่สหรัฐอเมริกาก็เงียบเฉย โฮจิมินห์จึงหันมากดดันฝรั่งเศสโดยชี้ให้เห็นความจำเป็นที่ต้องบรรลุข้อตกลงระหว่างกัน มิเช่นนั้นสงครามจะเกิดขึ้นโดยทั้งรัฐบาลและกองทัพเวียดมินห์จะต่อสู้อย่างถึงที่สุดซึ่งจะสร้างความเสียหายอย่างมากให้แก่ฝรั่งเศส

แม้กองทัพฝรั่งเศสจะมั่นใจในศักยภาพของตน แต่รัฐบาลฝรั่งเศสไม่ต้องการให้เกิดปัญหาในกระบวนการฟื้นฟูระบอบอาณานิคมในอินโดจีนจึงยอมตกลงเจรจา

 

การเจรจาดังกล่าวเกิดขึ้นระหว่างโฮจิมินห์กับผู้แทนรัฐบาลฝรั่งเศสและนำไปสู่การลงนามร่วมกันใน “ข้อตกลงชั่วคราว” เมื่อวันที่ 14 กันยายน ค.ศ.1946

โดยมีสาระสำคัญคือ ข้อตกลงเดือนมีนาคมยังคงมีผลบังคับใช้ต่อไป รัฐบาลสาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนามให้การรับรองเสรีภาพ ความปลอดภัยทั้งชีวิตและทรัพย์สินของชาวฝรั่งเศสในเวียดนาม

ให้การรับรองผู้ที่ได้รับการศึกษาแบบฝรั่งเศสว่าจะได้รับงานที่เหมาะสมหากรัฐบาลเวียดมินห์ต้องการผู้เชี่ยวชาญสาขาใดจะต้องเป็นชาวฝรั่งเศส การยอมรับเงินเปียสต์เป็นสกุลเงินหลักของอินโดจีน การจัดตั้งสหภาพศุลกากรขึ้นทั่วอินโดจีน

และการจัดตั้งคณะกรรมาธิการร่วมกันเพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจ การติดต่อสื่อสาร การทูตและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

ตลอดจนการรับรองอำนาจของฝรั่งเศสใต้เส้นขนานที่ 16 ข้อตกลงนี้นำไปสู่การหยุดยิงใต้เส้นขนานที่ 16 โดยมีผลบังคับใช้ในวันที่ 30 ตุลาคม ค.ศ.1946 ทั้งตกลงกันว่าจะจัดการเจรจาขึ้นอีกครั้งในเดือนมกราคม ค.ศ.1947

แต่ในเวลาต่อมาก็ไม่มีการเจรจาใดๆ เกิดขึ้นเพราะทั้ง 2 ฝ่ายตัดสินใจใช้สงครามเป็นทางออกของการแก้ไขปัญหา

 

สงครามเหนือเส้นขนานที่ 16

แม้การบรรลุข้อตกลงเดือนมีนาคมและข้อตกลงชั่วคราวจะไม่ได้ข้อสรุปที่แน่นอนต่อปัญหาทางการเมือง แต่ข้อตกลงดังกล่าวก็เป็นเสมือนการประวิงเวลาการเกิดสงครามเหนือเส้นขนานที่ 16 เอาไว้ ทั้งสองฝ่ายต่างตระหนักว่าสงครามไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ และต่างเตรียมความพร้อมในการเข้าสู่สงครามเต็มรูปแบบ

กองทัพเวียดมินห์ขยายจำนวนกำลังพลเพิ่มมากขึ้นเมื่อการเจรจาที่กรุงปารีสยุติลง กำลังพลจาก 30,000 คน เพิ่มเป็น 60,000 คน

นอกจากนั้น ยังจัดตั้งกองทหารอาสาสมัครขึ้นตามเมืองต่างๆ การเพิ่มกำลังพลเช่นนี้นำไปสู่ปัญหาการขาดแคลนอาวุธยุทโธปกรณ์ แม้จะมีอาวุธที่เคยได้รับจากหน่วยโอเอสเอสรวมถึงอาวุธของกองทัพรัฐบาลอาณานิคมซึ่งกองทัพญี่ปุ่นยึดไว้และตกเป็นของกองทัพเวียดมินห์ระหว่างการปฏิวัติเดือนสิงหาคม ค.ศ.1945 แต่ก็ยังไม่เพียงพอ

รัฐบาลสาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนามจึงแก้ปัญหาโดยการจัดหาอาวุธซึ่งหลงเหลือจากสงครามโลกในประเทศใกล้เคียง เช่น จีน ไทยและฟิลิปปินส์

