ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 11 - 17 เมษายน 2568 |
---|---|
เผยแพร่ |
บทความพิเศษ | ธเนศวร์ เจริญเมือง
ผลสะเทือนของลัทธิมาร์กซ์
ต่อพรรคปีกก้าวหน้า
กรณีศึกษายุโรปตะวันออก (2)
ในระยะแรก พรรคบอลเชวิกคุมอำนาจร่วมกับนักปฏิวัติสังคมจากหลายกลุ่ม และยอมรับแนวคิดสภาแห่งชาติจากหลายพรรค แต่ทว่าในช่วงสงครามกลางเมือง ได้เกิดการต่อสู้และทำลายสมาชิกและองค์กรต่างๆ ทางการเมืองเป็นจำนวนมาก ถูกต่อต้านการปฏิวัติได้ถูกจับกุมก็เป็นจำนวนมาก
เลนินและพรรคบอลเชวิก ประเมินว่าได้เกิดความเสียหายอย่างหนักต่อกำลังคนและประเทศ ภาวะความอดอยากและเศรษฐกิจยิ่งเลวร้ายลง อีกทั้งการชุมนุมเรียกร้องของประชาชนก็ยังคงมีต่อเนื่อง
รัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์จึงยุตินโยบายคอมมิวนิสต์ยามสงคราม (War Communism) ในช่วงสงครามในปี 1921
ตามมติที่ประชุมพรรค ครั้งที่ 10 ในเดือนมีนาคม 1921 รัฐบาลของสหภาพโซเวียต ได้เริ่มนโยบาย NEP (New Economic Policy) เพื่อหวังรื้อฟื้นสภาพเศรษฐกิจให้เติบโต ด้วยการผสมผสานระหว่างระบบตลาดเสรีกับทุนนิยมที่รัฐควบคุม ได้แก่
1. อนุญาตให้มีการถือครองทรัพย์สินส่วนบุคคล
2. อนุญาตให้มีการลงทุนของเอกชนขนาดเล็กและกลาง
3. ให้ผลกำไรอยู่กับผู้ลงทุนต่อไป
4. ให้รัฐทำกิจการขนาดใหญ่ และธนาคาร ตลอดจนการค้ากับต่างประเทศ
5. เรียกร้องให้ทุนนิยมตะวันตกกลับมาลงทุนในรัสเซียอีกครั้ง
6. ยกเลิกการบังคับเกษตรกรให้จ่ายผลผลิตข้าวให้รัฐ
และ 7. จัดทำนโยบายปฏิรูปการเงินในช่วงปี 1922-1924 หนึ่งในนั้นคือ การดึงเงินลงทุนมาจากต่างประเทศ
มีรายงานว่าผลผลิตการเกษตรและการค้าขายได้กลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง
และแล้วเริ่มในปี 1928 สตาลิน ผู้นำต่อจากเลนิน ก็ได้ยกเลิกนโยบายต่างๆ ที่กล่าวมา และแทนที่ด้วยนโยบายสังคมนิยมด้วยการโอนกิจการต่างๆ ทั้งภาคอุตสาหกรรม การค้า และภาคเกษตรทั้งหมดมาเป็นของรัฐ
ความพลิกผันของสถานการณ์
น่าเสียดายที่สถานการณ์หลายอย่างมีลักษณะสร้างความขัดแย้งและเกิดการแก้ไขข้อขัดแย้งเหล่านั้นอย่างรุนแรง อันส่งผลให้พัฒนาการทางการเมืองและเศรษฐกิจมีหนทางเดินที่แคบลงเป็นขั้นๆ
หนึ่ง กีออร์กี้ เพลคานอฟ ล้มป่วยและเสียชีวิตในช่วงกลางปี 1918 ด้วยวัย 62 ปี ทำให้ประเทศสูญเสียนักคิดคนสำคัญของลัทธิมาร์กซ์รัสเซียที่จะเสนอมุมมองทางทฤษฎีที่ต่างออกไปต่อการพัฒนารัฐเกิดใหม่
สอง เลนิน ซึ่งถูกลอบยิงในเดือนสิงหาคม 1918 บาดแผลบางส่วนกระทบระบบประสาท ส่งผลให้สุขภาพเริ่มทรุดโทรม เขาเป็นโรคหลอดเลือดในสมองพิการถึง 3 ครั้งในช่วงปี 1922-1923 และเสียชีวิตในช่วงต้นปีต่อมา ด้วยวัยเพียง 54 ปี นับเป็นการสูญเสียที่ยิ่งใหญ่สำหรับรัฐที่เกิดใหม่และขาดประสบการณ์
