ความเป็นจริง (ของคนมีอำนาจ) | ธงชัย วินิจจะกูล

ธงชัย วินิจจะกูล

บทความพิเศษ | ธงชัย วินิจจะกูล

 

ความเป็นจริง

(ของคนมีอำนาจ)

 

สหายรุ่นพี่ซึ่งเคยมีตำเหน่งสำคัญในรัฐบาลเมื่อ 20 กว่าปีก่อน มีปฏิกิริยาต่อการที่ผมประท้วงรัฐบาล (กรณีอะไรก็จำไม่ได้แล้ว) ว่าผม “ไม่รู้ความเป็นจริง” (ไม่เหมือนเขาซึ่งรู้ดีกว่ามาก)

สหายรุ่นพี่ท่านนั้นใช้คำเดียวกันเป๊ะอีกหลายครั้งกับคนที่วิจารณ์รัฐบาลทั้งในคราวนั้นและในปัจจุบัน (ซึ่งเขามีตำเหน่งสำคัญยิ่งกว่าเดิม) น่าจะเรียกว่าเป็นคำอธิบายมาตรฐานของเขาก็ได้ คือความคิดต่างเป็นเพราะคนอื่นไม่รู้ความเป็นจริงซึ่งเขารู้ดีกว่า

อะไรคือความเป็นจริงซึ่งผมและคนอีกมากไม่รู้ แต่เขารู้

 

จากการสนทนากับเขาและเพื่อนเก่าๆ ที่เคยมีอำนาจหลายครั้งต่อมา (ในช่วงที่พวกเขาตกจากอำนาจ) ผมพบว่าพวกเขาอยู่ท่ามกลางผู้คน สภาวะการชิงไหวชิงพริบทางการเมืองระยะสั้นๆ ปัญหาและอุปสรรคเฉพาะหน้าอีกพะเรอในการบริหารงานเป็นรัฐบาล พวกเขาเล่าให้ฟังได้เป็นร้อยพันฉากว่าเกิดอะไรขึ้นที่เราไม่รู้อะไร แต่เขาเจอทุกวี่วัน

หลายคนเรียกความเป็นจริงประเภทนี้ว่า Realpolitik

หลายคนชอบฟังเรื่องพรรค์นี้มากโดยเฉพาะคนในวงการสื่อ คงเป็นเพราะตื่นเต้นที่ได้เข้าไปรับรู้ได้เสพความเป็นจริงแบบเอ็กซ์คลูซีฟซึ่งคนธรรมดาคงไม่มีบุญจะได้รู้ ผมสังเกตว่าคนธรรมดาที่หมกมุ่นกับการเมืองมักหมกมุ่นกับ Realpolitik มากเกินไปเช่นกัน

ยิ่งรู้ยิ่งเสพก็ยิ่งติด คงเพราะรู้สึกตัวเองสำคัญขึ้นมาหน่อย (ตรงนี้ผมนึกถึงหลายคนที่กลายเป็นนักแบกขึ้นมาทันที)

เพราะปกติย่อมมีแต่คนที่อยู่วงในใกล้ศูนย์อำนาจเท่านั้นจึงจะมีประสบการณ์โดยตรงกับความเป็นจริงประเภทนี้ได้

คนมีอำนาจในประเทศไทยนั้นพวกเขาเสพติดมันจนเป็นชีวิตจิตใจ กลายเป็นกรอบการคิด เป็นวิธีอธิบายสารพัดกรณีว่าทำได้หรือไม่ได้เพราะอะไร

แต่ผมสงสัยว่าเราท่านจำเป็นต้องรู้ความเป็นจริงแบบนั้นหรือ

 

ผมยังสงสัยต่อไปอีกว่า Realpolitik อาจเป็นเพียงปรากฏการณ์ เป็นแค่ส่วนยอดของภูเขาน้ำแข็ง ยังมีความเป็นจริงที่ใหญ่โตกว่านั้นมากหลบอยู่ใต้ผิวน้ำ เราจึงมองไม่เห็น

ระบบเลวๆ ที่กลืนกินคนดีมีความสามารถ ปัญหาระดับฐานรากหรือโครงสร้าง กฎเกณฑ์ กฎหมายล้าสมัย ธรรมเนียมที่เคยทำกันมานานแต่ไม่เหมาะกับปัจจุบันอีกแล้ว ฯลฯ เหล่านี้เป็นปัจจัยให้ก่อปัญหาที่ก่อผลเสียที่เราเห็นเป็น Realpolitik ครั้งแล้วครั้งเล่า

ความจริงอื่นแบบนี้แหละที่สหายรุ่นพี่ท่านนั้นและผู้มีอำนาจนั้นไม่พูดถึง และอาจจะไม่สนใจจะรู้

ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว ใครกันแน่ที่ไม่รู้ความเป็นจริง

อันที่จริง พวกเขาและเราท่านในยามที่ไม่มีอำนาจก็พอจะรู้ความเป็นจริงที่หลบอยู่ใต้ผิวน้ำอยู่ ตอนหาเสียงจึงพูดถึงว่าจะยกเลิกเกณฑ์ทหาร จะปฏิรูปกองทัพ จะแก้ 112 จะแก้คอร์รัปชั่นที่ฝังลึกในวงการนั้นนี้ จะแก้ปัญหาสารพัดอย่างถึงราก

แต่ครั้นมีอำนาจกลับไม่รู้ขึ้นมาฉับพลัน อาจเป็นเพราะเชื่อว่าทำอะไรกับมันไม่ได้ ขอจัดการกับส่วนยอดของภูเขาน้ำแข็งและรักษาอำนาจไว้เพื่อชนะการเลือกตั้งครั้งหน้าไว้ก็พอ

เช่นนี้เอง แต่พอเขามีอำนาจจึงสั่งสอนเราท่านว่าไม่รู้จักความเป็นจริงแบบ Realpolitik

ความหมกมุ่นกับ Realpolitik ยังทำให้เราท่านลืมหรือมองข้ามหลักการ เป้าหมาย หรืออุดมคติ ไม่มองยาวถึงอนาคต กลับมองสั้นๆ และขาดหลักยึดจนการเมืองกลายเป็นแค่การเอาชนะคะคานกันด้วยโวหาร เป็นเกมที่เอาชนะกันด้วยอุบายชิงไหวพริบเท่านั้น

ยิ่งเสพติดความเป็นจริงแบบเอ็กซ์คลูซีฟจึงยิ่งถอยห่างจากการเมืองที่มีหลักการอุดมการณ์

ในบทบาทของประชาชนอย่างเราท่านที่เฝ้าติดตามการเมืองในแง่เป็นกิจสาธารณะนั้น เราเปิดใจเรียนรู้ Realpolitik ก็ดีอยู่ แต่ควรตระหนักถึงด้านลบของมันที่ทำให้เราหลงใหลกับความน่าพิสมัยของอำนาจ ทำให้เราสนใจแค่การเมืองระยะสั้นและผิวเผิน ปราศจากหลักการ จริยธรรมทางการเมือง หรืออุดมคติ ไม่คำนึงถึงอนาคต

 

นอกเหนือจาก Realpolitik ยังมีความเป็นจริงอีกอย่างหนึ่งที่เรามักใช้อ้างกันพร่ำเพรื่ออย่างง่ายๆ ในสังคมการเมืองไทยนั่นคือ ความเป็นจริงแบบอกาลิโก

เรามักอธิบายปัญหาหรือสภาวะทางการเมืองด้วยเหตุผลเชิงศาสนาซึ่งเป็นจริงไม่ว่าในยุคใดสมัยใด เช่น การเมืองเป็นเรื่องผลประโยชน์ ปัญหาอยู่ที่ความไม่ซื่อสัตย์ เห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตน ฯลฯ

อีกตัวอย่างที่อาจจะมีเฉพาะในสังคมไทยเท่านั้น ได้แก่ ข้อหา “ขาดความจริงใจ” เราท่านมักเรียกหาความจริงใจจากรัฐ คนมีอำนาจหรือทางราชการ และจากผู้เกี่ยวข้องกับปัญหาใดๆ ก็ตาม ทั้งคนพูดและคนฟังดูเหมือนจะเชื่อตรงกันว่าการขาดวามจริงใจเป็นที่มาของปัญหา และหากมีความจริงใจก็จะเป็นยาสารพัดนึก

นี่เป็นความเชื่อของพุทธเถรวาทขนานแท้ (ขอเก็บประเด็นนี้ไว้อธิบายในโอกาสอื่น) แต่ไม่แน่ใจว่ามีใครเคยเห็นไหมว่าความจริงใจมีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร มีใครเคยรู้ไหมว่าถ้าขาดแคลนแล้วจะผลิตได้อย่างไร

อีกอย่างที่เชื่อกันมากแถมไม่มีทางผิดไม่ว่าในยุคสมัยใด นั่นคือ คำกล่าวว่าปัญหาอยู่ที่คน ถ้าคนดีสุจริตซะก็หมดเรื่อง ปัญหาของระบบกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมก็อยู่ที่คน ไม่ต้องสนใจยกเครื่อง สะสางระบบหรือเปลี่ยนหลักสูตรนิติศาสตร์

