33 ปี ชีวิตสีกากี พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ (119)

พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์

บทความพิเศษ | พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์

 

33 ปี ชีวิตสีกากี

พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ (119)

 

ขอเป็นแทร็กเตอร์ ‘ไถ’ ให้ราบ

วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม 2535

เกิดคดีมือปืนจำนวน 2 คน ใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะ แล้วมือปืนใช้อาวุธปืนยิงไต๋เรือ ชื่อ นายสมพงษ์หรือแคล้ว คลองโคน เสียชีวิตทันที และถูกนายทองสุขหรือทองสุก สุภาพ ได้รับบาดเจ็บ ขณะที่ทั้งคู่เดินออกจากท่าเรือเพื่อจะไปสี่แยกเจ๊ะบิลัง

เหตุเกิดบริเวณท่าเรือเจ๊ะบิลัง หมู่ที่ 2 ต.เจ๊ะบิลัง อ.เมือง จ.สตูล

พ.ต.ท.สติ มาลกานนท์ สวญ., พ.ต.ต.สัมบูรณ์ บัวสิงห์ สว.สืบสวน, ด.ต.วิจิตร เสนหนู นำเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมนายสุรัตน์หรือรัตน์ ดำดัด นายขรรค์ชัย แก้วทนง พร้อมกับยึดอาวุธปืนลูกซองสั้น จำนวน 1 กระบอก รถจักรยานยนต์ที่ใช้เป็นยานพาหนะในการกระทำผิด 1 คัน มาดำเนินคดีในความผิดฐานร่วมกันฆ่าและพยายามฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อน

มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และพกพาอาวุธปืนเข้าไปในเมืองหมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันคาร

ผมได้สอบสวนผู้ต้องหาทั้งสองคนให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา โดยนายสุรัตน์หรือรัตน์ รับว่าเป็นมือปืนที่ใช้อาวุธปืนลูกซองยิงผู้ตายและนายทองสุข

ส่วนนายขรรค์ชัยรับว่าเป็นผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์พานายสุรัตน์หลบหนี

ในชั้นพิจารณาของศาลจังหวัดสตูล นายสุรัตน์ยังคงให้การรับสารภาพ แต่นายขรรค์ชัยกลับคำให้การ ปฏิเสธสู้คดี นำสืบโดยอ้างฐานที่อยู่

แต่พยานของฝ่ายจำเลยไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานที่พนักงานสอบสวนรวบรวมไว้ ทั้งการที่มีการตระเตรียมอาวุธปืนและรถจักรยานยนต์ จึงฟังได้ว่า จำเลยมีเจตนาฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และเล็งเห็นผลได้ว่ากระสุนปืนอาจถูกนายทองสุขจนถึงแก่ความตายได้

การกระทำของจำเลย จึงเป็นความผิดฐานพยายามฆ่านายทองสุข

พิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80, 288(4) และ พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 ฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุกคนละ 1 ปี

ฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านและทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุกคนละ 1 ปี

ฐานฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อนและฐานพยายามฆ่าผู้เสียหาย เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ลงโทษฐานฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อนซึ่งเป็นบทหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ลงโทษประหารชีวิต

จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพในชั้นพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 52(2)

ส่วนจำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและสอบสวน เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้จำเลยที่ 2 หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 52(1)

ฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 6 เดือน จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 8 เดือน

ฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมืองและทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 6 เดือน จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 8 เดือน

ฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 40 ปี จำคุกจำเลยที่ 2 ตลอดชีวิต

รวมโทษทุกกระทงแล้วให้จำคุกจำเลยที่ 1 ไว้ 41 ปี จำคุกจำเลยที่ 2 ไว้ตลอดชีวิต

 

วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม 2535

ได้เกิดคดีขึ้นพร้อมกัน 2 คดี

คดีแรกมีผู้พบศพ ด.ญ.ปัฐมาพร เปล่งประดับ นักเรียนโรงเรียนสตูลวิทยา ถูกฆ่าตายในสภาพถูกเชือกมัดมือมัดเท้า ศพถูกทิ้งไว้ที่ป่ากล้วยใกล้ตลาดโต้รุ่งหลังธนาคารกสิกรไทย ซอย 2 ถนนสมันตประดิษฐ์ ต.พิมาน อ.เมือง จ.สตูล

เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถสืบสวนจนจับกุมตัวนายวัลลภหรือบอล แดงมาก นักเรียนโรงเรียนสตูลวิทยา มาดำเนินคดีในความผิดฐาน ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา สาเหตุที่ฆ่าเนื่องจากความหึงหวง

ศาลได้พิจารณาเห็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 จำเลยอายุไม่เกิน 17 ปี ลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่ง ลงโทษจำคุก 10 ปี และรับสารภาพให้การเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 5 ปี

คดีที่สอง เหตุเกิดที่ห้องพักพนักงานของร้านอาหารวังทอง ถนนสตูลธานี ต.พิมาน อ.เมือง จ.สตูล พบศพ น.ส.หนูเนิมหรือเพิ่ม เกลี้ยงแก้ว อยู่ภายในห้องพัก สภาพศพถูกทำร้ายด้วยการรัดคอ และมีบาดแผลตามร่างกาย

จากการสืบสวนพบพยานหลักฐาน จนสามารถจับกุมนายสมบูรณ์หรือบูรณ์ ตันตระกูล เป็นผู้ต้องหาดำเนินคดีในความผิดฐานชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย

ในชั้นพนักงานสอบสวน ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา แต่ในชั้นพิจารณาของศาล กลับให้การปฏิเสธ

ศาลได้พิจารณาพยานของจำเลย ไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานที่พนักงานสอบสวนรวบรวมไว้ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยเป็นคนร้ายที่กระทำผิดจริงตามฟ้อง

พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 339 วรรคท้าย เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษตามมาตรา 339 วรรคท้าย ซึ่งเป็นบทหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำเลยอายุ 20 ปี มีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีแล้ว จึงไม่ลดมาตราส่วนโทษให้ จำคุกจำเลยตลอดชีวิต

คดีนี้ผมได้รับความกดดันอย่างหนักจากญาติของผู้ต้องหา และพยายามกลั่นแกล้งผมด้วยการร้องเรียนไปยังหน่วยงานต่างๆ แม้ว่าคดีจะอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลแล้วก็ตาม

ที่เล่ามาทั้งหมดนี้เป็นคดีตัวอย่างที่หยิบยกให้เห็นถึงสภาพอาชญากรรมทั่วๆ ไปที่เกิดขึ้นในเวลานั้น จนกระทั่งสิ้นปี 2535

ผมสรุปการทำงานทั้งปี มีคดีอาญาที่อยู่ในความรับผิดชอบ 812 คดี เป็นคดีอุกฉกรรจ์ 11 คดี และคดีเปรียบเทียบปรับ 5,345 คดี รวมเงินที่เปรียบเทียบปรับ 644,799 บาท จากการปฏิบัติหน้าที่

จึงส่งผลให้ได้รับการคัดเลือกเป็นพนักงานสอบสวนดีเด่นของกรมตำรวจ ระดับสารวัตร ประจำปี พ.ศ.2535 รับโล่และประกาศเกียรติคุณจากอธิบดีกรมตำรวจ

 

ปี พ.ศ.2536

ผมเป็นตำรวจเมืองสตูลมาจะครบ 2 ปีแล้ว งานส่วนใหญ่ยังคร่ำเคร่งกับการสืบสวนสอบสวนคดีอาชญากรรมที่เกิดขึ้นในพื้นที่

กลางวันผมทำงานตามปกติ ตรวจสำนวนการสอบสวนทั่วไป หรือไม่ก็ออกไปติดตามจับกุมคนร้าย ไปเป็นพยานศาล หรือติดต่อราชการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