สาม ด้วยตระหนักในปัญหาสุขภาพ เลนินจึงเขียนคำฝากฝังไว้ในช่วงปลายปี 1922-ต้นปี 1923 เขามองเห็นจุดอ่อนของสตาลิน ในฐานะเลขาธิการของพรรคคอมมิวนิสต์ ที่ได้แสดงลัทธิอำนาจนิยมในการใช้ตำแหน่งออกคำสั่งเพื่อบริหารพรรค เขายังได้เห็นการขัดแย้งกันทางความคิดและท่าที-นโยบายระหว่างทรอตสกี้และสตาลิน มาแล้วหลายครั้ง
เลนินได้เรียกประชุมองค์กรนำ 7 คน ซึ่งประกอบด้วย Zinoviev, Kamenev, Trotsky, Bukharin, Pyatakov และ Stalin และเสนอให้ระมัดระวังความแตกร้าวที่จะเกิดขึ้นต่อไป และได้เสนอถอดสตาลินออกจากตำแหน่งเลขาธิการ เป็นคำสั่งเสียที่ลงนามในวันที่ 23 ธันวาคม 1923 และนำเสนอต่อคณะผู้นำของพรรค 3 คนในเดือนถัดมา ได้แก่ Kamenev, Zinoviev และ Stalin
ที่ผ่านมา ทรอตสกี้มีตำแหน่งเป็นเพียงผู้บริหารของรัฐ คือ รมว.กลาโหมและเป็นผู้บัญชาการกองทัพแดงในการสู้กับกลุ่มต่างๆ ระหว่างปี 1917-1920 แต่ไม่มีตำแหน่งบริหารในพรรค เลนินเห็นว่าทรอตสกี้สมควรขึ้นเป็นรองประธานพรรคต่อจากตนเอง
น่าเสียดายที่สุขภาพของเลนินทรุดลงเป็นลำดับ การต่อสู้ด้านกำลังคงเป็นไปอย่างเข้มข้นภายในกลุ่มฝ่ายนำของพรรคเป็นเช่นไรไม่มีหลักฐานชัดเจน แต่ที่แน่ชัดก็คือ ไม่มีใครนำคำสั่งเสียของเลนินไปปฏิบัติ จนกระทั่งเขาจากไปในต้นปีต่อมา
ทรอตสกี้ (1879-1940) เป็นนักปฏิวัติที่โดดเด่น โดยเฉพาะในการปราศัยต่อที่ชุมนุมและการเสนอความคิดเห็นในหลายเรื่อง
เขาสนับสนุนแนวคิดของเลนิน เรื่องพรรคกองหน้าชนชั้นกรรมาชีพ เขาเห็นต่างจากลักเซมเบิร์กที่ว่า กรรมกรลุกขึ้นสู้แบบเป็นเอง (Spontaneous movement) คือคำตอบที่สำคัญยิ่งกว่าการมีพรรคกองหน้า การลุกขึ้นสู้แบบไร้การจัดตั้งจะสำคัญกว่าได้อย่างไรในเมื่อชนชั้นนายทุนกุมอำนาจรัฐ มีระบบราชการที่เข้มแข็งและคุมกองทัพติดอาวุธที่ผ่านการฝึกซ้อมและมีวินัย
ทรอตสกี้จึงเห็นว่า เมื่อไม่มีพรรคคอมมิวนิสต์ที่ขาดทฤษฎีชี้นำการปฏิวัติ ไม่มีองค์กรนำที่มีทิศทางที่แน่วแน่ การปฏิวัติจะเกิดขึ้นและประสบความสำเร็จได้อย่างไรกัน
สำหรับเผด็จการของชนชั้นกรรมาชีพที่มาร์กซ์เสนอไว้ในแถลงการณ์คอมมิวนิสต์ ก็เช่นเดียวกัน ในเมื่อชนชั้นนายทุนปกครองด้วยระบบเผด็จการของชนชั้นตัวเอง พร้อมกับมีกลไกรัฐที่แข็งแกร่งทุกๆ ด้าน ชนชั้นกรรมาชีพจะมีอะไรไปต่อต้านขบวนการต่อสู้ของฝ่ายอำนาจเก่า การรุมล้อมสหภาพโซเวียตในช่วงปี 1917-1919 ของฝ่ายทุนนิยมที่รัฐสังคมนิยมโซเวียตยังเพิ่งเริ่มตั้งไข่ก็เห็นชัดเจนว่าไม่มีเผด็จการของชนชั้นกรรมาชีพและพรรคคอมมิวนิสต์ซึ่งเป็นพรรคกองหน้า สหภาพโซเวียตก็คงไม่อาจเอาตัวไม่รอดได้