ทางด้านฝรั่งเศส ผู้บัญชาการกองกำลังนอกประเทศของฝรั่งเศสประจำตะวันออกไกลคนใหม่ซึ่งเข้ารับตำแหน่งตั้งแต่เดือนมิถุนายน ค.ศ.1946 ได้กำหนดแผนปฏิบัติการเพื่อยึดอำนาจรัฐบาลสาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนามและส่งกำลังทหารจากใต้เส้นขนานที่ 16 มาเพิ่มซึ่งเป็นการละเมิดข้อตกลงเดือนมีนาคมเรื่องจำนวนทหารฝรั่งเศสที่สามารถประจำการอยู่ได้เหนือเส้นขนานที่ 16

ทั้งสองฝ่ายต่างเคลื่อนย้ายกำลังพลเพื่อรักษาและยึดจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญเพิ่มเติมซึ่งทำให้เกิดการปะทะประปรายหลายครั้ง

 

ความเคลื่อนไหวทางการทหารดังกล่าวทำให้สถานการณ์ตึงเครียดมากขึ้น

และสิ่งที่จุดชนวนคือนโยบายด้านเศรษฐกิจต่ออินโดจีนของฝรั่งเศส

ในข้อตกลงชั่วคราวแม้ฝรั่งเศสจะยอมรับสกุลเงินเปียสต์ซึ่งรัฐบาลสาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนามประกาศให้เป็นสกุลเงินทางการ แต่ฝรั่งเศสยังกำหนดให้จัดตั้งสหภาพศุลกากรขึ้นทั่วอินโดจีน ทั้งจัดตั้งคณะกรรมาธิการร่วมในการบริหารและแก้ไขปัญหาทางด้านเศรษฐกิจซึ่งขัดกับข้อตกลงเดือนมีนาคมที่ว่ารัฐบาลสาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนามสามารถบริหารงานทางเศรษฐกิจได้อย่างอิสระ

ข้อกำหนดในข้อตกลงชั่วคราวดังกล่าวนี้มีพื้นฐานจากแนวความคิดของฝรั่งเศสที่ต้องการควบคุมหรืออย่างน้อยเข้าไปมีส่วนร่วมต่อระบบเศรษฐกิจของรัฐบาลสาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนามเพื่อใช้ประโยชน์ในการฟื้นฟูระบอบอาณานิคม ฝรั่งเศสส่งเจ้าหน้าที่ไปตามพื้นที่ต่างๆ ของเหนือเส้นขนานที่ 16 เพื่อจัดเก็บภาษีและจัดตั้งด่านศุลกากรตามเส้นทางการค้าที่สำคัญโดยอ้างว่าเป็นไปตามข้อตกลงชั่วคราว

การกระทำดังกล่าวก่อให้เกิดความขัดแย้งกับรัฐบาลและเจ้าหน้าที่สาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนามในพื้นที่ต่างๆ ความขัดแย้งเรื่องดังกล่าวรุนแรงมากที่สุดที่เมืองท่าไฮฟองซึ่งมีความสำคัญอย่างมากต่อสาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนาม ไม่ว่าจะเป็นด้านยุทธศาสตร์เนื่องจากเป็นเส้นทางหลักในการลำเลียงอาวุธยุทโธปกรณ์ทางเรือจากจีนและฟิลิปปินส์ ส่วนด้านเศรษฐกิจนั้นรัฐบาลสาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนามก็ได้ผลประโยชน์จำนวนมากจากภาษีศุลกากรเนื่องจากเป็นท่าเรือหลักในการค้าขายกับจีน

ในวันที่ 20 พฤศจิกายน ค.ศ.1946 กองเรือฝรั่งเศสสกัดเรือสินค้าจีนพร้อมทั้งอ้างสิทธิการจัดเก็บภาษีศุลกากรทั้งหมดที่เมืองท่าไฮฟอง

กองทัพสาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนามจึงเปิดฉากโจมตีกองเรือฝรั่งเศส แม้ผู้บัญชาการที่เมืองท่าไฮฟองของทั้งสองฝ่ายสามารถแก้ไขสถานการณ์เบื้องต้นได้ แต่เมื่อผู้บัญชาการกองกำลังนอกประเทศของฝรั่งเศสประจำตะวันออกไกลทราบข่าวการปะทะจึงส่งรายงานถึงคณะรัฐบาลฝรั่งเศสและขออนุมัติให้กองเรือโจมตีเมืองท่าไฮฟองเพื่อข่มขวัญรัฐบาลและกองทัพสาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนาม เมื่อรัฐบาลฝรั่งเศสอนุมัติ

กองทหารฝรั่งเศสจึงเปิดปฏิบัติการเต็มรูปแบบทั้งทางบก ทางทะเลและทางอากาศเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 6,000 คน

(ขอบคุณข้อมูลจากวิทยานิพนธ์ “ความสัมพันธ์ระหว่างขบวนการเวียดมินห์กับสหรัฐอเมริกา ค.ศ.1944-1954” โดย ว่าที่ร้อยตรี พิชยพรรณ ช่วงประยูร บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร ปีการศึกษา 2560)