ผู้พิพากษาใหม่จึงต้องผ่านการอบรมศีลธรรมและฝึกทำสมาธิ ครั้นเป็นคนดีแล้วก็ไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดอคติ จึงสามารถเข้าร่วมโครงการหาพรรคพวกอย่าง วปอ. ก็ได้หรือจะเป็นผู้จัดทำโครงการประเภทดังกล่าวเสียเองอย่าง บยส. (หลักสูตรผู้บริหารกระบวนการยุติธรรมระดับสูง) ก็ได้

คำอธิบายแบบอกาลิโกเหล่านี้คงมิได้ทำให้ใครตื่นเต้น แต่อาจทำให้ผู้กล่าวรู้สึกตัวเองลอยสูงเหนือปัญหาโดยที่ไม่ต้องเข้าใจอะไรเลย ถ้าผู้กล่าวเป็นคนมีอำนาจก็ยิ่งทำให้เขาดูสูงส่งน่าเลื่อมใส (คงพอนึกออกนะครับว่าผู้มีอำนาจคนไหนที่มักทำตัวเป็นผู้ประเสริฐทางการเมือง)

ส่วนผู้ฟังก็รู้สึกเห็นคล้อยตามคนพูดและคำพูดนั้น ซึ่งช่วยให้เราเห็นตรงกันได้ง่าย สามัคคีกัน ไม่ต้องเกิดความขัดแย้งเห็นต่างกัน พอๆ กับที่ไม่ต้องพยายามเข้าใจปัญหาหนึ่งๆ อย่างเป็นรูปธรรมแต่อย่างใด

 

ประชาชนอย่างเราท่านสามารถมีหลักการและอุดมคติได้ คิดรับรู้และถกเถียงปัญหาระบบโครงสร้างและทุกอย่างที่ซ่อนตัวอยู่ใต้ผิวน้ำได้ คนที่เชื่อว่าชาวบ้านพอใจแค่มีกินมีใช้ ดังนั้น เราไม่ควรผลักดันอะไรมากไปกว่าที่ชาวบ้านต้องการ ความคิดแบบนี้ดูถูกศักยภาพของชาวบ้าน

ประชาชนสามารถรับมือกับปัญหาทางโลกที่หลากหลายได้อย่างเป็นรูปธรรมโดยไม่ต้องทำให้พร่ามัวด้วยสัจธรรมทางศาสนา ไม่ต้องเบี่ยงเบนหลบเลี่ยงการประจัญกับปัญหาระบบหรือโครงสร้างด้วยการชี้นิ้วไปที่ทุจริตชนบางคน

แต่ผมเชื่อว่าการเข้าใจและอธิบายง่ายๆ ด้วยสัจธรรรมทางศาสนาเป็นนิสัยมักง่ายของชาวพุทธจำนวนมากโดยไม่ตระหนักว่าเป็นการหลบเลี่ยงไม่เผชิญความซับซ้อนทางโลกย์

หากผู้มีอำนาจเห็นเพียงปัญหาส่วนที่พ้นเหนือน้ำ แต่ไม่สนใจปัญหาระดับพื้นฐานขนาดเท่าภูเขาเลากาที่หลบอยู่ใต้น้ำ หรือรู้แต่เพิกเฉย ก็น่าเสียดาย แต่ผมไม่เชื่อว่านักการเมืองไทยไร้สติปัญญาขนาดนั้น ผมเข้าใจว่าพวกเขาก็เห็นและตระหนักเป็นอย่างดี แต่ขาดเจตจำนงทางการเมือง (political will) ที่จะจัดการกับมัน

กล่าวอีกอย่างก็ได้ว่าขี้ขลาด เพราะอาจทำให้เขาสูญเสียอำนาจ

“ความเป็นจริง” ทั้งสองแบบเป็นเพียงข้อแก้ตัวว่าจะไม่ทำอะไรเกินไปนักเพื่อจะไม่ต้องเสียอำนาจ

ถ้าสหายรุ่นพี่ท่านจะกล้าบอกว่าเขาตระหนักถึงความเป็นจริงใต้น้ำตามที่ผมเห็นอยู่เช่นกัน ความต่างของเราอยู่ตรงที่จะจัดการกับมันระยะสั้นระยะยาว มากน้อย เร็วช้าต่างกัน หากอธิบายเช่นนี้ ผมยังยินดีเปิดใจถกเถียงกันได้

ถ้านักศีลธรรมจะไม่หลบเลี่ยงอยู่ข้างหลังภาพพจน์ที่ดูสูงส่ง ลงมาคลุกคลีกับรูปธรรมที่ยากจะเข้าใจหรือแก้ไข ต่อให้ไม่ถูกเสมอไปก็น่าเคารพนับถือ ไหว้ได้สนิทใจ