ในบทความหลายชิ้นของทรอตสกี้ เขาได้เสนอมุมมองที่สอดรับกับทัศนะของเลนินเป็นส่วนใหญ่ เช่น
1. ในการทำงานปฏิวัติเพื่อไปบรรลุรัฐสังคมนิยม สิ่งแรกที่ต้องมีคือ การสร้างความเป็นประชาธิปไตยให้แก่กลุ่มกรรมกรแต่ละแห่งจัดตั้งกันขึ้นเป็นสภาผู้แทน (โซเวียต), มีการเลือกตั้งตัวแทนจากพรรคสังคมนิยมเข้าร่วมในสภาที่เป็นปากเสียงของกรรมกรในแต่ละพื้นที่ และมีแนวร่วมที่กว้างใหญ่เพื่อต่อต้านพรรคและองค์กรการเมืองที่มีนโยบายต่อต้านการเปลี่ยนแปลงสังคม
2. ในการสร้างรัฐสังคมนิยม ทุกอย่างต้องเริ่มจากสังคมนิยมที่เป็นวิทยาศาสตร์ นั่นคือ การสำรวจและใส่ใจรายละเอียดของการผลิตแต่ละอย่าง การวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจที่มาจากการกระจายอำนาจให้แต่ละกลุ่ม ทั้งนี้ก็เพราะกรรมกรเป็นผู้ควบคุมการผลิตของเขาเอง เขาย่อมล่วงรู้รายละเอียดต่างๆ และสามารถเสนอและจัดทำแนวทางปรับปรุง ตลอดจนวางแผนการทำงานของเขาเองไปสู่อนาคตได้
3. ในระยะผ่านจากระบบทุนนิยมไปสู่ระบบสังคมนิยม หลักการสำคัญ 3 ข้อที่ต้องไม่ลืมก็คือ
1. การมีอิสระและเป็นตัวของตัวเอง (autonomy) เช่น การเคลื่อนไหวทุกๆ ด้านของกลุ่มกรรมกรทุกขั้นตอนในงานศิลปะทุกแบบ ไม่ว่าจะเป็นเพลง ดนตรี การแสดง ภาพวาด งานปั้น งานไม้ ฯลฯ กรรมกรควรได้รับการส่งเสริมให้แสดงความคิดริเริ่ม อันเป็นการแสดงออกทางศิลปะและวัฒนธรรมอย่างเต็มที่ (Cultural autonomy for artistic activities)
2. มีความเต็มใจที่จะเข้าร่วมทำกิจกรรมต่างๆ มิใช่การบังคับหรือยัดเยียด (Voluntary association and other types of activities)
และ 3. เห็นความสำคัญของการมีส่วนร่วม, กิจกรรมรวมหมู่ รวมทั้งสำนึกต่อผลประโยชน์ของส่วนรวมแต่ละระดับ (Awareness of participation, collective actions and public interests)
แน่นอน ทั้งหมดนี้ย่อมต้องมีกระบวนการพูดคุย และแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ตลอดจนโครงการให้การศึกษาและอบรม ที่ต้องอาศัยเวลาและการทำงานรวมหมู่ และด้วยความตระหนักว่าความรีบร้อนในการตัดสินใจและลงมือโดยไม่คำนึงถึงความเสียหายที่จะเกิดขึ้นเป็นเรื่องที่อันตรายอย่างยิ่ง
สุดท้าย ทรอตสกี้ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดสังคมนิยมในประเทศเดียว (theory of socialism in one country) แต่เห็นว่าการปฏิวัติสังคมจะต้องมีการทำงานร่วมกัน หนุนช่วยและร่วมมือกันเพื่อให้เกิดการปฏิวัติสังคมเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในภูมิภาคต่างๆ
มกราคม 1924 หลังการจากไปของเลนิน สตาลินก้าวขึ้นเป็นผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์รัสเซียและพรรคคอมมิวนิสต์ของสหภาพโซเวียต