แต่กลางคืนผมจะทำสำนวนการสอบสวนจนดึกดื่นภายในห้องทำงาน ซึ่งเป็นเวลาที่ผมชอบที่สุด เพราะไม่มีใครมารบกวน ทำให้มีสมาธิในการพิจารณารายละเอียดคดีแต่ละคดีได้อย่างปะติดปะต่อ บางครั้งเวลาผ่านไปโดยไม่รู้ตัว ตี 2 ตี 3 เข้าไปแล้ว จนต้องรีบกลับไปนอน เพราะรุ่งขึ้นก็ต้องทำงานตามปกติ

ช่วงเลิกงานผมจะใช้เวลาวิ่งออกกำลังกายรอบที่ทำงานประมาณ 20 รอบ จนเหงื่อออกเปียกทั่วร่างกาย

เป็นชีวิตของผมเมื่อยังเป็นสารวัตรที่สตูล

ผมจะเล่าถึงรายชื่อนายตำรวจหรือตำรวจที่เคยร่วมงานกันมาและทำให้งานของผมสำเร็จลุล่วง หรือบางครั้งก็สร้างปัญหาให้ลำบากยุ่งยาก และบันทึกเอาไว้เพราะเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นและผ่านมาแล้ว

ร.ต.หิรัญ ศิษฏิโกวิท ยังเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดสตูล และผมได้นำหนังสือของผู้กำกับไปยื่นให้ท่านลงชื่อเพื่ออนุญาตให้ ร.ต.อ.สมนึก สวัสดิกุล รอง สวส.สภ.อ.ละงู มาช่วยราชการเป็นพนักงานสอบสวน สภ.อ.เมืองสตูล ตั้งแต่วันที่ 6 มกราคม 2536 เพราะพนักงานสอบสวนที่เมืองสตูลไม่เพียงพอ

เวลานั้น พ.ต.ท.ทวีพร ชูรินทร์ เป็น สว.สภ.ต.ฉลุง, พ.ต.ท.สมศักดิ์ ขนุนทอง เป็น ตม.จังหวัดสตูล มีพ่อค้าประชาชนและข้าราชการ ต้องการเดินทางไปเที่ยวที่เกาะลังกาวีกันมาก จึงมาใช้บริการของพี่สมศักดิ์กันอย่างคับคั่งไม่ขาดสาย

ส่วนตำรวจน้ำสตูล มี พ.ต.ท.อนันต์ ห่วงทองคำ เป็นหัวหน้า ร.ต.อ.สมพงศ์ ทิพย์อาภากุล ย้ายมาเป็นสารวัตรสอบสวน ตำรวจภูธรจังหวัดสตูล จากที่เคยอยู่ระนองช่วงหนึ่งก็วนกลับมาเจอกันอีก

 

นายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ให้คำขวัญวันเด็กไว้ว่า “ยึดมั่นประชาธิปไตย ร่วมใจพัฒนา รักษาสิ่งแวดล้อม”

วันเวลาผ่านมาเนิ่นนานจนถึงวันนี้ ผมยังอดหัวเราะและรู้สึกสมเพชคนที่เป็นนักการเมืองของเมืองไทยไม่ได้ ตลกยิ่งกว่าล้อต๊อกเสียอีก พูดได้เรื่อยเปื่อยไปเรื่อย ส่วนทำหรือไม่ทำเป็นอีกเรื่อง

พูดเสียสวยหรูคมคำคมกริบจนบาดไปถึงไหนๆ ของจริงไม่มีมรรคผลอะไรเลย

แต่ผมขอเอาแบบทื่อๆ ตรงๆ ใช้รถแทร็กเตอร์ไถให้ราบแบบนี้ ไม่ต้องใช้ภาษามีดโกนอาบน้ำผึ้ง

ไม่ต้องลีลา ดัดจริตจริงๆ จนน่าหมั่นไส้

ถ้าอยู่ใกล้ๆ คงจะต้องใช้อวัยวะของร่างกายส่วนที่ยาวที่สุดซัดสักเปรี้ยง ให้สะใจสักที

ผมเป็นตำรวจ จึงเห็นสันดานอย่างใกล้ชิด และรู้ลึกกว่าคนทั่วไป