ตุลาคม 1927 ทรอตสกี้ถูกขับออกจากพรรคคอมมิวนิสต์และต้องยุติบทบาททางการเมืองทั้งหมด
พฤศจิกายน 1927 ทรอตสกี้ถูกขับออกพรรคคอมมิวนิสต์ของสหภาพโซเวียต
มกราคม 1928 เขาถูกเนรเทศไปอยู่ที่เมือง Almaty รัฐคาซัค
กุมภาพันธ์ 1929 เขาถูกขับออกนอกสหภาพโซเวียต
1930s ทรอตสกี้จัดตั้งโคมินเทิร์นที่ 4 (the Fourth Communist International) และเขียนบทความวิจารณ์สภาพความเป็นอยู่ของกรรมกรในสหภาพโซเวียตหลายครั้ง
ครึ่งหลังของทศวรรษ 1930s สมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์รัสเซียที่มีความเห็นต่างจากแนวทางของพรรคถูกกวาดล้างออกไปเป็นจำนวนมาก
สิงหาคม 1940 ทรอตสกี้ถูก Ramon Mercader เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงของสหภาพโซเวียต (NKVD) สังหารที่เม็กซิโก Mercader ถูกจับกุมและศาลเม็กซิโกตัดสินจำคุก 20 ปี และได้รับการปล่อยตัวในปี 1960 เขาได้รับรางวัลต่างๆ เช่น รางวัลเลนิน จากสหภาพโซเวียต เชโกสโลวะเกีย และโปแลนด์ ฯลฯ
ข้อสังเกตขั้นต้นต่อผลสะเทือนของลัทธิมาร์กซ์
ในรัสเซียและยุโรปตะวันออก
(1917-หลังสงครามโลกครั้งที่ 2)
ข้อ 1. Heilbronner (1986) กล่าวในตอนต้นของบทความนี้ว่า รัสเซียไม่อยู่ในสายตาของนักสู้เพื่อสังคมนิยม (ว่าจะเกิดการปฏิวัติขึ้นในปี 1917 หรือ 69 ปีหลังแถลงการณ์คอมมิวนิสต์ออกสู่โลก) ส่วนมาร์กซ์-เองเกลส์ก็เห็นว่าการลุกขึ้นสู้ของกรรมกรในยุโรปตะวันตกยังจะมีต่อๆ ไป
หลายคนคงลืมไปว่า เมื่อการวิเคราะห์สังคมที่ทรงพลังเกิดขึ้น ความคิดที่จะปฏิวัติก็ติดปีกโบยบิน และยากจะต้านทานได้
กรณีการปฏิวัติรัสเซียก็เป็นเช่นนั้น สังคมทุนนิยมที่เกิดขึ้นและพัฒนาตั้งแต่ทศวรรษ 1750 ที่อังกฤษมีอายุได้ 1 ศตวรรษ ก็เกิดแถลงการณ์ฉบับสำคัญเพื่อปรารถนาจะขุดหลุมฝังสังคมดังกล่าว
และ 70 ปีต่อจากนั้น การปฏิวัติสังคมนิยมก็เกิดขึ้นในรัฐที่ห่างไกลออกไปจากแผ่นดินเกิด ทั้งๆ ที่กระแสทุนนิยมเพิ่งหลั่งไหลเข้าไปได้ไม่นานนัก
น่าเสียดายยิ่งที่นักลัทธิมาร์กซ์สำนักต้นฉบับ (Orthodox Marxism) เช่น เพลคานอฟ จากไป 1 ปีหลังฟ้าถล่มที่รัสเซีย และเลนิน-ผู้กล้าพลิกฟ้าต้องได้รับบาดเจ็บและจากไปไม่กี่ปีหลังจากนั้น
ข้อ 2. ความล้าหลังทางเศรษฐกิจและการเมืองของจักรวรรดิรัสเซียและรัฐบริวารรอบๆ และการปราบปรามชนชั้นล่างอย่างรุนแรง บวกกับสงครามโลกครั้งที่ 1 น่าจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดสถานการณ์ที่ปั่นป่วนมากขึ้น และผลักดันให้กลุ่มนักปฏิวัติที่ก้าวหน้ามาก กล้ากระโดดข้ามขั้นตอนการพัฒนาของสังคม เป็นนักลัทธิมาร์กซ์แบบนอกรีตจึงก่อการปฏิวัติได้สำเร็จ??
ข้อ 3. น่าเสียดายที่ยังไม่มีข้อมูลรายละเอียดว่า เหตุใดข้อกังวลของเลนินที่กลายเป็นคำสั่งเสียก่อนจากไปจึงไม่เกิดขึ้นขณะที่เขายังมีชีวิตอยู่ หรือว่าเลนินมองสหายที่มีอำนาจ ยังรับฟังและจะปฏิบัติตาม โดยจะไม่หมกมุ่นผลประโยชน์ส่วนตัวเกินไป
หรือว่าสุขภาพของเขาทรุดลงมากแล้ว จนไม่อาจเรียกประชุมและเสนอวาระนี้ด้วยตนเอง
หรือว่ามีปัจจัยอื่นๆ ที่ทำให้เรื่องดังกล่าวไม่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น จุดยืนและความเห็นต่างของกรรมการโปลิตบุโรคนอื่นๆ, การไม่ยอมรับทรอตสกี้ หรือการเป็นกลุ่มเดียวกับสตาลินมานานแล้วโดยที่เลนินไม่รู้ หรือสตาลินมีวิธีการอื่นเพื่อกระชับอำนาจของตนเอง
ลองพิจารณาว่าคนที่ทุ่มเททำงานแนวอำนาจนิยมชัดเจนจนเลนินที่เป็นผู้นำพรรคสังเกตเห็น ได้เป็นถึงเลขาธิการที่คุมอำนาจในพรรค ส่วนเลนินดูแลเรื่องนโยบายที่สำคัญ ครั้นถูกประธานประกาศว่าให้ถอดถอนเลขาธิการออกไปเสีย อะไรจะเกิดขึ้น ฯลฯ
ข้อสังเกตข้อนี้ตอกย้ำอีกครั้งว่า ความคิดประชาธิปไตยที่หลากหลาย การรับฟังความเห็นซึ่งกันและกัน ถกเถียงกัน และทำงานด้วยกันด้วยความเคารพกันและมีสามัคคีต่อกัน รอผลของการตัดสินใจกับความเห็นหนึ่งที่ได้รับโหวตยอมรับไปแล้วว่า ในอนาคตจะมีการแก้ไขอย่างไรหรือไม่ ทั้งหมดนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง อย่างน้อย หากเพลคานอฟและเลนินยังอยู่ การโต้แย้งถกเถียงย่อมเกิดขึ้น และยังจะอยู่ต่อไปด้วยกัน ไม่ควรมีใครถูกขับไล่ออกจากพรรค ต้องถูกเนรเทศ และถูกกำจัด ฯลฯ เพียงเพราะแนวทางต่างกัน
ข้อ 4. ถามว่า การส่งกำลังออกไปสั่งรัฐเล็กๆ รอบๆ ให้ยอมรับการปฏิวัติสังคมนิยม และดึงรัฐเหล่านั้นมาร่วมเป็นรัฐสมาชิกเพื่อสร้างสหภาพโซเวียตในช่วงเวลาอันสั้นและในระหว่างสงคราม มีวิธีการอย่างไรที่จะทำให้เกิดความเห็นพ้อง และการยอมรับจากประชากรจำนวนมากได้ และเช่นเดียวกัน สงครามกลางเมืองที่เกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงเดือนพฤษภาคม 1917 จนถึงช่วงหลังจากที่พรรคบอลเชวิกเข้ายึดอำนาจ และเลนินประกาศใช้นโยบายสังคมนิยมสงครามจนถึงต้นปี ค.ศ.1921 ก่อนที่จะหันไปใช้นโยบายเศรษฐกิจใหม่ (NEP) วิธีจัดการความขัดแย้งต่างๆ เป็นอย่างไร และความเสียหายทั้งหมดเป็นอย่างไร ฯลฯ อะไรคือบทเรียนที่เกิดขึ้น
และ ข้อ 5. สงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดขึ้นในลักษณะที่คล้ายกันกับสงครามโลกครั้งแรก ด้วยปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์ ประเทศที่อยู่รอบๆ ที่ยังไม่เป็นสมาชิกของสหภาพโซเวียตก็ต้องเผชิญกับวิธีเก่า นั่นคือ ถูกกองกำลังติดอาวุธของประเทศใหญ่รุกเข้าไปยึดครองเพื่อสถาปนารัฐสังคมนิยมตามประเทศใหญ่
ถ้าเป็นเช่นนั้น เหตุใด “ความรุ่งโรจน์” ของสังคมนิยมที่จะก้าวไปสู่สังคมคอมมิวนิสต์ได้ ดังที่ “แถลงการณ์คอมมิวนิสต์” ได้ประกาศก้องในปี 1848 และแพร่หลายเรื่อยมาจึงซ้ำรอยเดิมๆ ไม่เปลี่ยน ซึ่งมีเสน่ห์ที่ตรงไหนกัน??
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022